รีวิว Tom Clancy’s The Division 2 ยอดเยี่ยมกว่าภาคแรก สมกับที่แฟนๆ รอคอยมาถึง 3 ปี

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว Ubisoft ได้เปิดตัว แฟรนไชส์เกมตัวใหม่ Tom’s Clancy The Division ซึ่งมาพร้อมกับเกมเพลย์รูปแบบใหม่ พร้อมเนื้อเรื่องอันน่าติดตาม ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากเหล่าเกมเมอร์ จนทำยอดขายได้อย่างถล่มถลายและกลายเป็นเกมขายดีอันดับหนึ่งประจำค่าย อีกทั้งยังได้รับคำวิจารณ์โดยรวมอยู่ในระดับที่ดีมาก แล้ว ณ ตอนนี้ The Divison 2 ก็ได้ออกมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว เรามาดูกันว่าภาคต่อของแฟรนไชส์นี้จะทำได้ยอดเยี่ยมดังเช่นภาคแรกหรือไม่

แย่งชิง control point อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ในภาคนี้

เลือกรับภารกิจและดูรางวัลของแต่ละภารกิจได้>

    ตัวเกมในภาค 2 นั้น คุณจะยังได้รับบทเจ้าหน้าที่ของหน่วย SHD ( Strategic Homeland Division) หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม Division ดังเช่นในภาคแรกเช่นเคย โดยเหตุการณ์ในภาคนี้ ได้ย้ายมาดำเนินเนื้อเรื่อง ณ กรุง Washington D.C. ซึ่งเกิดความโกลาหลเพราะเชื้อไวรัสเช่นกัน โดยเป็นเวลาหลังจากภาคแรก 7 เดือนจากเหตุการณ์ในภาคแรก ซึ่งตรงกับช่วงกลางฤดูร้อน ทำให้บรรยากาศของเกมนั้นเต็มไปด้วยแสงแดด อันร้อนแรง และพืชพรรณอันเขียวขจีที่ปกคลุมไปทั่วเมือง

ตึกรัฐบาลที่ถูกปล่อยให้ร้าง หลังโดนไวรัสเข้าถล่มเมือง

สกิลระดับสูงได้ ปลดล็อคได้ใน Dark Zone เท่านั้น

    ภารกิจการกอบกู้เมือง หลังจากฉาก Opening Scene ที่คุณได้รับคำสั่งด่วนให้เข้ามารายงานตัว ณ กรุง Washington D.C. โดยจะได้รับการประสานงานจาก Manny Ortega หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ Division ประจำ D.C. ได้สรุปภารกิจให้ฟังโดยย่อว่า ต้องหาทางยับยั้งไวรัส พร้อมกับปลดปล่อยพื้นที่ต่างๆ ของเมือง จากเหล่าวายร้ายจาก Faction ต่างๆ ซึ่งแต่ละ Faction ที่คุณจะเผชิญนั้นก็จะมีกลยุทธในการต่อสู้แตกต่างกันออกไป และสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในเนื้อเรื่องภาคนี้ก็คือ Settlements หรือที่ตั้งของกลุ่มพลเรือนติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับเรา โดยคุณสามารถเข้าไปรับภารกิจหลักและภารกิจรองได้ อีกทั้งคุณยังสามารถช่วยอัพเกรด Settlements ได้ด้วยการทำภารกิจปลีกย่อยเช่นการหาของ อุปกรณ์ต่างๆ มามอบให้ settlements โดยคุณจะได้รับไอเทมพิเศษเป็นการตอบแทน รวมถึงการปลดล็อค ตัวละครในแต่ละ Settlements ที่จะสามารถสนับสนุนคุณได้ เช่น การสร้างอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ  และการปรับแต่งอาวุธแบบพิเศษเป็นต้น ซึ่งตรงจุดนี้ผมคิดว่าช่วยให้การดำเนินเรื่องของเกมดูมีมิติมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นทำภารกิจด้วยความสนุก ไม่น่าเบื่อเพราะเหมือนทำให้คุณได้ร่วมเป็นเจ้าของ Settlements นั้นๆ จึงมีแรงจูงใจจากการปฏิบัติภารกิจมากขึ้นนั่นเอง โดยในเกมนั้นจะประกอบไปด้วยหลาย Settlements ด้วยกัน

ตัวละคร NPC มีการดำเนินกิจกรรมอย่างสมจริง

ช่วยคุ้มกัน supply line ของเหล่า Settlement

    สำหรับระบบการเล่นนั้นยังคงเป็นเกมออนไลน์ เดินหน้ายิงแบบมุมมองบุคคลที่สาม ดังเช่นในภาคแรก มีระบบการต่อสู้ เก็บประสบการณ์ เพื่อมาอัพเกรด Skills และ Perks มีการ Loot Items ทั้งจากศัตรูและตามพื้นที่ต่างๆ โดยสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากภาคแรกก็คือ Skill และ Perks จะไม่ได้แบ่งเป็น 3 สายอีกต่อไป ทำให้คุณสามารถอัพเกรด Skills และ Perks ได้อย่างอิสระ และเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ ซึ่งช่วยทำให้การเล่นตามเนื้อเรื่องนั้นง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะตลุยเดี่ยว หรือไปเป็นกลุ่มก็ตาม

    ไฮไลท์ของเกมนี้อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดก็คือ Dark Zone เป็นสถานที่ซึ่งใช้ประลองกันระหว่างผู้เล่นกับผู้เล่นด้วยกัน นอกจากจะเปิดโอกาสให้คุณได้ปะทะกับผู้เล่นคนอื่นแล้ว ใน Dark Zone ยังมีไอเทมพิเศษหายากที่ดร็อปจากคู่ต่อสู้ เป็นรางวัลล่อตาล่อใจอีกด้วย  โดยไม่ว่าจะมาแบบเดี่ยวหรือมาเป็นกลุ่มก็ย่อมได้ ซึ่งตัวเกมจะพยายามจับคู่ระหว่างผู้เล่นที่ลุยเดี่ยวหรือผู้เล่นแบบทีมให้สมดุลกันที่สุด โดยในภาคนี้จะมี Dark Zone ทั้งหมด 3 แห่ง ด้วยกัน โดยแต่ละแห่งนั้นมีสภาพแวดล้อมต่างกันมากกว่าภาคแรกที่มีแค่เพียงแห่งเดียว ซึ่งในแต่ละโซนนั้นจะมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น Dark Zone East นั้นจะเป็นพื้นที่เปิดกว้างเหมาะกับการต่อสู้ระยะไกลและ Dark Zone West จะเหมาะกับการต่อสู้แบบ Close Combat เป็นต้น โดยคุณจะสามารถเข้าต่อสู้ใน Dark Zone แต่ละแห่งได้เมื่อคุณทำภารกิจหลักจากเนื้อเรื่องของแต่ละ Zone สำเร็จ

ภารกิจย่อย หยุดยั้งการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่า Hyena

ภาคนี้ Skills สามารถอัพเกรดได้อย่างอิสระ

    นอกจากนี้ตัวเกมยังได้นำเสนอฟีเจอร์ใหม่อย่าง Endgame ที่เมื่อตัวละครถึง Level 30 แล้วจะสามารถเลือกอัพเกรดเป็นคลาสพิเศษ 3 คลาสได้แก่ Survivalist, Demolitionist และ Sharpshooter โดยแต่ละคลาสก็จะมีอาวุธระดับสูง และ Skills เฉพาะทาง คุณสามารถใช้ตัวละครของคุณลงแข่งกับผู้เล่นคนอื่นในโหมด PVP หรือจับมือกับผู้แล่นคนอื่นๆ เพื่อเอาชนะภารกิจใหม่ นอกเหนือจากเนื้อเรื่องปกติได้

    งานศิลป์และสิ่งแวดล้อมในเกมนี้ จัดอยู่ในขั้นยอดเยี่ยมมาก มี Dynamic Weather ที่ ทำให้สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ฝุ่น ลม เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงระบบกลางวันกลางคืนที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ เรียกได้ว่าค่อนข้างเหมือนจริงเลยทีเดียว ส่วนแผนที่ในเกมนั้น จำลองมาจากพื้นที่บริเวณรอบๆ ทำเนียบขาวแบบอัตราส่วน 1:1 เป๊ะเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางตึก สถานที่ สำคัญ ต่าง ๆ รวมถึงถนนซอกซอยต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดี เทียบเคียงกับของจริงเลยทีเดียว

    สรุปส่งท้าย The Division 2 นั้น ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม สมกับที่แฟนๆ รอคอยมาถึง 3 ปี โดยเกมได้ปรับแต่งความสมดุลเกมเพลย์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างในโหมดเนื้อเรื่องจะสามารถลุยคนเดียวก็ไม่ยากจนเกินไปนัก หรือจะรวมกับเพื่อนก็ยิ่งสนุกไปอีกแบบ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ดีๆ อย่าง Endgame รวมถึง Dark Zone แบบใหม่ที่ทำให้เกมยังคงเล่นได้สนุกแบบยาวๆ อีกด้วย

ข้อดี
– เกมเพลย์สนุก ลูกเล่นเยอะ เอฟเฟคสมจริง
– กราฟิคและบรรยากาศของเกมสวยงามยอดเยี่ยม
– Endgame Feature ที่จำทำให้การเล่นแบบ PVE , PVP สนุกท้าทายยิ่งขึ้น

ข้อเสีย
– ต้องการเครื่องสเปคสูงพอสมควร
– มีบัคหลายอย่างทั้งจากตัวเกม และฮาร์ดแวร์
– เนื้อเรื่องยังพื้นๆ อยู่ ตัวละครผู้เล่นไม่ค่อยมีบทพูด

โดยรวม
     จัดว่าเป็นเกมยิงชั้นแนวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทำออกมาได้สมบูรณ์ครบถ้วนกว่าภาคแรก แม้ว่าจะยังมีข้อเสียบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะได้รับประสบการณ์จากเกมยิงที่สนุกและคุ้มค่าจากเกมนี้แน่นอน

คะแนน 9.0

เรื่อง: Tawan Hansin

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้