[Hands on] Assassin’s Creed Mirage ไม่ใช่ภาคหลัก แต่ไม่ควรมองข้าม

Assassin’s Creed Mirage ถือเป็นภาคใหม่ของภราดรมือสังหารผู้ทำงานในเงาเพื่อรับใช้แสงสว่าง ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคมนี้แล้วนะครับ ถือเป็นเกมใหม่ภาคใหม่ของซีรีส์ที่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ขายภาคใหม่มาเกือบ 3 ปีแล้ว แม้ว่าหลายๆ คนจะรู้สึกว่าไม่นานก็เถอะ

อย่างไรก็ตาม Assassin’s Creed Mirage นั้นแม้จะเป็นเกมเรือธงของ Ubisoft ในปีนี้ แต่เอาเข้าจริงแล้วหากใครที่ติดตามซีรีส์นี้มาสักหน่อยก็จะรู้ดีว่า Mirage ไม่ใช่เกมภาคหลักเสียทีเดียว เพราะเดิมทีแล้วนี่คือเกมที่เคยจะเป็น DLC ของ Valhalla มาก่อนที่จะถูกขยายเป็นเกมเต็ม มันจึงถือเป็นเกมที่ฟอร์มเล็กกว่าหลายๆ ภาคที่ผ่านมา ใช้เวลาเล่นน้อยกว่า มีราคาที่ถูกกว่า แม้กระนั้นมันก็อาจจะถูกใจหลายๆ คนมากกว่าเดิมกับการที่เกมประกาศตรงๆ เลยว่านี่จะเป็นการกลับสู่รากเหง้าของเกมเพลย์แบบเก่าก่อนที่แฟนๆ รู้สึกว่าเข้าถึงความเป็นมือสังหารมากกว่า

แต่จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ วันนี้ทางพวกเรา Online Station ได้เข้าไปลองสัมผัสส่วนหนึ่งของเกมมาแล้ว เลยขอมาเล่าให้ฟังกันครับว่าเป็นอย่างไรหรือมีอะไรน่าสนใจบ้าง

เนื้อเรื่อง

เราจะได้เล่นเป็น Basim ตัวละครที่เคยโผล่มาในภาค Valhalla และผู้ที่เล่นจนจบก็คงได้เห็นบทบาทในภาพรวมของพี่แกกันแล้ว แต่ใน Mirage เราจะได้ย้อนกลับมาดูชีวิตของแกในช่วงก่อนจะออกไปเยี่ยมเยือนชุมชนไวกิ้งทางยุโรปเหนือกัน ซึ่งในส่วนที่ทีมงาน Ubisoft ได้ให้ทดสอบนั้นจะมีอยู่ 3 ช่วงเวลาด้วยกัน กล่าวคือในช่วงก่อนที่ Basim จะเข้า Hidden One ช่วงทำการทดสอบเพื่อเป็น Hidden One และการทำภารกิจใหญ่เมื่อได้กลายเป็น Hidden One แล้วนั่นเอง

Assassin's Creed Mirage

เราจะได้เห็นช่วงชีวิตที่พลิกผันของ Basim แบบหมดจรด ตั้งแต่ยังเป็นโจรกระจอกข้างถนนสู่การเป็นหนึ่งในมือสังหารฝีมือฉกาจของ Hidden One สาขากรุงแบกแดด ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีเนื้อเรื่องที่โฟกัสต่างกันออกไป แต่ในภาพรวมเมื่อเกมไม่ได้ไปเล่นประเด็นใหญ่โตเหมือนกับภาคก่อนหน้า ไม่ได้เป็นโอเพ่นเวิร์ล และมีการสโคปเนื้อเรื่องที่ชัดเจน ไม่มีส่วนให้วอกแวกออกทะเลจนเกินงาม ก็น่าจะทำให้ผู้เล่นสามารถจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องที่มีจังหวะการเล่าต่อเนื่องไม่ขาดตอนขึ้นได้

จุดที่ค่อนข้างชอบเป็นพิเศษคือช่วงฝึกการเป็น Hidden One ที่ป้อม Alamut คิดว่าส่วนที่ได้เล่นนั้นน่าจะยังไม่ครอบคลุม Arc นี้ทั้งหมด มีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ถ้าได้เล่นในเกมตัวเต็มที่อะไรๆ ก็น่าจะส่งมากกว่านี้คงจะอินกับมันมากขึ้นไม่มากก็น้อยเลย

Assassin's Creed Mirage

เสียง

นอกจากเรื่องแอมเบียนต์ต่างๆ ที่ทำได้ตามมาตรฐานแล้ว สิ่งที่ Ubisoft ยังใส่ใจมากๆ ในภาคนี้คือเรื่องของภาษาพื้นถิ่น ถึงคุณจะเปิดพากย์ Eng แต่ก็จะมีการพูดภาษาถิ่นเพิ่มเข้ามาอยู่เสมอ ทำนองเดียวกับการสบถ Malaka ในภาค Odyssey แต่ถ้าใครอยากจะเข้าถึงความเป็นชาวรัฐอิสลามเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์อันเฟื่องฟูในยุคโบราณแล้ว ตัวเกมภาคนี้ก็มีการลงเสียงพากย์และซับไตเติ้ลภาษาอาหรับกันอย่างเต็มรูปแบบเลยทีเดียว

กราฟิก

ซีรีส์นี้มีกราฟิกที่ดูดีมาช้านาน โดยเฉพาะเรื่องของแลนด์สเคป ธรรมชาติสภาพแวดล้อม รวมถึงเมืองและสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ Ubisoft ทำได้ดีเสมอมา ภาคนี้ก็เช่นกันครับ กรุงแบกแดดในเกมเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความมีชีวิตชีวา ทั้งยังแบ่งโซนชัดเจน อย่างสลัมก็จะให้ความรู้สึกว่าสกปรกไปด้วยฝุ่นหรือโคลน ขณะที่ในเมืองก็มีสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมากมายให้ได้ปีนป่าย

Assassin's Creed Mirage

แต่แม้จะยังทำได้ดี ทว่าตัวเอนจิ้นก็เริ่มฉายถึงความตกยุคไม่น้อย เช่น NPC หลายๆ ตัวที่ไม่ได้สลักสำคัญนั้นอาจจะอยู่ในขั้นงานหยาบเลยทีเดียว เราหวังว่าในเกมตัวเต็ม แม้กราฟิกอาจจะไม่สามารถสวยไปได้มากกว่านี้แล้ว แต่ถ้าหากมีการปรับปรุงการแสดงทางสีหน้าได้ก็จะดีมาก เพราะที่เจอในตัวทดลองเล่นนั้นหลายๆ ตัวละครหน้าแข็งเป้กมาเชียว

Assassin's Creed Mirage

เกมเพลย์

Assassin’s Creed Mirage นั้นประกาศตัวแต่แรกว่าจะกลับไปสู่รากเหง้าความดั้งเดิมของซีรีส์ ส่วนตัวผมจากที่ลองมาก็คิดว่าถูกครึ่งหนึ่ง คือไดเรคชั่นหลักๆ นั้นพยายามกลับไปจริงและไม่เหมือนกับ 3 ภาคหลังสุดโดยสิ้นเชิง แต่บางส่วนซึ่งเป็นฟีเจอร์ในยุคหลังๆ ก็ยังคงเหลืออยู่บ้าง ถือเป็นการผสมผสานจนตัวเกมมีรสชาติแบบดั้งเดิมที่ถูกปรับตามยุคตามสมัยได้อย่างน่าสนใจ

ในช่วงที่ 3 ของการทดสอบเกมผมได้เล่นในภารกิจแบบฟูลสเกลซึ่งน่าจะนำเสนอความเป็นตัวตนของภาคนี้ได้เป็นอย่างดี โดยภารกิจนี้แม้จะมีการระบุเป้าประสงค์ชัดเจนแต่วิธีการเข้าถึงจุดหมายนั้นสามารถทำได้หลากหลายทางมากขึ้น คุณอาจจะจ่ายเงินซื้อข้อมูลหรือลองเดินสำรวจจนเจอหนทางอื่นก็ย่อมได้

Assassin's Creed Mirage

พูดถึงเรื่องเงิน ภาคนี้มีแนวโน้มว่าจะได้ใช้เงินเยอะ และมันหาได้ยากขึ้นมาก ส่งผลให้ระบบล้วงกระเป๋านั้นกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ซึ่งในภาคนี้ถูกนำเสนอในแบบ QTE ต้องกดให้ตรงจังหวะเพื่อแต๊บเงินชาวบ้านมาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว รวมไปถึงการเปิดหีบลอบเอาทรัพยากรก็ได้รับความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน แต่นอกจากเงินตัวเกมก็ยังมีทรัพยากรพิเศษซึ่งมีการใช้งานแทนเงินแบบเฉพาะทางเช่นเหรียญเขียวในการแลกข้อมูลเป็นต้น

Assassin's Creed Mirage

ตัวเกมยังกลับมาบีบให้ผู้เล่นต้องเลือกทางลอบเร้นแบบเสียมิได้ ถึงแม้ว่าจะยังเปิดโอกาศให้คุณได้บู๊เช่นเคย แต่อยากให้คิดดีๆ เพราะยามรากหญ้า 2-3 คนก็กระทืบมือสังหารในตำนานให้จมดินได้หากไม่ระวัง ตัวเกมมีคอมแบทที่ยากขึ้นมาก ผมรู้สึกว่ามันกลับไปใกล้เคียงกับภาค Unity ที่คอมแบทค่อนข้างสมจริงไม่มีท่วงท่าปาฏิหารย์และการแพรี่แบบเทพสร้างปุ่มเดียวล้มทั้งกองทัพ มันทำให้การทำภารกิจตึงขึ้น และบีบให้ผู้เล่นต้องรอบคอบกว่าเดิม ลำพังสู้ตัวต่อตัวยังพอไหว แต่ถ้ารุม 3 ขึ้นไปแนะนำให้เผ่นดีกว่า

แต่การจะรอบคอบกว่าเดิมก็ต้องวางแผน เมื่อต้องวางแผนก็อาจต้องพึ่งโดรนส่วนตัวอย่างนกเหยี่ยวเช่นเคย เพียงแต่บางพื้นที่หากมีนักธนูคุมอยู่ก็จะยังบินเหยี่ยวเพื่อสำรวจไม่ได้ และเราก็ต้องจัดการกับคนเฝ้ายามก่อน โชคดีที่การออกแบบกรุงแบกแดดของทีมงานนั้นทำมาเพิ่อให้รองรับการวิ่งและปีนป่าย ทำให้การปากัวร์ไปตามบ้านช่องนั้นทำได้ไหลลื่น แม้ว่าตัวละครเราจะปีนไม่ได้ทุกจุดแล้วก็ตาม

Assassin's Creed Mirage

แต่แน่นอนว่าการเก็บยามคนเดียวก็อาจไม่ส่งผลอะไรนัก ผู้เล่นจึงต้องพยายามเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ์ไม่ว่าจะมีดบิน, ระเบิดควันหรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อการปฏิบัติการณ์ที่เนียนที่สุด การที่เราลอบเร้นและปิดงานได้แบบไม่กระโตกกระตากก็จะมีรางวัลของมัน เช่นการใช้ไม้ตาย Assassin’s Focus ในการล้มศัตรูหลายตัวพร้อมกัน จะต้องใช้พลังงานจากเกจที่จะเพิ่มขึ้นการต่อเมื่อเราสังหารเป้าหมายแบบไม่รู้ตัว หรือการไม่ถูกทหารทั้งเมืองตามล่าหลังจบภารกิจก็เป็นลาภอันประเสริญเช่นกัน เนื่องจากในภาคนี้ได้นำเอาเกจความอะเลิร์ธของทหารยามกลับมาใช้อีกครั้ง ยิ่งเกจสูงก็จะเจอของหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้คุณสามารถตามลดมันได้ด้วยวิธิการเดิมๆ อย่างดึงป้ายหรือจ่ายเงินอุดปาก แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากในตอนท้าย ก็นั่นแหละครับ ตั้งใจลอบเร้นให้เนียนกริ๊บแต่แรกจะเข้าท่ากว่า

Assassin's Creed Mirage

สรุป

Assassin’s Creed Mirage นำเอาระบบเก่าๆ ที่หลายๆ คนคิดถึงกลับมาปัดฝุ่นและปรับให้เข้ากับยุคสมัย พร้อมการสโคปเวลาเล่นลงทำให้สามารถใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางรวมไปถึงการเล่าของเนื้อเรื่องที่คงมีจังหวะดีขึ้นเข้มข้นขึ้น จัดเป็นภาคขั้นเวลาที่ทีมงานน่าจะได้ลองอะไรใหม่ๆ และผู้เล่นได้เปลี่ยนรสชาติกลับไปลิ้มรสอะไรแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้ชิมมานาน

Assassin's Creed Mirage

ผมเดาว่าคนจำนวนมากอาจจะรู้สึกว่า Mirage เล่นก็ดีไม่เล่นก็ได้ และง้างรอ Code Red ที่จะให้เราได้เล่นในญี่ปุ่นยุคศักดินากันแล้ว แต่หากใครเป็นแฟนซีรีส์ หรือคิดถึงบรรยากาศเกมเพลย์แบบเดิมๆ เน้นทำภารกิจไม่คิดวิ่งฟาร์มแล้วล่ะก็ ยังไง Assassin’s Creed Mirage ก็ยังเป็นอีกเกมที่อยากให้ได้ลองเล่นกันจริงๆ ครับ

Assassin’s Creed Mirage มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 5 ตุลาคมนี้บน PC, PS4, PS5 Xbox One และ Xbox Series ครับ


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้