รวม First Impression จากการเล่นเดโม Final Fantasy 7 Remake

เมื่อวานนี้ (2 มีนาคม) ทาง Square Enix ได้ปล่อยเดโมของเกม Final Fantasy 7 Remake ให้ชาว PS4 ได้โหลดมาลองกัน เรียกได้ว่าเกิดกระแสเกมเมอร์รีบกลับบ้านเร็วเพื่อไปเล่นเดโมไม่น้อยเลยทีเดียว รวมถึงทีมงาน Online Station เองเช่นกัน และนี่คือรวม First Impression ต่าง ๆ ที่ทางเราได้ลองเล่นมา และอยากจะมาเล่าสู่กันฟังบ้างครับ

เดโมตัวนี้เป็นมิชชั่นบุกเตาปฏิกรณ์เหมือนกับเดโมที่เคยมีให้เล่นในงาน Thailand Game Show 2019 แต่มีการเพิ่มคัตซีนเข้ามาเยอะมาก โดยเฉพาะคัตซีนเปิดเกม รวมถึงคัตซีนที่พรรคพวกของเราค่อย ๆ ทะลวงแนวรักษาความปลอดภัยของเตาปฏิกรณ์ไปทีละโซน ในส่วนนี้ ด้านกราฟิก งานภาพ รายละเอียดของตัวละครและสีหน้า การแสดงอารมณ์ ถือว่าทำออกมาได้ดีเลย

ระดับความยากในเดโมจะมีให้เราเลือก 3 แบบ ได้แก่ Classic, Easy และ Normal โดยความแตกต่างของทั้ง 3 แบบคือ

Classic – ตัวเราจะเข้าโจมตีศัตรูเอง รวมถึงตั้งการ์ด กลิ้งหลบแบบอัตโนมัติ เรามีหน้าที่เลือกคำสั่งในการโจมตีด้วยท่าไม้ตาย (เมื่อสะสมเกจ ATB ถึงระดับนึง) หรือเลือกไอเทมมาใช้เท่านั้น และศัตรูในโหมดนี้จะเป็นระดับง่าย โจมตีไม่หนัก ตีไม่ค่อยถี่ มีเวลาให้เราคิดเยอะ

Easy – ศัตรูในโหมดนี้จะยังเป็นแบบง่ายเหมือน Classic แต่เราต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาศัตรูเอง ตลอดจนต้องกดปุ่มโจมตี ตั้งการ์ด กลิ้งหลบ และ ล็อคเป้าเองทั้งหมด คล้ายกับการเล่นเกมแอ๊กชั่นสไตล์ Hack and Slash

Normal – อันนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ถนัดแต่เกมแนวแอ๊กชั่นมาก่อน ชอบการคิดไวทำไว

จากที่กล่าวมาทำให้รู้สึกว่าทีมพัฒนาพยายามเข้าหาผู้เล่นทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแฟน ๆ หน้าเก่าที่ยังชอบระบบการใส่คำสั่งแบบเดิม ๆ รวมถึงแฟน ๆ หน้าใหม่ที่เติบโตมากับเทรนด์เกมยุคปัจจุบันที่เน้นความเป็นแอ๊กชั่นมากขึ้น ซึ่งน่าทึ่งมากที่ตัวเกมมีให้เล่นกันถึง 3 แบบ โดยที่ไม่ว่าจะเล่นแบบไหน ความสนุกของเกมก็ยังไม่ถูกลดทอนไปเลย อาศัยจำแนกตามความถนัดของผู้เล่นล้วน ๆ

ในภาค 7 รีเมคนี้จะมีการนำข้อดีของระบบการต่อสู้ในภาค 13 ที่เรียกว่า Stagger มาใช้ กล่าวคือตัวศัตรูจะมีอยู่ 2 เกจให้เราสังเกต คือเกจพลังชีวิตกับเกจ Stagger ซึ่งเกจหลังนี้จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเรากระหน่ำโจมตีมันไปเรื่อย ๆ พอเกจวิ่งไปเกือบถึงครึ่งหลอด ศัตรูจะอยู่ในสถานะ Pressured ที่เป็นสัญญาณเตือนให้เราเร่งจังหวะการโจมตีขึ้นอีก เพื่อให้เกจพุ่งไปเต็มหลอด และถ้าเราทำสำเร็จ ศัตรูจะติดสถานะ Stagger ทำให้พลังป้องกันของมันลดลง รวมทั้งมันจะกลายเป็นเป้านิ่งให้เราต่อคอมโบได้ชั่วขณะนึง

ระหว่างสู้ ถ้าเรากดปุ่มสามเหลี่ยม คลาวด์จะเข้าสู่โหมด Punisher ที่เป็นการตั้งท่าดาบรอ โดยในขณะที่เราอยู่ในโหมดนี้ ถ้าเรากดโจมตีจะเป็นการสร้างความเสียหายด้วยคอมโบที่มากขึ้น และมีรัศมีโจมตีที่กว้างขึ้น และสามารถกดปุ่ม R1 ค้างไว้เพื่อดักโจมตีสวนได้อีกต่างหาก นอกจากนี้ จุดเด่นของโหมด Punisher ก็คือสามารถปั่นคอมโบเพื่อเร่งเกจ Stagger ของศัตรูได้ง่ายกว่าโหมดปกติด้วย ทว่าการอยู่ในโหมดนี้ก็ต้องแลกกับการเคลื่อนที่ที่ช้ามาก (แต่ก็สามารถเปลี่ยนกลับมาสู่โหมดปกติได้ทุกเมื่อ)

พอเล่นไปถึงจุดที่บาร์เร็ตเข้ามาอยู่ในปาร์ตี้ เกมจะเริ่มให้เราได้สู้กับศัตรูที่อยู่เกินระยะโจมตีของคลาวด์บ้าง เช่นป้อมปืนที่ติดตั้งอยู่บนที่สูง ตรงจุดนี้เราจะเห็นประโยชน์ของการมีตัวละครที่ต่างกันแบบเห็นภาพได้ชัดขึ้น อย่างในเวอร์ชั่นแรกเราจะเห็นโมเมนต์แบบนี้น้อยมาก อาทิ ตอนสู้กับบอสบนลิฟต์ในตึกชินระ ที่บาร์เร็ตต์สามารถยิงข้ามฟากได้ เป็นต้น แต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นรีเมค เราจะเห็นตำแหน่งศัตรูแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าตัวไหนเป็นหน้าที่คลาวด์ ตัวไหนเป็นหน้าที่บาร์เร็ตต์ ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม แม้บาร์เร็ตต์จะมีทักษะในการโจมตีศัตรูที่อยู่ไกล ๆ แต่เท่าที่ลองเล่นในเดโม ผู้เขียนกลับมีความรู้สึกว่าคลาวด์จะใช้ปั่นเกจ Stagger ของศัตรูได้ดีกว่า เลยไม่แน่ใจว่านี่คือข้อดีของตัวละครสายโจมตีประชิดหรือไม่ หากตัวเต็มมาอาจต้องลองใช้ทิฟาหรือแอริธดูบ้าง ถ้าไม่เช่นนั้น อาจขอเดาไว้ก่อนว่าเกมมุ่งเน้นให้ใช้คลาวด์เป็นหลักเพื่อเป็นตัวปั่น Stagger ก็เป็นได้

บอสแมงป่องมีการโจมตีที่หลากหลาย โดยพวกท่าใหม่ ๆ มันจะเริ่มใช้เมื่อพลังชีวิตลดไปถึงระดับนึง และมีการแบ่งช่วงสู้เป็น 3-4 เฟส ยิ่งเฟสท้าย ๆ จะมีท่าที่รุนแรงอย่างท่ายิงเลเซอร์จากหาง ซึ่งเกมก็มีตัวช่วยให้เรารับมือกับบางท่าได้โดยไม่เจ็บตัว ตอนที่เล่นระดับ Classic หรือ Easy นี่แทบไม่ต้องพะวงอะไรเลย เข้าไปบวกกับมันรัว ๆ ผสมกับกลิ้งหลบท่าสายฟ้าบนพื้นบ้างพอเป็นพิธีก็ชนะได้ไม่ยาก แต่พอโยกมาเล่นระดับ Normal พอรู้สึกว่าตึงมือบ้าง ต้องหันมาเล่นที่จุดอ่อนมันตลอด การเข้าไปปะทะกับมันตรง ๆ มักได้ไม่คุ้มเสีย หนำซ้ำยังต้องใช้โพชั่น (ยาฟื้นพลัง) ช่วยอยู่หลายขวด ถ้าใครช่างสังเกต ไล่เปิดหีบสมบัติที่ซ่อนอยู่ตามทางได้ครบก็จะช่วยได้มาก

ส่วนที่ชอบอีกอย่างคือคัตซีนที่เผยให้เราได้เห็นไฮเดกเกอร์ (Heidegger) กับประธานบริษัทชินระที่มองพวกคลาวด์ผ่านกล้องวงจรปิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้ได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Avalanche นั้นถูกเฝ้าจับตามองมานานแล้ว และการที่เตาปฏิกรณ์ระเบิดลงได้ก็เหมือนเป็นแผนจงใจของฝั่งชินระด้วยส่วนนึง ตรงนี้คิดว่าในเวอร์ชั่นรีเมคเราอาจจะได้เห็นแง่มุมใหม่ ๆ จากพวกเหล่าร้ายบนตึกชินระที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อนในเวอร์ชั่นดั้งเดิมอีกเพียบแน่ ๆ

ตอนที่ลุยอยู่ในเตาปฏิกรณ์ ผู้เขียนชอบอยู่ช่วงนึงที่เราต้องกะจังหวะหลบเลเซอร์ที่ขวางทาง คือแอบคิดว่าอย่างน้อยเกมมันก็ไม่ให้เราวิ่งหน้าตั้งไปถึงจุดหมายอย่างเดียว ยังพอเรียกว่าเป็น “กึ่ง” พัซเซิลก็พอกล้อมแกล้มได้บ้าง แต่ถ้าตัวเกมเต็มมาก็หวังว่าจะมีลูกเล่นอะไรแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก เช่น แบ่งคนไปกดสวิตช์ หรือไล่เดินเหยียบบล็อกตามลำดับ อะไรแบบนี้ก็น่าจะเวิร์คอยู่

ระบบแผนที่ของเกมจะมีตัวช่วย 2 อย่าง คือมินิแมพที่ต้องกดปุ่มเข้าไปดู ซึ่งในมินิแมพจะบอกตำแหน่งจุดหมายปลายทางที่เราต้องไปไว้พร้อมแล้ว และถ้าใครขี้เกียจกดเข้าไปเช็คบ่อย ๆ ก็ยังมี Tracker อยู่ด้านบนของจอ ให้เราใช้หันทิศเพื่อไปยังจุดหมายได้ถูกต้องอยู่ด้วยเช่นกัน (ระบบ Tracker จะคล้าย ๆ กับ Skyrim เลย) ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจครับที่ Tracker จะเป็นที่นิยมในบรรดาเกม RPG ยุคหลัง ๆ ทั้งในฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตก

แฟนเกม Final Fantasy 7 ไม่ควรพลาดที่จะลองเล่นเดโมนี้ด้วยประการทั้งปวง ตัวเกมมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เอาใจทั้งคนเล่นจากยุคก่อนและยุคหลัง ซึ่งลำพังแค่เดโมนี้ก็ถือว่าเกมสอบผ่านความเป็นเกมรีเมคแบบฉลุยแล้ว ยิ่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีให้ก็สามารถใช้งานได้ดี มีประโยชน์ และทำให้เกมมีความสนุกมากขึ้นด้วย รอพบกันในวันที่ 10 เมษายนนี้ได้เลย