สรุปเนื้อเรื่องเกม Red Dead Redemption 2 ครบจบทุกรายละเอียด

ณ ตอนนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมานานกว่าครึ่งทศวรรษแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่ Red Dead Redemption 2 วางจำหน่ายเมื่อปลายปี 2018 แต่ถึงแม้เกมนี้จะมีอายุเริ่มมาก เกมเมอร์ทั้งหลายก็ยังคงกล่าวขานถึงความสุดยอดและสมบูรณ์แบบของเกมนี้ ถึงขั้นยกยอปอปั้นว่าเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่ดีที่สุดเท่าที่ถูกสร้างมา สำหรับใครที่ยังไม่เคยลิ้มรสเนื้อเรื่องของเกม Red Dead Redemption 2 นี้มาก่อน วันนี้เราขออาสาพาทุกคนเข้าไปในโลกของเกมนี้กัน

วันคืนอันหนาวเหน็บของเหล่าคนเถื่อน

ย้อนไปในปี 1899 ยุคสมัยที่อเมริกาเริ่มจะกลายเป็นแดนกฏหมายโดยสมบูรณ์ เหล่าคนนอกฏหมายทั่วทั้งแผ่นดิน (outlaw) กำลังถูกตามล่าจากทางการ เหลืออยู่เพียงไม่กี่แก๊งเท่านั้นที่ยังคงมีลมหายใจและร่อนเร่หาทางมีชีวิตรอด หนึ่งในนั้นคือแก๊งแวนเดอร์ลินด์ (Van der Linde) นำโดยดัทช์ แวนเดอร์ลินด์ (Dutch Van der Linde) และมือขวาของเขา โฮเซ แมตธิวส์ (Hosea Matthews) เขาทั้งสองนั้นเปรียบดั่งความหวังของสมาชิกในแก๊งร่วมกว่า 20 ชีวิต และตอนนี้ดัทช์และโฮเซกำลังพาชาวแก๊ง หนีหัวซุกหัวซุนขึ้นมาบนภูเขาหิมะหลังจากแผนการปล้นเรือที่เมือง Blackwater ล้มไม่เป็นท่าจนถูกทางการหมายหัว พวกเขาจำใจต้องทิ้งเงินที่ปล้นมาได้ไว้ที่เมืองนั้นชั่วคราว และคาดหวังว่าจะกลับมาเอาเมื่อความวุ่นวายทั้งหลายเริ่มซาลง หลังจากการปล้นนี้ล้มเหลว มีสมาชิกบางคนไม่สามารถพาตัวเองตามมาสมทบกับคนที่เหลือได้ บ้างก็โดนทางการจับตัวไป บ้างก็ถูกยิงตาย บ้างก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง

อาเธอร์ มอร์แกน (Arthur Morgan)
สมาชิกคนสำคัญที่ดัทช์ไว้วางใจ

ท้ายที่สุด หลังจากหนีขึ้นภูเขามาได้สักระยะจนมืดค่ำ ชาวแก๊งก็ไปกบดานหลบหนาวกันอยู่ที่กระท่อมแถวเหมืองร้าง แต่ก่อนจะผ่านพ้นคืนนี้ไป ดัทช์ขอให้อาเธอร์ มอร์แกน (Arthur Morgan) ซึ่งเป็นตัวละครที่เราเล่น ไปช่วยตนออกลาดตระเวนเส้นทางข้างหน้า ระหว่างทางก็ได้พบกับไมคาห์ เบลล์ (Micah Bell) ชายเลือดร้อนที่เพิ่งเข้าร่วมแก๊งได้ไม่นาน พวกเขาทั้งสามขี่ม้าไปตามเส้นทางข้างหน้าจนไปเจอเข้ากับบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยคนของแก๊งโอดริสโคลล์ คู่อริตลอดกาลของแก๊งแวนเดอร์ลินด์ เขาทั้งสามกำจัดพวกโอดริสโคลจนตายเหี้ยน และพวกเขาก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเป็นเจ้าของบ้านและเพิ่งจะสูญเสียสามีจากน้ำมือของพวกโอดริสโคลไป ดัทช์ตัดสินใจช่วยเหลือรับหญิงสาวคนนี้มา และระหว่างเดินกลับแคมป์ก็ได้ทราบว่าเธอชื่อเซดี แอดเลอร์ (Sadie Adler)

วันต่อมา อาเธอร์ มอร์แกน กับ ฮาเวียร์ เอสกูเอย่าร์ (Javier Escuella) พากันออกตามหาจอห์น มาร์สตัน (John Marston) สมาชิกที่สูญหายหลังจากเหตุการณ์ปล้นเรือ พวกเขาไปพบกับจอห์นเข้าที่ภูเขาหิมะลูกหนึ่ง แต่สภาพจอห์นก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเสียเท่าไหร่ ถูกหมาป่าเล่นงานจนแทบเดินไม่ไหวและได้แผลเป็นที่หน้ามา อาเธอร์กับฮาเวียร์พาจอห์นกลับมาที่แคมป์ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นเมียและลูกชายตัวเล็กของจอห์นก็รับเขาไปดูแลรักษาต่อ

สภาพของจอห์นตอนที่
อาเธอร์และฮาเวียร์ไปพบเข้า

ต่อมา หลังจากดัทช์ทราบว่าโคล์ม โอดริสโคลล์ (Colm O’driscoll) ผู้เป็นหัวหน้าแก๊งโอดริสโคลล์ กำลังกบดานอยู่บนภูเขาหิมะเหมือนกัน เขาก็ตัดสินใจพาอาเธอร์และชายฉกรรจ์ในแก๊งอีก 4 คนออกไปตามล่าโคล์ม โดยอ้างว่าเราจะต้องไปเล่นงานมัน ก่อนที่มันจะมาเล่นงานเรา พอเดินทางไปถึงแคมป์ของพวกมัน แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็เป่าหัวพวกโอดริสโคลล์ไปเพียบ จนมีศพนอนตายกันเกลื่อน แต่สุดท้ายโคล์มก็หนีเอาตัวรอดไปได้ หลังจากทุกคนพากันค้นเสบียงต่างๆ ภายในแคมป์ อาเธอร์ก็ไปเจอแผ่นกระดาษบอกข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟที่พวกโอดริสโคลล์วางแผนจะไปปล้น ดัทช์ตาลุกวาวกับข้อมูลที่ได้มานี้มาก ระหว่างเดินทางกลับ อาเธอร์จับสมาชิกคนหนึ่งของพวกโอดริสโคลล์มาได้ ชื่อคีแรน ดัฟฟี (Kieran Duffy) ซึ่งเขาคนนี้จะเริ่มถูกยอมรับจากสมาชิกคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

หลังจากได้ข้อมูลเรื่องแผนปล้นรถไฟมา ดัทช์ก็ได้นำทีมชายฉกรรจ์ออกปล้นรถไฟของนักธุรกิจชื่อเลวิติคัส คอร์นวอลล์ (Leviticus Cornwall) ถึงแม้การปล้นจากผ่านไปได้ด้วยดี แต่โฮเซดูจะไม่ชอบการตัดสินใจของดัทช์เกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเท่าไหร่เพราะมองว่าการออกปล้น มีแต่จะทำให้ปัญหาที่เจออยู่หนักหนาขึ้นกว่าเก่า ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามที่โฮเซกังวลจริงๆ เพราะว่าตอนนี้เลวิตัส คอร์นวอลล์ได้ว่าจ้างหน่วยสอบสวนพิเศษพิงเคอร์ตัน (Pinkerton) นำโดยเจ้าหน้าที่รอสและเจ้าหน้าที่มิลตัน ให้ออกตามล่าตัวแก๊งแวนเดอร์ลินด์ ในตอนนี้ ดัทช์เริ่มจะยอมรับแล้วว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกไม่ต้องการคนนอกกฏหมายอย่างพวกเขาอีกต่อไป ทำให้เขากับสมาชิกคนอื่นตัดสินใจรีบหาเงินให้มากพอโดยเร็วจนสามารถเกษียณตัวเองจากชีวิตของคนนอกกฏหมายได้

จากภูเขาหิมะ สู่ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่

ในที่สุด แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ลงมาจากภูเขาหิมะแล้วย้ายไปกบดานกันอยู่ทางทิศใต้ของรัฐนิวแฮนโอเวอร์ (New Hanover) โดยสมาชิกแต่ละคนต่างก็ใช้วิธีต่างๆ ที่ตนถนัดในการหาเงินมาให้แก๊ง อาเธอร์เองก็คอยช่วยเหลือสมาชิกทุกคนในแก๊งในการหาเงินไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการไปตามทวงหนี้ ขโมยทองจากบ้านเศรษฐี ปล้นรถไฟ หรือแม้แต่ขโมยแกะ ระหว่างที่กบดานอยู่ที่นี่ อาเธอร์ก็ถูกคู่รักเก่าชื่อแมรี่ ลินตัน (Mary Linton) อ้อนวอนให้ไปช่วยตามหาเจมี่ น้องชายของเธอ นอกจากนี้อาเธอร์เองยังต้องไปตามช่วยไมคาห์ที่กำลังติดคุกเพราะดันไปสร้างเรื่องในเมืองสตรอว์เบอร์รี (Strawberry) เข้าจนถูกจับ การแหกคุกนี้ทำให้เมืองทั้งเมืองต้องลุกเป็นไฟ เกิดการเปิดฉากยิงกันอย่างจ้าละหวั่น ตอนนี้เองที่อาเธอร์เริ่มจะเห็นว่าไมคาห์ เป็นคนเดือดเลือดพล่านและที่ทำอะไรเอาแต่ใจถึงเพียงไหน

ผ่านไปได้สักพักใหญ่ โชคของแก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็หมดลงเมื่อพิงเคอร์ตันรู้ที่อยู่ของแก๊งและออกมาตามตัวถึงที่ ดัทช์และพวกพ้องจึงถูกบีบให้ออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นและหาที่ซ่อนตัวใหม่โดยเร็ว จนสุดท้ายก็ไปลงเอยอยู่ที่โรดส์ (Rhodes) เมืองเขตร้อนที่อยู่ไม่ไกลจากที่กบดานเก่ามากนัก

ท่ามกลางความบาดหวางของสองตระกูลใหญ่

หลังจากย้ายมาซ่อนตัวอยู่ที่โรดส์ได้ไม่นาน แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ได้ทราบว่าเมืองแห่งนี้มีสองตระกูลใหญ่ที่เป็นปรปักษ์ต่อกันมานานกว่าร้อยปี ซึ่งสองตระกูลที่ว่าก็คือตระกูลเกรส์ (Grays) และตระกูลเบรธเวตส์ (Braithwaites) ชาวแก๊งเล็งเห็นว่านี่คือโอกาสโกยเงินครั้งใหญ่ จึงได้ตีสนิทคอยช่วยเหลือพวกเกรส์และเบรธเวตส์ เพื่อหาจังหวะปล้นตลบหลังทั้งสองตระกูลไปพร้อมกัน และตลอดช่วงเวลาที่ชาวแก๊งตั้งแคมป์อยู่ที่นี่ เซดี แอดเลอร์ หญิงแม่หม้ายที่ดัทช์ช่วยชีวิตไว้ตอนแรก ก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับแก๊งแวนเดอร์ลินด์มากยิ่งขึ้น แถมเรายังได้รู้ด้วยว่า เซดีนั้นเป็นหญิงแกร่งที่ยิงปืนเก่งมาก

วันเวลาผ่านไปนานเข้า ทั้งสองตระกูลก็เริ่มสังเกตได้ว่าตัวเองกำลังถูกแก๊งแวนเดอร์ลินด์หลอกใช้ จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเกรส์ก็ได้ลอบทำร้ายพวกดัทช์ตอนกลางวันแสกๆ โชคดีที่ชาวแก๊งยังตั้งสติได้และสามารถฆ่าพวกเกรส์จนตายโหงกันหมด แต่การประทะกันในครั้งนี้ก็ทำให้เราต้องเสียฌอน แม็กไกวร์ (Sean Maguire) สมาชิกคนหนึ่งของแก๊งไป ส่วนพวกเบรธเวตส์นั้น ได้จับตัวแจ็ค ซึ่งเป็นลูกชายของจอห์นไป ทำให้จอห์นหัวเดือดเลือดพล่านเป็นอย่างมาก ชาวแก๊งรู้เรื่องเข้าก็พากันยกโขยงไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเบรธเวตส์โดยทันที

เหตุการณ์ “การปะทะที่คฤหาสน์เบรธเวตส์”
อีกหนึ่งฉากในตำนานของ RDR2

พอเดินทางมาถึงที่หมาย แก๊งแวนเดอร์ลินด์ฆ่าทุกคนในนั้นจนตายเกลี้ยงพร้อมทั้งเผาคฤหาสน์แห่งนี้ทิ้ง คนๆ เดียวที่ยังไม่ถูกปลิดชีวิตลงก็คือ คุณหญิงประจำตระกูล แคทเธอรีน เบรธเวตส์ (Catherine Braithwaite) พวกดัทช์เก็บเธอไว้เพราะต้องการจะเค้นจากเธอว่าตระกูลเบรธเวตส์เอาแจ็คไปซ่อนตัวไว้ที่ไหน หลังจากแคทเธอรีนยอมเอ่ยปากบอก นางก็ตรอมใจวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ที่กำลังมอดไหม้จนร่างของนางถูกแผดเผาไปในที่สุด และนี่ก็คือจุดจบของเรื่องราวที่เมืองโรดส์

ย่างกรายสู่เมืองแห่งความศรีวิไล

จากข้อมูลที่แคทเธอรีนบอกมา ตอนนี้แจ็คถูกนำตัวส่งไปให้หัวหน้ามาเฟีย อันเจโล บรอนเต้ (Angelo Bronte) ที่เมืองนิคมอุตสาหกรรมชื่อแซงต์เดนิส (Saint Denis) แต่ก่อนที่แก๊งแวนเดอร์ลินด์จะมุ่งหน้าไปที่เมือง เจ้าหน้าที่รอสและเจ้าหน้าที่มิลตันก็ได้มาดักรอพูดคุยกับพวกดัทช์ที่แคมป์อีกครั้ง ทั้งสองมาเพื่อมายื่นข้อเสนอให้ดัทช์ยอมมอบตัว แลกกับการที่ทุกคนในแก๊งที่เหลือจะเป็นอิสระ แต่ก็อยากที่ทุกคนรู้กัน แก๊งแวนเดอร์ลินด์ปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยทันทีพร้อมทั้งชักปืนขู่ไล่ ก่อนจะแยกย้ายกันไป เจ้าหน้าที่มิลตันได้ทิ้งท้ายว่าครั้งต่อไปที่เจอหน้ากัน เขาจะยกขโยงหน่วยพิงเคอร์ตันมาและเริ่มใช้ไม้แข็งกับพวกดัทช์แล้ว จากนั้นแก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็โยกย้ายไปตั้งแคมป์ใหม่ที่บ้านสวนร้างแห่งหนึ่งชื่อเชดี้เบลล์ (Shady Belle) ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองแซงค์เดนิส

หลังจากอาเธอร์สืบหาข้อมูลไปได้สักพัก เขาก็ได้รู้ที่อยู่ของอันเจโล บรอนเต้และรีบพาดัทช์กับพรรคพวกไปหาโดยทันที อันเจโลยืนยันกับพวกดัทช์ว่าแจ็คยังปลอดภัยดีครบสามสิบสอง แถมยังกินอิ่มนอนหลับทุกวัน และถ้าหากอยากได้ตัวแจ็คคืน แก๊งแวนเดอร์ลินด์ต้องไปปล้นสุสานให้บรอนเต้ ซึ่งสุดท้ายก็ทำสำเร็จและได้ตัวแจ็คกลับคืนมา

แก๊งแวนเดอร์ลินด์จัดงานเลี้ยงฉลอง
ต้อนรับการกลับมาของแจ็ค

ต่อมา โจเซีย เทรลอว์นี (Josiah Trelawny) นักต้มตุ๋นคู่บุญของแก๊งแวนเดอร์ลินด์ ได้พาอาเธอร์และสมาชิกในแก๊งอีกสองสามคน ไปปล้นเรือคาสิโน ทุกอย่างไปได้สวยในตอนแรก แต่พอย่างก้าวเข้าไปในห้องนิรภัยที่เก็บเงินไว้ ทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม เกิดการยิงปะทะกันจนชาวแก๊งต้องจำใจเอาตัวรอดหนีออกมาจากเรือ

ระหว่างที่ตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ กับแซงต์เดนิส อาเธอร์ได้ไปรู้จักกับหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองคนหนึ่งชื่อ เรนส์ ฟอลล์ (Rains Fall) อาเธอร์ได้ช่วยเขาปกป้องชุมชนของชนเผ่าอินเดียนแดงจากการรุกรานของพวกทหารอเมริกัน

อยู่มาวันหนึ่ง ปัญหาคาราคาซังจากพวกโอดริสโคลล์ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคอล์มลอบฆ่าคีแรน ดัฟฟี สมาชิกเก่าที่ทรยศตน และส่งศพคีแรนขึ้นบนหลังม้ากลับมาให้พวกดัทช์ที่แคมป์ หลังจากเหตุการณ์นี้ ดัทช์และคอล์มก็ได้นัดพูดคุยเจรจากันถึงเรื่องการยุติความบาดหมาดทั้งหมดนี้ แต่ก่อนจะได้ข้อสรุป อาเธอร์ที่ดักซุ่มคุ้มกันให้ดัทช์บนเนินเขาก็ถูกคนของคอล์มน็อคจนสลบ กว่าดัทช์จะรู้ตัวว่าอาเธอร์หายตัวไปก็คือตอนที่เดินทางมาถึงแคมป์แล้ว

การเจรจาระหว่างดัทช์และคอล์ม

การนัดพูดคุยเจรจาทั้งหมดเป็นแผนของคอล์มมาตั้งแต่แรก โดยคอล์มต้องการจะจับตัวอาเธอร์เพื่อล่อให้แก๊งแวนเดอร์ลินด์แห่ตามมาช่วย และถ้าหากแก๊งแวนเดอร์ลินด์ติดกับ คอล์มก็จะล้อมจัดการกับพวกดัทช์ได้ง่ายและสามารถส่งตัวพวกเขาให้กับรัฐบาลเพื่อรับค่าหัวก้อนโต โชคดีที่อาเธอร์ในสภาพปางตาย เอาตัวรอดออกมาจากแคมป์ของโอดริสโคลล์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้รู้เลยว่า ปัญหาระหว่างดัทช์กับคอล์มคงไม่จบลงง่ายๆ แน่

ชนวนความบาดหมางระหว่างบรอนเต้และแก๊งแวนเดอร์ลินด์

อันเจโล บรอนเต้
หัวหน้ามาเฟียประจำถิ่นแซงต์เดนิส

ความลุ่มหลงในวิถีคนนอกกฏหมายของดัทช์ ทำให้ดัทช์พาพรรคพวกเข้าไปร่วมงานกับอันเจโล บรอนเต้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ บรอนเต้ได้มอบหมายงานให้พวกดัทช์ไปปล้นสถานีรถรางกลางเมืองแซงต์เดนิส ซึ่งบรอนเต้บอกว่าตู้เซฟของสถานีนั้น มีเงินเก็บไว้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อแก๊งแวนเดอร์ลินด์ไปถึง กลับพบว่าในตู้เซฟมีเงินอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น ไม่เหมือนอย่างที่บรอนเต้อ้างไว้แม้แต่นิด จากนั้นตำรวจก็เข้ามาล้อมสถานีไว้หมด พวกดัทช์จึงรู้ทันทีเลยว่าตนถูกบรอนเต้จัดฉากตลบหลังเข้าให้แล้ว

สาเหตุของการหักหลังในครั้งนี้ คาดว่าเกิดจากการที่บรอนเต้ ผู้ซึ่งเป็นมาเฟียตัวพ่อของเมืองนี้ ไม่ต้องการให้แก๊งแวนเดอร์ลินด์เข้ามามีอิทธิพลในแซงต์เดนิส บรอนเต้จึงอยากกำจัดพวกดัทช์ตอนนี้เลยเพื่อตัดไฟตั้งแต่ลม แต่ก็เหมือนอย่างเคย ดัทช์ อาเธอร์ และพรรคพวก สามารถเอาตัวรอดออกมาจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้อีกครั้ง

หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไป อาเธอร์ก็ได้รับการติดต่อจากคนรักเก่าอีกเป็นรอบที่สอง โดยในครั้งนี้ เธอได้ขอร้องให้อาเธอร์ช่วยเหลือพ่อของเธอที่ใช้ชีวิตเหลวแหลกจนน่าอันตรายขึ้นทุกวัน หลังจากอาเธอร์ช่วยพ่อของเธอไว้ได้ แมรี่ก็อ้อนวอนให้อาเธอร์ละทิ้งวิถีคนเถื่อนไว้ในอดีตและมาใช้ชีวิตร่วมกับตนอย่างสงบ แต่อาเธอร์ก็ได้ปฏิเสธเธอไปเพราะกลัวว่าเรื่องแย่ๆ ที่เขาเคยก่อไว้ในอดีตจะทำให้แมรี่พลอยติดร่างแหไปด้วย อีกทั้งเขาเองในตอนนี้ก็ไม่อยากจากลากับพรรคพวกที่เปรียบเสมือนครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาไป

“ฉันอยากไปกับเธอนะ อยากมากกว่าสิ่งอื่นใดเลย
แต่ตอนนี้ฉันยังมีคนที่ต้องดูแลอยู่”

อาเธอร์ มอร์แกน

อวสานอันเจโล บรอนเต้: จุดจบเจ้าพ่อมาเฟียแห่งแซงต์เดนิส

หลังจากอาเธอร์กลับมาที่แคมป์ โฮเซได้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับงานใหม่ที่สามารถทำเงินได้ดีแถมยังปลอดภัย แต่ดัทช์ปฏิเสธที่จะลุยงานดังกล่าวในตอนนี้ และยื่นคำขาดที่จะกลับไปแก้แค้นอันเจโล บรอนเต้ที่หักหลังตนจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด อาเธอร์เริ่มจะตั้งคำถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำในตัวดัทช์ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยู่ข้างดัทช์และตกลงที่จะไปชำระแค้นบรอนเต้ ชาวแก๊งเจรจากับชาวประมงในท้องที่ให้พาไปที่แมนชั่นของบรอนเต้ หลังจากนั่งเรือมาถึงแมนชั่น ดัทช์ อาเธอร์ และชาวแก๊งก็เปิดฉากปะทะกับยามและตำรวจจนมีศพนอนเกลื่อนไปทั่วทุกที่ หลังจากเก็บทุกคนจนหมด ในที่สุดแก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ได้ตัวอันเจโล บรอนเต้มา พร้อมทั้งลากมันขึ้นมาบนเรือ บรอนเต้พยายามจะยัดเงินให้พวกอาเธอร์หักหลังดัทช์ แต่ชาวแก๊งก็นิ่งเฉยไม่สนใจอะไรข้อเสนอนี้แม้แต่นิด จากนั้นดัทช์ก็จับบรอนเต้กดน้ำจนขาดใจตาย และถีบบรอนเต้ลงบึงให้จระเข้กินจนไม่เหลือซาก

ดัทช์จับหัวบรอนเต้กดน้ำจนขาดใจตาย

รอยแตกที่เริ่มร้าวของแก๊งแวนเดอร์ลินด์

หลังจากผ่านความโกลาหลวุ่นวายมานับไม่ถ้วน แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็เตรียมวางแผนการทำอาชญากรรมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกตนเคนทำมา ด้วยการปล้นธนาคารกลางของเมืองแซงต์เดนิส ซึ่งพวกเขาหวังว่านี่จะเป็นการปล้นครั้งสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาได้เงินมากพอจนสามารถพากันหนีไปมีชีวิตใหม่กันได้ เมื่อชาวแก๊งเตรียมงานกันจนมั่นใจดีแล้วว่าแผนปล้นครั้งนี้จะผ่านไปได้สวย พวกเขาก็เดินทางไปที่ธนาคารกลางกัน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนจนกระทั่งวินาทีที่อาเธอร์เริ่มโกยเงินจากตู้เซฟ จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากด้านนอก มันคือเสียงของเจ้าหน้าที่มิลตัน และก็อย่างที่เขาเคยพูดไว้ตอนเจอกันล่าสุด ตอนนี้เขาได้ขนพวกพิงเคอร์ตันมากันเป็นกอง แถมยังจับตัวโฮเซเป็นตัวประกันได้อีกด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้น ดัทช์และพรรคพวก จึงพยายามพูดคุยเจรจาด้วย แต่เจ้าหน้าที่มิลตันปฏิเสธและยิงโฮเซตายไปต่อหน้าแก๊งแวนเดอร์ลินด์ทุกคน

– วาระสุดท้ายของโฮเซ แมตธิวส์ –
มือขวาของดัทช์และผู้อาวุโสประจำแก๊ง

พวกดัทช์พากันเปิดฉากยิงและหนีตายกันอย่างกระเสือกกระสน แต่การปะทะกันในครั้งนี้หนักหนาเกินกว่าที่แก๊งแวนเดอร์ลินด์จะรับมือ ทำให้เลนนี่ ซัมเมอร์ส (Lenny Summer) สมาชิกคนหนึ่งของแก๊ง ไม่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ จอห์น มาร์สตันเอง จู่ๆ ก็คลาดกับพวกอาเธอร์ไป ส่วนสมาชิกคนที่เหลือ ซึ่งก็คือดัทช์, อาเธอร์, ไมคาห์, ฮาเวียร์ และบิลล์ (Bill Williamson) ได้หนีเข้าไปหลบกันในตึกร้าง จนเวลาผ่านไปถึงช่วงดึก ทั่วทั้งเมืองก็มียามเฝ้าเต็มไปหมดจนแก๊งแวนเดอร์ลินด์เห็นพ้องต้องกันว่า ดูท่าแล้วยังไงก็ไม่สามารถฝ่าดงหนีออกไปในสภาพนี้ได้แน่ พวกเขาจึงตัดสินใจลักลอบขึ้นเรือประมงเพื่อหนีออกทะเลไป และค่อยคิดหาวิธีกลับเข้าฝั่งทีหลัง

หลังจากออกทะเลไปได้ไม่ถึงวัน พายุฝนก็โหมกระหน่ำอย่างหนักจนทำให้เรือประมงล่ม สมาชิกแต่ละคนถูกคลื่นทะเลซัดเข้าชายฝั่งของเกาะที่อยู่แถบประเทศคิวบา ชื่อว่าเกาะกัวอามา (Guarma) ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองกำลังกบฏและรัฐบาลเผด็จการทหารอยู่ แก๊งแวนเดอร์ลินด์ได้ช่วยเหลือฝ่ายกบฏจนสามารถทวงคืนประชาธิปไตยให้กับชาวกัวอามาได้สำเร็จ หลังจากนั้น คนจากฝ่ายกบฏก็ได้ส่งตัวพวกดัทช์ขึ้นเรือกลับเข้าชายฝั่งอเมริกาในที่สุด

แก๊งแวนเดอร์ลินด์เข้าร่วมสงคราม
กับฝ่ายกบฏของเกาะกัวอามา

การรวมตัวกันอีกครั้งของแก๊งแวนเดอร์ลินด์

เมื่อเดินทางกลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัย พวกดัทช์ก็แยกย้ายกันไปตามหาว่าตอนนี้ สมาชิกคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ที่ไหนกัน อาเธอร์ได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจที่ที่กบดานล่าสุด ซึ่งก็คือบ้านสวนร้างเชดี้เบลล์ เมื่อเดินทางไปถึง อาเธอร์ก็เจอจดหมายที่สมาชิกคนอื่นทิ้งไว้ เขาจึงได้รู้ว่าตอนนี้พรรคพวกที่เหลือของเขาได้ย้ายไปปักหลักกันที่ลาเคย์ (Lakay) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองแซงต์เดนิส

ท้ายที่สุด อาเธอร์ รวมถึงชาวแก๊งที่ไปติดเกาะกันมา ก็ได้กลับมาเจอหน้ากับสมาชิกทุกคนอีกครั้ง พร้อมทั้งอธิบายถึงเหตุการณ์โกลาหลที่แซงต์เดนิสและเกาะกัวอามาให้ฟัง หลังจากพูดคุยไปได้สักพัก เราก็ได้รู้ว่าคนที่พาสมาชิกคนที่เหลือหนีกันมาหลบที่นี่และคอยทำหน้าที่ปกป้องแก๊งระหว่างที่พวกดัทช์ไปติดเกาะกัน ก็คือเซดี แอดเลอร์นั่นเอง จากหญิงแม่หม้ายน่าสงสารในวันนั้น กลายมาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและทำทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัวที่เธอรักในวันนี้ นอกจากนี้เรายังได้ทราบด้วยว่า จอห์น มาร์สตัน ถูกทางการจับไปเรียบร้อย

ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมานาน จู่ๆ เจ้าหน้าที่มิลตันและพวกพิงเคอร์ตันก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ และเริ่มสาดกระสุนใส่พวกดัทช์ในทันที หลังจากเปิดฉากไปได้สักพักใหญ่ แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็จัดการกับพวกพิงเคอร์ตันได้เกือบหมด จนพวกมันถอยหลังกลับกันไปเอง การที่พิงเคอร์ตันโผล่หัวมาแบบไม่มีปลี่มีขลุ่ย แถมยังโผล่มาตอนที่แก๊งแวนเดอร์ลินด์เพิ่งจะกลับมารวมตัวกัน ทำให้ดัทช์เริ่มสงสัยแล้วว่า มีใครบางคนในแก๊ง เป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับพวกทางการรึเปล่า

จากนั้น แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ย้ายไปกบดานกันที่บีเวอร์ฮอลโลว์ (Beaver Hollow) ซึ่งหลังจากตั้งแคมป์อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน คู่รักของดัทช์ ที่กำลังเมาเหล้าอย่างหนักอยู่ ก็ได้ประกาศว่าตนนั้น เป็นคนแจ้งสถานที่กบดานของแก๊งให้กับพวกพิงเคอร์เอง ด้วยเหตุนี้ ซูซาน กริมชอว์ (Susan Grimshaw) ป้าอาวุโสประจำแก๊ง ก็ได้ยิงเธอทิ้งโทษฐานทรยศ

อาเธอร์ มอร์แกน กับนาฬิกาชีวิตที่เริ่มนับถอยหลัง

ทันทีที่แก๊งแวนเดอร์ลินด์เริ่มจะตั้งตัวกันใหม่ได้ อาเธอร์ก็ได้นัดเซดีไว้ที่เมืองแซงต์เดนิส เพื่อหารือเกี่ยวกับการพาจอห์นแหกคุกซิซิลี คุกที่มีมาตราการคุ้มกันแน่นหนามากที่สุดที่หนึ่ง แต่ระหว่างที่อาเธอร์กำลังขี่ม้าไป เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อาเธอร์มีอาการไออย่างหนัก ดวงตาเริ่มพร่ามัว ทุกอย่างรอบตัวหมุนวนไปมาราวกับโลกทั้งใบกำลังถูกเหวี่ยง อาเธอร์ตกลงจากหลังหมาและสลบเหมือดไปทั้งอย่างนั้น โชคดีที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาเรียกสติ และพาอาเธอร์มาส่งคลินิกของเมืองแซงต์เดนิส หลังจากหมอทำการตรวจร่างกายเสร็จ อาเธอร์ก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าเขาเป็นวัณโรค ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ไม่มียารักษา ได้แต่รอความตายไปวันๆ

เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นจุดพลิกผันชีวิตของอาเธอร์เลย ตั้งแต่ที่เขารู้เวลาของเขาใกล้จะหมดลง เขาก็ไม่สนใจผลประโยชน์ส่วนตัวอีกต่อไป และเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับชีวิตในฐานะคนนอกกฏหมาย สิ่งที่เขาอยากจะทำก่อนตายก็คือ การช่วยเหลือคนรอบข้างที่เขารักอย่างถึงที่สุด จนเขาสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยเมื่อเขาลาลับโลกนี้ไป

อาเธอร์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค

หลังจากออกมาจากคลินิก อาเธอร์ ที่ตอนนี้พอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว ก็มุ่งหน้าไปหาเซดีตามที่นัดไว้โดยทันที พวกเขาทั้งสองช่วยจอห์นแหกคุกออกมาได้และสามารถพาจอห์นกลับมาที่แคมป์ได้โดยสำเร็จ แต่ดัทช์กลับไม่พอใจอย่างมากที่อาเธอร์และเซดีรีบไปช่วยจอห์นออกมาตอนนี้เพราะดัทช์ตื่นตระหนกว่ามันจะเป็นการเรียกแขกที่ไม่ได้รับเชิญให้มาหาถึงแคมป์อีก อย่างไรก็ตาม ที่อาเธอร์กับเซดีตัดสินใจรีบออกไปช่วยจอห์นเป็นเพราะว่าดัทช์ปัดตกเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว เอาแต่อ้างว่าต้องรอเวลาที่เหมาะสม ทั้งๆ ที่ถ้าไม่รีบไปช่วย จอห์นอาจจะโดนโทษประหารชีวิตตายคาคุกไปแล้ว นอกจากนี้ ตั้งแต่กลับมาจากเกาะ ไมคาห์ก็เริ่มจะเลียแข้งเลียขาดัทช์และตัวติดอยู่กับดัทช์แทบจะตลอดเวลา

วาระสุดท้ายของโคล์ม โอดริสโคลล์

เมื่อจบเหตุการณ์นั้นไป แก๊งแวนเดอร์ลินด์ก็ได้ทราบข่าวว่าโคล์ม โอดริสโคลล์ กำลังจะถูกแขวนคอประหารกลางเมือง ดัทช์ได้ยินแบบนั้นเข้า ก็อยากจะไปดูให้แน่ใจว่าการประหารโคล์มจะผ่านไปได้ด้วยดี ด้วยเหตุนี้ อาเธอร์ ดัทช์ และเซดีจึงเดินทางไปที่ลานประหารกลางเมือง และคอยซุ่มขัดขวางลูกน้องโคล์มที่พยายามจะเข้ามาช่วยโคล์มอย่างเงียบๆ สุดท้าย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี และโคล์ม โอดริสคอลล์ก็ถูกแขวนคอประหารไปในที่สุด

จุดจบของโคล์ม โอดริสโคลล์

สูญสิ้นศรัทธา

ต่อมา อาเธอร์กับจอห์นได้รับหน้าที่ให้ไประเบิดสะพานแห่งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้อาเธอร์และจอห์นเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หลังจากทั้งสองได้พูดคุยกันเกี่ยวกับดัทช์ที่เริ่มจะเปลี่ยนไปทุกที จากคนที่เคยเป็นผู้นำที่สุขุม มีแบบแผน กลับกลายเป็นคนที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งและทำอะไรไม่คิด ปฏิบัตการวินาตสันตโรต่างๆ ในพักหลังล้วนแล้วแต่เป็นไอเดียของดัทช์ทั้งสิ้น ถึงแม้ในอดีต อาเธอร์จะมีปัญหาส่วนตัวกับจอห์นอยู่บ้าง แต่อาเธอร์ในตอนนี้นั้น พยายามทำทุกอย่างเพื่อทำให้จอห์นและลูกเมียของเขาปลอดภัย โดยแทบจะไม่สนใจเรื่องการจงรักภักดีกับดัทช์แล้ว

“ถ้าเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ นายต้องวิ่งและอย่าหันกลับมา”
อาเธอร์ มอร์แกน

วันเวลาผ่านไป อาเธอร์ก็เริ่มหมดศรัทธาในตัวดัทช์ ชายผู้ครั้งหนึ่งเปรียบดั่งพ่อของอาเธอร์ เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้อาเธอร์หมดหวังในตัวผู้ชายคนนี้จริงๆ คือตอนที่แก๊งแวนเดอร์ลินด์บุกจู่โจ่มโรงกลั่นน้ำมันของเลวิติคัส คอร์นวอลล์ ในเหตุการณ์นั้น อาเธอร์พลาดท่าเข้าจนอยู่ในสภาวะใกล้ตาย แต่ดัทช์ที่เห็นเช่นนั้นกลับไม่ยอมเข้ามาช่วยและทิ้งอาเธอร์ไว้ทั้งอย่างนั้น นับแต่นั้นมา อาเธอร์จึงทำใจยอมรับแล้วว่า ดัทช์ แวนเดอร์ลินด์ที่เขาเคยรู้จัก คงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วจริงๆ

หลังจากอาเธอร์และสมาชิกทุกคนหนีรอดจากโรงงานมาได้ ดัทช์ก็ได้เสนอแผนการปล้นครั้งสุดท้าย [อีกแล้ว?] โดยครั้งนี้จะทำการปล้นเสบียงของรัฐบาลที่ถูกส่งมาทางรถไฟ ระหว่างทำการปล้น จอห์นถูกยิง ดัทช์เห็นเช่นนั้นก็ขี่ม้าไปช่วยจอห์น แต่สักพักดัทช์ก็กลับมาแล้วบอกว่าจอห์นตายแล้ว แก๊งแวนเดอร์ลินด์สามารถปล้นเสบียงของรัฐบาลได้สำเร็จ ได้เงินและทรัพยากรมาเป็นจำนวน หลังจากกลับมาที่แคมป์ ทิลลี่ สมาชิกหญิงคนหนึ่งของแก๊ง ได้บอกอาเธอร์ว่าอบิเกล เมียของจอห์น ถูกพวกพิงเคอร์ตันจับตัวไป ดัทช์และไมคาห์คิดเห็นว่าพวกเราควรทิ้งเธอไป ไม่ควรเสี่ยงชีวิตไปช่วย แต่อาเธอร์ไม่ยอม เขากับเซดีจึงพากันมุ่งหน้าไปช่วยอบิเกล

เมื่อถึงที่หมายก็เกิดการปะทะกันกับพวกพิงเคอร์ตัน อาเธอร์สามารถยิงฝ่าวงเข้ามาได้ถึงสถานที่ที่อบิเกลถูกจับตัวไว้อยู่ แต่อาเธอร์พลาดท่า ถูกเจ้าหน้าที่มิลตันถือปืนจ่อหลังในขณะที่กำลังแก้มัดเชือกให้อบิเกลอยู่ มิลตันคิดว่าตนชนะแล้ว จึงได้เฉลยว่าหนอนบ่อนไส้ในแก๊งแวนเดอร์ลินด์ แท้จริงแล้วคือไมคาห์ อาเธอร์ใช้จังหวะที่มิลตันกำลังพูด พุ่งเข้าชาร์จและพยายามจะแย่งปืนมา แต่อาเธอร์ที่กำลังมีอาการทรุดหนักจากวัณโรคนั้น ไม่มีแรงที่จะแย่งปืนมาจากมือของมิลตันได้เลย แต่ก่อนที่มิลตันจะทำการเหนี่ยวไกลใส่หัวของอาเธอร์ อบิเกลก็แก้มัดเชือกสำเร็จและคว้าปืนที่หล่นอยู่แถวนั้นขึ้นมาเป่ากระบาลของมิลตันได้

ถึงคราวต้องจากลา

สถานการณ์ต่างๆ ของแก๊งแวนเดอร์ลินด์เข้าขั้นวิกฤตจนกู่ไม่กลับแล้ว พวกพิงเคอร์ตันตามล่าอย่างหยุดหย่อน มีสมาชิกหลายคนล้มหายตายจากไป แถมความสัมพันธ์ระหว่างคนในแก๊งก็เริ่มแตกหักขึ้นทุกที สมาชิกบางเตรียมแยกตัวออกมาจากแก๊งและเพื่อออกไปใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้

หลังจากอาเธอร์พาอบิเกลกลับมาได้ เขาก็ได้ขอให้เซดีพาอบิเกล แจ็ค และสมาชิกในแก๊งอีกคน หนีไปให้ไกลจากที่นี่และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากกล่าวคำร่ำลากันเสร็จ อาเธอร์ก็ได้ขี่ม้ากกลับไปที่แคมป์ และบอกกับทุกคนว่าไมคาห์เป็นหนอนบ่อนไส้ข้างในแก๊ง ทำให้ทุกคนแตกตื่นและทำอะไรไม่ถูก ต่างฝ่ายต่างก็ชักปืนเข้าหากัน ท่ามกลางความสับสนนี้ จอห์น ที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว ได้เดินเข้ามาในสภาพที่บาดเจ็บ พร้อมทั้งบอกว่าดัทช์ไม่ยอมช่วยเขาและทิ้งเขาไปอย่างไม่แยแส ตอนนี้ คนที่อยู่ข้างอาเธอร์ มีเพียงจอห์นและซูซานเท่านั้น แม้กระทั่งดัทช์เอง ก็ยังตัดสินใจที่จะร่วมข้างกับไมคาห์และหันหลังให้กับบุคคลที่เขาเคยมองเป็นลูกอย่างอาเธอร์และจอห์น

หลังจากนั้นไม่กี่นาที จู่ๆ พวกพิงเคอร์ตันก็โผล่มาจนทุกคนแตกตื่น ไมคาห์ใช้จังหวะนี้เองยิงเข้าที่ท้องของซูซานจนเธอล้มลง ทุกคนในนั้นตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดจากพวกพิงเคอร์ตัน อาเธอร์กับจอห์นพากันหนีออกมาไกลมาก จนถึงจุดนึงที่อาเธอร์ไม่มีแรงที่จะวิ่งหนีต่อแล้ว หากฝืนต่อไป ทั้งเขาและจอห์นคงได้ตายกันทั้งคู่ อาเธอร์จึงส่งกระเป๋าและหมวกของเขาให้กับจอห์น พร้อมทั้งบอกให้จอห์นรีบหนีไปให้ไกล ส่วนเขาจะตั้งรับอยู่ตรงนี้คอยยื้อเวลาให้

จอห์นได้ยินเช่นนั้นในคราแรกก็ทิ้งอาเธอร์ไว้ที่นี่คนเดียวไม่ลง ปฏิเสธเสียงแข็งว่ายังไงอาเธอร์ก็ต้องรอดไปกับเขาด้วย แต่อาเธอร์เองก็ไม่ยอมจอห์นเหมือนกัน “รีบหนีไปจากที่นี่เร็วเข้าสิวะ กลับไปหาครอบครัวของแก” หลังจากเห็นว่าอาเธอร์ยื่นคำขาดว่าจะไม่หนีไปกับเขาด้วย จอห์นก็ต้องจำใจกล่าวคำร่ำลากับอาเธอร์

“นายคือพี่ชายของฉันเลยนะ” จอห์นทิ้งท้าย

“ฉันรู้น่า ฉันรู้” อาเธอร์ตอบ พลางหันหลังให้จอห์นและเตรียมตั้งรับกับพวกพิงเคอร์ตันที่กำลังดาหน้าเข้ามา

หลังจากสาดใส่กระสุนใส่พวกพิงเคอร์ตันจนนอนตายกันเกลื่อน ไมคาห์ก็พุ่งเข้าชาร์จอาเธอร์จากด้านหลัง ทั้งสองต่อสู้กันด้วยมือเปล่า ต่างฝ่ายต่างแลกหมัดกันไปมาจนสภาพไม่สู้ดีกันทั้งคู่ แต่อาเธอร์อยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าเพราะตัวเขาเองก็กำลังเป็นวัณโรคอยู่ด้วย อาเธอร์ล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพปางตายเต็มที พยายามคลานอย่างตะเกียกตะกายไปคว้าปืนที่หล่นอยู่บนพื้น แต่ก่อนที่จะคว้าปืนมาได้ ดัทช์ก็โผล่หน้าขึ้นมา เขารู้สึกผิดกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ช่วยอาเธอร์ กลับกัน เขาได้เดินหนีและทิ้งอาเธอร์ไว้ทั้งอย่างนั้น ส่วนไมคาห์เอง ก็ไม่ได้ปิดฉากอาเธอร์เพราะต้องรีบหนีออกไปเนื่องจากพวกพิงเคอร์ตันกำลังยกขโยงกันมาอีกระลอก

อาเธอร์ค่อยๆ คลานไปที่ริมผา เขานอนอิงกับโขดหินและหันหน้าไปมองดวงตะวันที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า สาดทอแสงยามอรุณไปทั่วทั้งผืนดิน ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงอย่างช้าๆ จากนั้นทุกสิ่งอย่างก็เงียบลง เหลือเพียงร่างของชายคนหนึ่ง ที่นอนนิ่งอยู่อย่างสงบท่ามกลางแสงของฟ้าสางที่ทอดลงมาบนตัวเขา

และนี่ก็คือตอนจบของ Red Dead Redemption 2


ผู้เขียน: kiwi (กวีกร กังกเวคิน) “เด็กฝึกงานติดเกมท่านหนึ่ง”

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้