Blizzard สรุปหลากเหตุการณ์ จากค่ายเกมที่คนรัก กลายเป็นค่ายเกมที่คนเกลียด

แชร์เรื่องนี้:
Blizzard สรุปหลากเหตุการณ์ จากค่ายเกมที่คนรัก กลายเป็นค่ายเกมที่คนเกลียด

ในช่วงยุคบุกเบิกของเกม PC หากจะมีค่ายเกมไหนสักค่ายที่มีแต่คนรักก็คงไม่พ้นค่ายเกม Blizzard ที่มีซีรีส์เกมสุดเจ๋งอย่าง StarCraft, Warcraft, Diablo และ Overwatch ซึ่งงานอย่าง BlizzCon ก็ถือเป็นอีกหนึ่งงานเกมที่ชาวเกมเมอร์ตัวยงคาดหวังจะได้ไปสักครั้งในชีวิตกันเลยทีเดียว

หากย้อนกลับไปมองความรุ่งเรือง หลายคนคงจะนึกไม่ออกว่าค่ายนี้จะมีภาพลักษณ์ที่แย่ได้อย่างไร ทั้งเนื้อหาของเกมที่ถูกใจผู้เล่นเกือบทั่วโลก รวมไปถึงแฟนบอยมากมาย แต่เรื่องมันก็ได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อซีรีส์ Diablo เปิดตัวภาค Immortal พร้อมกับวลีเด็ดโดนใจชาวเน็ต "do you guys not have phone" ที่ทำเอาแฟนซีรีส์นี้ถึงกับเบือนหน้าหนีกันเลยทีเดียว ภายในงาน Blizzcon 2018

นี่อาจจะเป็นประเด็นที่เห็นได้ชัด แต่หากมองย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2012 ในช่วง World of Warcraft: Mists of Pandaria ซึ่งมีกลายปรับเปลี่ยนหลายอย่างภายในเกมจนทำให้คนเริ่มไม่ชอบและปลีกตัวออกมากันค่อนข้างมาก ถึงขนาดที่มีคนทำเซิฟเถื่อนที่ชื่อ Nostalrius ซึ่งเป็นตัวเกมแบบดั้งเดิม

แต่ก็ถูก Blizzard สั่งปิดไป ก่อนที่จะเปิดใหม่แบบ Official ในชื่อ World of Warcraft Classic แต่ก็ทำออกมาได้ไม่ดีจนเกิดกระแสผู้เล่นย้ายไป FFXIV อย่างที่เห็น สตรีมเมอร์ World of Warcraft ปันใจมาเล่น Final Fantasy XIV ได้ยอดคนดูถล่มทลาย

Asmongold หนึ่งในสตรีมเมอร์ WoW ชื่อดังที่ปันใจมาเล่น Final Fantasy XIV

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นก็คือการไล่พนักงานออกกว่า 800 คน ในช่วงต้นปี 2019 ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ถูกวิพากย์วิจารณ์มากเช่นกัน และในประเด็นเดียวกันนี้ก็มีหนึ่งในนักประพันธ์เพลงอย่าง Russel Brower ที่ถูกไล่ออกในช่วงปี 2017 ให้ไปทำงานเป็นฟรีแลนซ์แทน เพียงเพราะค่ายเกมอยากที่จะลดต้นทุนเท่านั้น


เรียกว่าสถานการณ์หลายอย่างค่อนข้างร่อแร่ แม้จะนำเกมดังหลายเกมมา Remaster ใหม่อย่าง StarCraft: Remastered, Warcraft III: Reforged, และ Diablo II: Resurrected แต่ก็ทำออกมาได้ไม่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกมใหม่อย่าง Diablo 4 และ Overwatch 2 ที่ดูกระแสไม่ดีเท่าไหร่นัก


หลังจากนี้ก็มีเหตุการณ์ที่กลายเป็นกระแสอีกครั้งจากการแบนนักแข่ง Esports ของเกม Hearthstone ที่ชื่อ Blitzchung ที่ได้ออกมาพูดถึงประเด็นการประท้วงในฮ่องกง ในช่วงเดือนตุลาคม 2019 ทำให้กระแสคนเกลียดชังเริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งอเมริกาที่สนับสนุนเสรีภาพทางการแสดงออกเป็นอย่างมาก

ซึ่งล่าสุดก็ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่ Activision Blizzard ถูกฟ้องข้อหาล่วงละเมิดทางเพศพนักงานหญิงภายในองค์กร ซึ่งเป็นการฟ้องจากรัฐโดยตรงที่สืบเรื่องนี้มา 2 ปี ซึ่งประเด็นนี้ก็ทำให้ชื่อเสียงของบริษัทดิ่งเหวยิ่งขึ้นไปอีก

งานนี้ต้องยอมรับเลยว่าเป็นขาลงของ Blizzard จริงๆ จนเข้ากับวลีของ Harvey Dent ว่า "You Either Die A Hero, Or You Live Long Enough To See Yourself Become The Villain" ก็ต้องมาดูกันนะครับ ว่าค่ายเกมจะสามารถกู้สถานการณ์กลับมาได้หรือไม่

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ