[รีวิว] Assassin’s Creed Mirage – ฟีลลิ่งเก่าที่โหยหาแต่ว่าจางไวไปหน่อย

หลังจากไม่ได้ออกเกมใหม่มาตั้งแต่ปี 2020 ในที่สุดปี 2023 นี้ Assassin’s Creed ก็ได้ฤกษ์ออกเกมภาคใหม่ต่อจาก Valhalla แล้ว นั่นก็คือ Mirage นั่นเอง ถึงแม้ว่าเกมภาคนี้จะไม่ใช่ภาคหลักเสียทีเดียว เพราะมีสเกลที่เล็กลงมากและมีสถานะเคยเป็น DLC ของ Valhalla มาก่อน แต่การที่ตัวเกมประกาศชัดเจนตั้งแต่ไก่โห่ว่าเกมเพลย์จะกลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิมอีกครั้งก็ทำเอาหลายๆ คนรู้สึกสนใจกับการมาของมันอยู่พอสมควร

นอกจากนี้ตัวละครหลักอย่าง Basim ที่เราเจอมาตั้งแต่ Valhalla ก็ยังน่าจะมีบทบาทในพาร์ทถัดๆ ไปของซีรีส์อีกพักใหญ่ๆ ดังนั้นการได้สำรวจที่มาที่ไปของพี่แกจึงเป็นเรื่องที่แฟนๆ ของซีรีส์เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี แต่ที่สุดแล้ว Mirage จะสามารถผงาดเป็นอีกหนึ่งเกม Assassin’s Creed ในดวงใจแฟนๆ ได้หรือไม่นั้น ตามเรามาครับเดี๋ยวบอกเล่าให้ฟัง

Assassin's Creed

เนื้อเรื่อง

อย่างที่บอกครับว่าเนื้อเรื่องภาคนี้จะเป็นเรื่องราวของ Basim มือสังหารจากตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และแทบจะไม่มีเนื้อเรื่องยุคปัจจุบันมาเกี่ยวข้องเลย ตัวเกมจะอนุมานว่าผู้เล่นรู้จัก Basim มาจาก Valhalla แล้ว และจะให้ดูเรื่องราวของเขาในส่วนที่ไม่เคยเล่าเท่านั้นครับ

โดยเรื่องราวของ Mirage จะอยู่ในศตวรรษที่ 9 ในยุครุ่งเรืองของรัฐอิสลามเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ณ เมืองหลวงอย่างกรุงแบกแดด (อิรักในปัจจุบัน) ซึ่งมีองค์กรลับ Order of the Ancient คอยควบคุมชักใยอยู่เบื้องหลัง Basim ในฐานะมือสังหารจบใหม่ป้ายแดงเฟิร์สจ๊อบเบอร์จากสถาบัน Hidden One จึงถูกส่งมาประจำdkiพื้นที่เพื่อคอยบ่อนทำลายแผนร้ายของ Order of the Ancient และตามหาความจริงเบื้องหลังว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

Assassin's Creed

แม้เราจะได้เล่น Basim ในสามช่วงชีวิต ตั้งแต่เป็นแค่โจรข้างถนนจนกระทั่งฝึกฝนกับ Roshan และกลายเป็นมือสังหารเต็มตัว แต่ตัวเกมก็ไม่ได้ใช้เวลาขนาดนั้นครับ ไม่ได้เล่ายาวอะไร มีช่วงไทม์สคิปที่ใช้คัตซีนโชว์ให้เห็นถึงการเติบโตของตัวพี่แกอยู่เป็นระยะๆ และให้พื้นที่กับช่วงปฏิบัติภารกิจทำลาย Order of the Ancient มากที่สุด โดยที่มีจินน์ (ภูตผีตามความเชื่อ) เป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนตัวของ Basim และชวนให้ผู้เล่นเกิดความสงสัยอยู่เป็นระยะๆ ว่าเจ้าผีตนนี้จะเอายังไงกับเรากันแน่

ข้อดีของความที่เกมสั้นกระชับคือการที่มันสามารถสโคปเรื่องราวให้ต่อเนื่อง มีจุดหมาย และไม่เลื่อนลอย ผู้เล่นจะไม่รู้สึกเคว้งคว้างแบบตอนเล่น Valhalla มันมีความต่อเนื่องแบบที่อีกสักนิดก็จะรู้สึกว่าเร่งเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ ซึ่งในความดีนี้มันก็แฝงข้อเสียมาด้วยเพราะผมรู้สึกว่าเนื้อหาจริงๆ ของมันอาจจะน้อยไปสักหน่อย โดยเฉพาะช่วงขมวดปมที่แอบรู้สึกว่าสั้นและง่ายไปแม้ว่าจะทำได้น่าสนใจก็ตาม คิดว่าถ้ามีเนื้อเรื่องอีกสักก๊อกหรือสองก๊อกเพิ่มเติมในช่วงที่ Basim เริ่มตระหนักรู้แล้วน่าจะทำให้เนื้อเรื่องเกมมีความสมบูรณ์มากขึ้นครับ

เสียง

แม้จะไม่ใช่ภาคหลัก แต่ Ubisoft ยังคงลงทุนกับเพลงของเกมภาคนี้ครับ เพลงธีมค่อนข้างติดหูทีเดียวและได้ฟีลอาหรับอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่เสียงประกอบ และเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ก็กลับมากันครบ เสียงพากษ์ตัวละครหลักอย่าง Basim และ Roshan ทำได้ดีเลย โดยเฉพาะรายหลังที่เสียงเป็นเอกลักษณ์มากๆ ฟังแล้วคันคอแทน

แต่เสียงตอนต่อสู้กลับมีบางช่วงบางตอนที่เสียงขาดๆ หายๆ ไปนิด ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ด้วยมั๊ยเพราะผมใช้ดาบ Prince of Persia เกือบทั้งเกม (ออพชั่นดีจัด) แล้วตอนสังหารศัตรูก็จะมีเอฟเฟกต์ที่อาจทำให้เสียงไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าที่ควร นอกจากนี้ก็มีบั๊กที่ผมเจอครั้งหนึ่งคือตัวเกมเล่นเพลงธีมวนแบบไม่หยุด ไม่สนสถานการณ์ ไม่สนว่าลูกใคร จนต้องออกเกมไปหน้าเดสก์ท็อปแล้วเข้าเกมมาใหม่ถึงหายครับ (ออกแค่หน้าไตเติ้ลไม่หายนะ) แต่ก็เจอแค่ครั้งเดียวนี่แหละตลอดทั้งเกม

Assassin's Creed

กราฟิก

Assassin’s Creed Mirage ยังใช้เอนจิ้นเดียวกับเกมก่อนๆ หน้าอยู่ แม้มันอาจจะตกยุคไปบ้างโดยเฉพาะการแสดงสีหน้าของตัวละคร แต่ในภาพรวมหากไม่เจาะจงอะไรขนาดนั้น มันยังให้ภาพที่สวยงาม ผมยังยกให้ซีรีส์นี้เป็นหนึ่งในเกมที่มีภาพกราฟิกแบบแลนดสเคปที่แสดงผลได้งดงามที่สุด ถ่ายรูปในเกมกันเพลินๆ ขณะที่กรุงแบกแดดในเกมก็สวยสดงดงาม เก็บรายละเอียดได้ดีมากๆ แต่ละโซนมีความแตกต่างในการใช้ชีวิตของผู้คนชัดเจน การเนรมิตเมืองโบราณขึ้นมาให้มีชีวิตอีกครั้งยังคงเป็นสิ่งที่ Ubisoft เก่งฉกาจในการนำเสนออยู่เสมอ

นอกจากนี้การมีระบบ Cycle กลางวันกลางคืนก็ยังให้ภาพของกรุงแบกแดดที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เรียกว่าใครเป็นสายชอบชมวิวหรือศิลปสถาปัตยกรรมต่างๆ แค่เดินชมเมืองและอ่านข้อมูลที่เกมมีให้เก็บเรื่อยๆ ก็ฟินแล้วครับ ในส่วนของบั๊กกราฟิกเจอแค่ปุ่มซื้อของไม่ขึ้นอยู่ครั้งหนึ่ง โหลดเข้าเกมใหม่ก็หาย

เกมเพลย์

อย่างที่เกมโปรยไว้ครับว่าจะกลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิมในแบบภาคแรกๆ ซึ่งผู้พัฒนาก็ทำตามสัญญาครับเพราะแทบจะยก Vibe แบบเดิมๆ กลับมาหมด คือเน้นการลอบเร้นเพื่อสังหารเป้าหมายแบบแทงทีเดียวตายแล้วจรลีหายตัวไปจากพื้นที่ ตัดระบบ RPG ทิ้งไปแทบทั้งหมด พร้อมๆ กับนำระบบ “เคาเตอร์กู้โลก” กลับมาใช้งานอีกครั้ง แม้อาจจะไม่ได้ง่ายดายเท่าเดิม แต่ก็ง่ายกว่าตอนผมได้ลองเทสต์อยู่ประมาณหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าทำให้เกมง่ายขึ้นพอสมควร กลับกันก็ไม่ทำให้เราเครียดในการเล่นขนาดนั้น เพราะถึงสเตลท์แตกก็ยังมีทางหนีทีไล่ซึ่งอยู่ในการควบคุม ดังนั้นถ้าจะเล่นให้สนุกที่สุดก็อาจต้องเล่นด้วยความตั้งใจที่ว่า “ฉันจะไม่ทำสเตลท์แตกในรอบนี้” อะไรประมาณนี้ครับ

ซึ่งการจะไม่ทำสเตลท์แตกก็มีความเป็นไปได้และไม่ได้ยากจนเกินไปนัก แค่ต้องสังเกตบ่อยๆ ใช้สกิลและอุปกรณ์อย่างคุ้มค่า เช่นระเบิดควันกับมีดบินนี่ต้องจัดสรรค์ดีๆ มีประโยชน์เวลาจวนตัวจัดๆ หรือหากเป้าหมายเข้าถึงยากเกินไป สังหารไม่ทันแน่ๆ ตัวเกมก็ยังมีระบบใหม่อย่าง Assassin Focus ซึ่งเป็นการล็อกเป้าสังหารที่ทำได้สูงสุดถึง 5 เป้าหมาย ช่วยให้ชีวิตการสเตลท์นั้นง่ายขึ้นเยอะ

Assassin's Creed

ทั้งนี้การสเตลท์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกเมื่อเราใช้นกสำรวจพื้นที่ได้อย่างชำนาญ ในหลายๆ ครั้งเราจะพบว่าการเข้าพื้นที่นั้นไม่ได้มีหนทางเดียว บางครั้งอาจจะมีทางลับ หรือติดสินบนพ่อค้าแถวนั้นเพื่อติดตามเข้าไป หรือจ้างนักรบรับจ้างใกล้ๆ ให้เก็บยามให้หน่อยก็ทำได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับเหรียญพิเศษที่คุณมีครับ

โดยเหรียญเหล่านี้ก็จะได้มาจากภารกิจ Contact ซึ่งเป็นงานรับจ้างง่ายๆ ไม่ซับซ้อนใช้ฟาร์มเหรียญพิเศษกับแต้มสกิลได้ แต่ความที่เป็นงานง่ายๆ ทำให้ช่วงหลังๆ ตอนเรามีเหรียญเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้วครับ เพราะไม่มีอะไรให้น่าติดตามหรือมีผลกับเนื้อเรื่องใดๆ ในทางกลับกันเควสต์รองๆ ที่มีเนื้อเรื่องสนุกๆ นั้นกลับหดหายไปจากเกมจนเหลือไม่กี่เควสต์เท่านั้น ซึ่งผู้เล่นต้องไปเดินหาเองจึงจะมีโอกาสพบเจอครับแค่การโดดหอเปิดแมพมันจะไม่แจ้งบนแผนที่ให้ เอาจริงๆ ก็ท้าทายการสำรวจประมาณหนึ่ง แต่คนที่หาไม่เจอก็อาจรู้สึกว่าพลาดอะไรดีๆ ในเกมไปเหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการปากัวร์ ก็ต้องบอกว่าภาคนี้วิ่งสนุกกว่าภาคหลังๆ อยู่มากครับ อาจเพราะกรุงแบกแดดในเกมนั้นมีสิ่งปลูกสร้างสูงใหญ่อยู่ติดๆ กันเป็นทุนเดิม ทั้งมันยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการวิ่งปากัวร์โดยเฉพาะอีกต่างหาก ที่ว่าผู้เล่นสามารถวิ่งจากจุดหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของเมืองได้โดยที่เท้าไม่แตะพื้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงเลยและสามารถทำได้ครับ แต่วิ่งได้ไกลๆ ยาวๆ แบบนี้กลับน่าเสียดายที่การวิ่งของเรามันไม่ได้มีท่าสวยๆ หรือดูพลิ้วไหวได้แบบที่เคยเกิดขึ้นในภาค Unity คือโฟลวแหละ แต่ยังขาดความพลิ้วและความสวยสง่าอยู่พอสมควร

สรุป

ผมใช้เวลากับ Assassin’s Creed Mirage อยู่ประมาณ 20-22 ชั่วโมง ก็สามารถจบเนื้อเรื่องได้โดยที่ทำภารกิจเสริมแทบทั้งหมด ความดีงามคือความกระชับของมัน และความต่อเนื่องในการเล่าเรื่องที่ผู้เล่นจะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งให้เคว้งนานเกินไป รวมถึงเมืองที่ไม่ได้ใหญ่มากก็ทำให้การทำภารกิจไม่ต้องวิ่งไกลกันนัก นอกจากนี้การกลับสู่รากเหง้าดั้งเดิมของซีรีส์ก็ทำให้ผมรู้สึกตัดเลี่ยนจากความเป็น RPG ไปได้พอสมควร แม้ว่าผมจะไม่มีปัญหาและชอบในความเป็น RPG ของมันก็ตาม โดยเฉพาะเคาเตอร์กู้โลกที่ถึงจะทำให้เกมดูง่ายไปหน่อย แต่จังหวะที่ทำได้ติดๆ กันก็คือรู้สึกว่าโคตรเท่ โคตรอันตราย นัยหนึ่งก็ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ตัวเรามีความเป็นมือสังหารชั้นเซียนอยู่เหมือนกัน

แต่ความกระชับของมันก็เป็นจุดอ่อนเพราะผมรู้สึกว่าคอนเทนต์เกมค่อนข้างน้อย พวกภารกิจเสริมเจ๋งๆ เหลือไม่เยอะมาก กิจกรรมเสริมถูกตัดเหลือแค่ทำภารกิจ Contact เท่านั้น อาวุธและชุดก็ไม่ได้มากมายอะไรจนน่าเสียดาย คือผมคิดว่าแบกแดดถูกออกแบบมาดีมากๆ จนพอเกมสั้นเกินไปก็กลับรู้สึกว่าทีมงานยังใช้แบกแดดได้ไม่คุ้มเลย นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่เนื้อเรื่องหลักของ Basim ถูกสรุปแบบรวบรัดเกินไป ถ้ามีอีกสักก๊อกหรือสองก๊อกก็จะกลมกล่อมกว่านี้มากๆ ครับ

สำหรับ Assassin’s Creed Mirage นั้นเป็นภาคที่กลับไปสู่ยุคดั้งเดิมของมันแบบเกือบสมบูรณ์ ใครที่ชอบฟีลลิ่งแบบเก่าๆ ที่หายไปหลายปีอาจจะถูกใจภาคนี้มากๆ หรือใครที่เป็นแฟนซีรีส์ก็น่าจะต้องเล่นกันอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเอง Mirage ยังเป็นเกมที่สนุกและชวนให้ติดพันถึงจะไม่มีอะไรใหม่ก็ตาม เพียงแค่เสียดายว่ามันควรจะยาวได้กว่านี้อีกสัก 10-15 ชั่วโมง และมีคอนเทนต์มากกว่านี้อีกสักหน่อยก็จะเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบกว่านี้แน่ๆ ครับ แม้กระนั้นเกมนี้ก็ยังถือเป็นผลงานพิสูจน์ตัวเองของ Ubisoft Bordeaux ในฐานะทีมพัฒนาหลักได้เป็นอย่างดี และอาจแจ้งเกิดจนกลายเป็นทีมพัฒนาภาคหลักทีมที่สามถัดจาก Montreal และ Quebec ได้ในอนาคตก็ได้ครับ เรียกว่า Assassin’s Creed Mirage เป็นพอร์ตและใบเบิกทางที่ดีเชียวล่ะ

Assassin's Creed

VERDICT

8/10

Assassin’s Creed Mirage มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 5 ตุลาคมนี้บนเครื่อง PS4, PS5, PC, Xbox One และ Xbox Series X/S ครับ


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้