รวม 5 อดีตผู้พัฒนาเกมดัง ที่ทำเกมแทบตาย สุดท้ายดันปังอยู่เกมเดียว

ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่วงการเกมได้มอบความสุขให้กับผู้คน ก็มีเกมจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จ และยังมีอยู่อีกมากที่ไปไม่ถึงดวงดาว ซึ่งที่กล่าวมานี้ ก็จะมีปรากฏการณ์อยู่อย่างนึงที่เราเรียกว่า “One-hit Wonder” ที่จะกล่าวถึงเกมที่ทำออกมาโดยทีมพัฒนาสักแห่งแล้วประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักในหมู่เกมเมอร์ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ไม่ว่าจะเรื่องปัญหาทางการเงิน หรือผลงานอื่นๆ ของทีมพัฒนานั้นๆ ดันไม่มีชิ้นไหนที่จะประสบความสำเร็จได้เท่ากับเกมนั้นอีกเลย สุดท้ายทีมพัฒนานั้นก็มีอันต้องปิดตัว หรือเฟดตัวไปจากวงการแบบเงียบๆ หรือบ้างก็เบนเข็มไปเอาดีกับวงการอื่นแทน ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานจึงขอนำเสนอบทความที่จะยกตัวอย่างให้เพื่อนๆ ได้รำลึกไปกับ 5 ผู้พัฒนาที่เข้าข่าย “One-hit Wonder” ของวงการเกมกันครับ


1. Silicon Knights

Silicon Knights เป็นทีมพัฒนาเกมจากแคนาดาที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1992 โดยระหว่างที่ค่ายนี้ดำเนินกิจการก็ได้พัฒนาเกมไปรวมทั้งสิ้นแค่ 8 เกมเท่านั้น ซึ่งช่วงเริ่มแรก ทางค่ายได้เน้นทำเกมลง PC เป็นหลัก ก่อนจะโยกมาทำเกมลงเครื่องคอนโซลเต็มตัวก็คือเกม Eternal Darkness: Sanity’s Requiem ที่เป็นแนวแอ็กชั่นกึ่งสยองขวัญลงบนเครื่อง GameCube ที่มี Nintendo เป็นผู้ออกทุนพัฒนาให้ และมันก็ดังจนเป็นที่จดจำในหมู่เกมเมอร์ที่เคยสัมผัสเครื่องเกมทรงลูกบาศก์ (ถึงแม้ยอดขายจะสวนทางกับคำวิจารณ์ไปไกลสุดกู่ก็ตามที)

น่าเสียดายที่หลังจาก Eternal Darkness: Sanity’s Requiem ออกสู่ตลาดแล้ว เกมอื่นๆ ที่คลานตามกันมาด้วยฝีมือของค่ายนี้ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อีกเลย จะมีเต็มที่ก็คือ Metal Gear Solid: The Twin Snake ที่เป็นการรีเมค Metal Gear Solid ภาคแรกลงเครื่อง GameCube แต่นั่นก็เป็นการนำเกมของคนอื่นมาทำใหม่อยู่ดี สุดท้ายค่ายนี้ก็ต้องมีอันต้องถูกฟ้องล้มละลายและปิดตัวไปในปี 2557


2. Markus Persson (Notch)

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกม Minecraft นั้นเป็น 1 ในเกมอินดี้ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์เขย่าโลกและประสบความสำเร็จได้อย่างถล่มทลาย ซึ่งเกมดังกล่าวคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไม่มีผู้ที่เนรมิตและออกแบบมันขึ้นมาอย่างคุณมาร์คัส เพอร์สสัน (Markus Persson) หรือฉายาที่รู้จักกันดีในวงการเกมว่า น็อตช์ (Notch) นักพัฒนาเกมชาวสวีเดนที่ต่อมาเขาก็ได้ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คนในการก่อตั้งบริษัท Mojang ขึ้น โดย Minecraft ได้พลิกชีวิตของมาร์คัสและเพื่อนๆ ให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน จากการเป็นเกมแนวแซนด์บ็อกซ์ 3D ที่มีกราฟิกโพลิก้อนเหลี่ยมๆ แต่เน้นให้อิสระผู้เล่นในการสร้างวัตถุหรือสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาตามใจชอบ ทำให้มีกลุ่มผู้เล่นที่สนใจเกมนี้กันทุกเพศทุกวัย แถมยังลงให้กับเครื่องเกมต่างๆ รวมกันเกือบ 20 แพลตฟอร์มเลยทีเดียว

พอถึงช่วงปี 2014 หลังจากที่คุณมาร์คัสและเพื่อนที่ร่วมหุ้นได้ทำการขายบริษัทให้กับ Microsoft ด้วยวงเงินมหาศาลสูงถึง 2,500 ล้านเหรียญ โดยในช่วงท้ายก่อนที่จะลาออกจาก Mojang เขาก็ได้พัฒนาเกม Scrolls ออกมา แต่นั่นก็ไม่อาจเทียบความปังกับเกม Minecraft ได้เลยแม้แต่น้อย


3. Alexey Pajitnov

ถ้าว่ากันเป็นรายบุคคล ก็ไม่น่าจะมีใครเหมาะสมกับคำว่า “One-hit Wonder” ไปกว่าคุณอเล็กซีย์ พาจิทนอฟ (Alexey Pajitnov) โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซียผู้นี้ได้อีกแล้วครับ ซึ่งเขาก็คือผู้ที่สร้างเกมพัซเซิลระดับอมตะนิรันดร์กาลอย่าง Tetris นั่นเอง โดยเกมนี้มีจุดกำเนิดมาจากการที่คุณพาจิทนอฟได้ทดลองเขียนเกมขึ้นมาระหว่างที่ตัวเขาทำงานอยู่ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตเดิมในปี 1984 หรือเมื่อ 35 ปีก่อนนู่นเลย กลายเป็นว่าพอทำออกสู่ตลาดก็ได้รับความนิยมกันแบบมืดฟ้ามัวดิน เกมถูกนำไปพอร์ตลงเครื่องเกมนั่นนี่โน่นถึงประมาณ 30 แพลตฟอร์มจนกระทั่งเครื่องเกมในยุคปัจจุบัน

ภายหลัง คุณพาจิทนอฟได้มีออกแบบเกมแนวพัซเซิลอีกเกมที่มีชื่อว่า Hexic ที่เป็นตารางเรียงสีคล้ายรวงผึ้ง แต่ตัวเกมก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก อีกทั้งรูปแบบการเล่นยังค่อนข้างซับซ้อนกว่า Tetris อยู่พอสมควร ส่วนภาพลักษณ์ของเกม Tetris ที่มีต่อสายตาเกมเมอร์ทั่วโลกนั้นมักจะมองว่านี่คือเกมพัซเซิลมหาชน แต่สำหรับรัสเซียแล้ว เกมซีรีส์นี้ถือว่ามีศักดิ์ศรีไม่แพ้กับเกม The Witcher ที่กลายเป็นเกมเชิดหน้าชูตาให้กับประเทศโปแลนด์เลยก็ว่าได้


4. Team Bondi

สองค่ายก่อนหน้านี้ยังถือว่าพอมีผลงานอื่นบ้างนะครับ แต่สำหรับ Team Bondi (อ่านว่า ทีม-บอนได) ซึ่งเป็นทีมพัฒนาจากออสเตรเลียที่เรากำลังจะพูดถึงอยู่นี้ต้องเรียกว่าเป็นค่ายที่เข้าข่าย “One-hit Wonder” แบบเต็มๆ เลย นั่นเป็นเพราะว่าตั้งแต่ค่ายนี้ก่อตั้งมา พี่แกทำออกมาเพียงเกมเดียวคือ L.A. Noire ที่เป็นแนวโอเพ่นเวิลด์สไตล์สืบสวนสอบสวน แถมมีการนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยอย่าง Motion Capture มาใช้ในการกำหนดสีหน้าและบุคลิกของตัวละครให้ดูสมจริง และก็สร้างปรากฏการณ์ให้เป็นที่ฮือฮาในช่วงนั้นอยู่พักนึง ทว่าเกมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จชนิดหวือหวาอะไรนัก ก่อนจะปิดตัวไปแบบเงียบๆ

Team Bondi นั้นก่อตั้งมาเมื่อปี 2003 และกว่าที่เกม L.A. Noire จะออกสู่ตลาดก็ปาเข้าไปถึงปี 2011 นู่น และแล้วค่ายนี้ก็ต้องปิดตัวไปหลังจากที่เกม L.A. Noire วางจำหน่ายเพียงแค่ไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ โลกเรานี้ช่างโหดร้ายจุงเบย…


5. United Front Games

นี่ก็เป็นอีกทีมพัฒนาจากแคนาดา แถมมีประวัติการร่วมพัฒนามาเพียงแค่ 6 เกมเท่านั้น โดยผลงานที่ปังสุดๆ ของค่ายนี้ก็คงหนีไม่พ้น Sleeping Dogs เกมแนวโอเพ่นเวิลด์ที่มีกลิ่นอายคล้ายกับ GTA แต่ใช้โลเคชั่นเป็นเกาะฮ่องกงแทน ทั้งนี้ ทีม United Front Games เป็นค่ายเกมที่ค่อนข้างจะอาภัพสักหน่อย คือเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2007 และก็มีอันต้องปิดตัวไปในช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา ซึ่งการปิดตัวดังกล่าวก็ไม่ได้มีการให้เหตุผลใดๆ ว่าเป็นเพราะอะไร ทว่าเป็นที่คาดเดากันในแวดวงว่าน่าจะสืบเนื่องมาจากการประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ยังมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Sleeping Dogs โดยเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่าตัวเกมได้ถูกนำไปทำเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ แถมยังได้ ดอนนี่ เยน (Donnie Yen) ที่โด่งดังจากบทนำภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน (Ip Man) ทั้ง 3 ภาค มารับบทนำให้กับหนัง Sleeping Dogs ด้วย ซึ่งก็น่าจะการันตีความมันส์ของบทบู๊ในหนังได้มากพอดูละครับ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้