แพลตฟอร์ม: PS4
ผู้พัฒนา: Square Enix
ผู้จัดจำหน่าย: Square Enix
เรต: 12 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 13-15 ชม. (นับรวมทั้ง 3 ภาค)
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: ประมาณ 15-20 ชม.
หลังจากที่ออกเกมมาภาคแล้วภาคเล่า ไม่ยอมเข้าภาค 3 สักที สำหรับซีรี่ส์ Kingdom Hearts (ต่อไปนี้จะขอย่อว่า KH) ล่าสุดนี้ ทาง Square Enix ก็ได้คลอดภาคย่อยของซีรีส์ (อีกแล้ว) ออกมายั่วน้ำลายและเรียกให้แฟนๆ ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่กลับมาสนใจกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ก็เป็นคิวของ Kingdom Hearts 2.8 ที่มีชื่อภาษาอังกฤษสวยๆ ว่า Final Chapter Prologue หรือที่แปลว่าปฐมบทสู่เรื่องราวในฉากสุดท้าย ทิ้งให้แฟนๆ ต้องมานั่งเดากันเองว่าภาค 3 ที่มีเทรลเลอร์ออกมายั่วน้ำลายกันแล้วนั้นจะเป็นภาคสุดท้ายของเกมนี้หรืออย่างไร
ตัวเกมถูกซอยย่อยเป็นสามเกมหลักๆ ประกอบไปด้วย Kingdom Hearts 0.2 Birth By Sleep: A Fragmentary Passage เนื้อเรื่องเสริมใหม่เอี่ยมที่ดำเนินเรื่องราวต่อจากตอนจบของภาค Birth By Sleep ที่ลงให้กับเครื่อง PSP เมื่อนานมาแล้ว และ Kingdom Hearts X (อ่านว่า Chi) Back Cover มูวี่เนื้อเรื่องเสริมที่เล่าถึงเหตุการณ์ในภาค X ซึ่งเคยลงเป็นเกมมือถือมาก่อน และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ Kingdom Hearts: Dream Drop Distance HD ภาคที่หยิบเอาเกมจากเครื่อง 3DS มารีมาสเตอร์ใหม่เพื่อลงให้กับเครื่อง PS4 โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเล่นกันจนหายคิดถึงเลยทีเดียว
ด้วยความที่ตัวเกมถูกสับแบ่งเป็น 3 ภาคด้วยกัน ดังนั้นรีวิวนี้จึงต้องขอแบ่งเป็น 3 ส่วนเหมือนกับตัวเกมด้วย ว่าแล้วก็ไปลงรายละเอียดในแต่ละภาคกันเลยดีกว่า
Kingdom Hearts 0.2 Birth By Sleep: A Fragmentary Passage
เริ่มกันที่ภาคที่น่าจะเป็นภาคที่แฟนๆ รอคอยกันมากที่สุดจากทั้ง 3 ภาค โดย The Fragmentary Passage จะกล่าวถึงเรื่องราวของตัวละครหญิงหนึ่งเดียวในหมู่สามสหายจากภาค Birth By Sleep นั่นก็คือ อควา (Aqua) ที่ได้ตกลงไปสู่โลกแห่งความมืด (Realm of Darkness) หลังจากเหตุการณ์ในภาคก่อน ซึ่งตัวเกมทั้งหมดก็จะแสดงให้เห็นว่าชีวิตภายในโลกแห่งความมืดของสาวน้อยผมน้ำเงินคนนี้จะต้องพบเจอกับภัยอันตรายอะไรบ้าง และเรื่องราวทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนปฐมบทที่จะชูโรงให้กับ KH ภาคต่อไป อาจจะเป็นภาคสามหรือภาคอะไรก็ตามที่ Square Enix ได้วางแผนเอาไว้ ตรงจุดนี้ก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้จริงๆ
ด้วยความที่ตัวเกมมีเนื้อเรื่องที่เชื่อมกับตอนจบของภาค Birth By Sleep ภาพบรรยากาศ รวมไปถึง HUD ต่างๆ ภายในเกมจึงไม่มีความแตกต่างจาก Secret Episode ที่แฟนๆ เคยเล่นกันมากนัก กล่าวคือ เนื่องจากสาวอควาของเรานั้นตกไปอยู่ในโลกแห่งความมืด บรรยากาศภายในเกมจึงเน้นไปที่บรรยากาศมืดๆ หม่นๆ เป็นหลัก ผนวกรวมเข้ากับฉากที่ถอดแบบมาจากการ์ตูนดิสนีย์อย่างปราสาทของเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า โลกในกระจก หรือแม้แต่ผืนป่าที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ทำให้แม้บรรยากาศโดยรวมจะดูชวนเหงาหงอยไปบ้าง แต่ก็ยังคงความสวยงามตามแบบฉบับ KH เอาไว้ได้ ยิ่งเมื่อกราฟิกของภาคนี้ได้รับการอัพเกรดขึ้นจากเดิมเพื่อรองรับกับระบบของ PS4 ยิ่งทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่แค่เสพย์กราฟิกก็ชวนให้รู้สึกอิ่มใจได้ไม่น้อยแล้ว และทำให้อดตั้งความหวังไม่ได้ว่าภาค 3 ที่มีสถานที่ต่างๆ ให้สำรวจเยอะกว่านี้จะสวยขนาดไหนกัน
ระบบการเล่นของภาคนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากระบบการเล่นของอควาในภาคก่อนมากนัก ระบบดั้งเดิมของ KH แทบทุกภาคอย่าง Command Decks ก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน รวมไปถึงระบบ Shotlock ที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ของภาค Birth by Sleep ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ และอาจถือได้ว่าเป็นสเน่ห์ของภาคนี้เลยก็คือระบบ Situation Command ซึ่งเป็นระบบที่มีความคล้ายคลึงกับระบบ Reaction Command พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับการอัดธาตุให้กับตัวละครที่เรากำลังเล่นอยู่ แต่ในภาคนี้จะปรับมาเป็นระบบกึ่งๆ คอมโบที่ถ้าโจมตีได้ถึงเป้าเมื่อไหร่ คำสั่ง Situation Command ก็จะปรากฏขึ้นเหนือเมนู Command และถ้าผู้เล่นกดปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเลือกใช้คำสั่ง สาวอควาก็จะเปลี่ยนสไตล์การต่อสู้ไปตามสถานการณ์ในตอนนั้น เช่น หากเราโจมตีศัตรูอย่างต่อเนื่องจนเกจเต็ม อควาก็จะสามารถเปลี่ยนสไตล์การต่อสู้เป็น Spellweaver ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังให้กับคีย์เบลดประจำตัว ทำให้การโจมตีของเรารวดเร็วและรุนแรงขึ้นกว่าเดิมจนกว่าเกจพลังจะหมด นอกจากนี้ หากเราโจมตีได้ถึงระดับที่ตัวเกมกำหนดเอาไว้ เราก็จะปลดล็อคท่า Finish หรือท่าไม้ตายของสไตล์นั้นๆ ได้ ซึ่งเจ้าท่าไม้ตายที่ว่านี้ก็จะเป็นการโจมตีหมู่ที่รุนแรงมาก แถมยังสวยงามตระการตา ฟรุ้งฟริ้งตามแบบฉบับดิสนีย์แฟนตาซีด้วย จนบางทีเหลือปิศาจแค่ตัวเดียวก็เผลอกดใช้เอาสวยๆ เหมือนกัน (ฮา)
อีกระบบหนึ่งที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ก็คือระบบ Challenges ซึ่งสำหรับแฟนๆ เกม RPG ก็คงจะคุ้นหูกันอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือระบบที่เราต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ตัวเกมกำหนดเอาไว้ให้ โดยปกติแล้วผู้เล่นที่ไม่ใช่สายฮาร์ดคอร์หรือสายเก็บโทรฟี่ก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจเงื่อนไขพวกนี้เท่าไหร่ แต่ภาค 0.2 นี้กลับมีระบบที่ดึงดูดให้ผู้เล่นต้องมานั่งอ่าน นั่งทำตามเงื่อนไขในแต่ละอันให้ครบ เพราะว่าหากเราทำเงื่อนไขใดๆ สำเร็จ (เช่นการกำจัดปีศาจให้ครบ 50 ตัว หรือแม้แต่การตีเสาไฟให้ครบ 20 ต้น...ซึ่งก็ไม่รู้จะตีไปทำไม) เราก็จะได้ของรางวัลเป็นลายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายในส่วนต่างๆ ให้เราสามารถเลือกแต่งตัวให้กับสาวน้อยของเราได้ตามต้องการ มีทั้งปีกนางฟ้า หูแมว แท่งไฟติดหัว หรือแม้กระทั่งหูมินนี่เม้าส์ เรียกได้ว่าถูกใจสายแฟชั่นทั้งชายและหญิงไปตามๆ กัน
แม้ระบบการต่อสู้โดยรวมจะทำได้ลื่นไหล เล่นได้เพลินๆ แบบวางไม่ลง มีบอสให้สู้ตามแต่ละจุด และมีปริศนาต่างๆ ให้แก้พอกล้อมแกล้ม แต่น่าเสียดายที่ตัวเกมทั้งหมดมีความยาวแค่ประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น (นี่นับรวมทั้งคัทซีนและเวลาที่เสียไปกับการแก้ปริศนาแล้วด้วย) ซึ่งสำหรับแฟนๆ ที่รอคอยเกมนี้มานานแสนนาน มันช่างเป็นอะไรที่ไม่จุใจเอาเสียเลย เพราะหลังจากที่เล่นเพลินๆ ไปได้สักพัก เชื่อเลยว่าหลายๆ คนคงแอบนึกอยู่ในใจแน่ๆ ว่า “อ้าว จบแล้วเรอะ!?” ก็ตามนั้นและครับท่านผู้ชม
Kingdom Hearts: Dream Drop Distance HD
มาถึงภาคที่ได้รับการรีมาสเตอร์มาจากภาคที่ลงให้กับเครื่อง 3DS บ้าง ในส่วนของภาคนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องหรือเพิ่มเติมระบบอะไรเข้าไปมาก จะมีก็แต่การปรับภาพให้สวยงามขึ้นตามแบบฉบับ PS4 ซึ่งก็ขอชมเลยว่าพี่เหลี่ยมไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ เพราะพี่แกเล่นเนรมิตภาพจากภาพจอเล็กๆ บนเครื่อง 3DS มาเป็นภาพแบบ Full HD 1080p (หรือ 4K สำหรับ PS4 Pro) ได้แบบครบเครื่อง ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของฉากและตัวละครต่างๆ ได้ไม่ยาก จะเสียก็แต่สีสันของสัตว์ซัมม่อนต่างๆ ที่ออกจะละลานตาไปสักหน่อย ถึงขั้นที่ว่าเล่นๆ ไปก็ชวนให้รู้สึกปวดตาได้เหมือนกัน
ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ในภาคนี้เราจะได้เล่นสลับไปมาระหว่างโซระและริคุ สองหนุ่มตัวละครดั้งเดิมแห่งซีรีส์ KH ที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน โลกคู่ขนานที่แม้จะมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่กลับเป็นมิติคนละมิติกัน ซึ่งเราจะสามารถสลับเล่นไปมาระหว่างตัวละครทั้งสองได้ตามใจอยาก (ถ้าเกจพลังไม่หมดซะก่อน) และในแต่ละโลก เราก็จะได้พบกับตัวละครจากการ์ตูนและภาพยนตร์ดิสนีย์ รวมไปถึงตัวละครจากเกมของ Square Enix ด้วย ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องนี้ก็ยังคงเสน่ห์แบบ KH อยู่ได้ไม่มีเปลี่ยน
สิ่งที่จะต้องกล่าวถึงสำหรับภาคนี้ก็คือระบบการควบคุม เพราะด้วยความที่ตัวเกมนั้นรีมาสเตอร์มาจากเกมบนเครื่อง 3DS งานที่หนักที่สุดสำหรับทีมพัฒนาก็คือการปรับเปลี่ยนปุ่มการควบคุมนี่ล่ะครับ อย่างที่ทราบกันดีว่า 3DS นั้นใช้ระบบทัชสกรีนเป็นหลัก แต่ PS4 นั้นไม่ใช่ ดังนั้นการจะปรับปุ่มให้เข้ากับจอยของเครื่อง PS4 นั้นจึงเป็นงานที่หยาบพอสมควรเลย ซึ่งทาง Square Enix ก็ยังทำดีได้ไม่สุด เนื่องจากบางระบบภายในภาคนี้ เข้าใจว่าปรับยังไงก็ไม่สามารถปรับให้เหมือนต้นฉบับได้จริงๆ ตัวอย่างเช่นระบบ Bonding ระหว่างตัวละครกับสัตว์อสูร (หรือที่ในภาคนี้เรียกว่า Spirit) อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับมินิเกมเลี้ยงสัตว์ขนาดย่อมๆ หากเป็นในเครื่อง 3DS เราจะสามารถใช้ปากกาถูเล่นบนตัวของสัตว์อสูรของเราได้เลย แต่พอปรับมาเป็นปุ่มกดธรรมดาๆ เรากลับทำได้แค่ขยับอนาล็อคไปมาเพื่อบังคับมือในจอเท่านั้น ทำให้อารมณ์ในจุดนี้อาจจะขาดหายไป นอกจากนี้การกดใช้คำสั่งบางคำสั่งอาจจะทำให้ผู้เล่นเกิดอาการหัวร้อนได้ไม่น้อย เช่นการกดเลือกคำสั่งใน Command Decks ระหว่างการต่อสู้ ที่หากเราจะกดเลือกคำสั่งที่อยู่ด้านล่าง เราจะต้องกดปุ่ม D-Pad “ขึ้น” แทน หรือแม้แต่การเลื่อนดูแผนที่ที่ปุ่มทิศทางทั้งหลายถูกวางสลับกันหมด ซึ่งในจุดนี้เข้าใจว่าปรับมาจากเครื่อง 3DS ที่เวลาเราจะเลื่อนแผนที่ไปด้านล่าง เราก็ต้องลากปากกาจากล่างขึ้นบน แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น เวลาเล่นจริงๆ มันก็ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดและขาดความต่อเนื่องไม่ได้อยู่ดี ยิ่งเมื่อระบบการต่อสู้ในภาคนี้เป็นระบบที่มีความรวดเร็วกว่าทุกๆ ภาคแล้ว ยิ่งทำให้ในบางครั้ง เราอาจเสียจังหวะจนถึงขั้นแพ้บอสได้เลยทีเดียว
Kingdom Hearts X Back Coverศึกหน้ากากสรรพสัตว์
มาถึงส่วนย่อยสุดท้ายในส่วนแบ่งทั้ง 3 หรือก็คือภาพยนตร์แอนิเมชั่น โดยในภาคนี้จะเป็นการสรุปรวมเนื้อเรื่องในภาค X ที่เป็นเกมมือถือมาก่อน ซึ่งเข้าใจได้ว่าอาจทำมาเพื่อให้แฟนๆ ที่ขี้เกียจไปเล่นภาคบนมือถือได้เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ตัวหนังทั้งหมดมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมงเต็ม และเป็น Full CGI ล้วนๆ ซึ่งภาพที่ออกมามันก็สวยตามมาตรฐานของ Square Enix ครับ แต่จุดด้อยของภาคนี้กลับเป็นเนื้อเรื่องที่ “การเมืองจ๋า” สุดๆ พูดได้เลยว่าผู้เล่นคนไหนที่อ่อนภาษาอังกฤษจะดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องแน่นอน ยิ่งถ้าคุณไม่ได้ติดตามเนื้อเรื่องของ KH ภาคอื่นๆ มาก่อน บอกเลยว่างงซะยิ่งกว่าไก่ตาแตกซะอีก มิหนำซ้ำ จุดด้อยหลักๆ ของหนังเรื่องนี้ก็คือ การที่เราไม่สามารถกด Fast Forward หรือกดย้อนกลับไปดูฉากก่อนๆ เหมือนเวลาดูหนังปกติได้เลย ทำให้หากอ่านซับไตเติ้ลตรงส่วนไหนไม่ทัน เราก็จะพลาดเนื้อเรื่องตรงส่วนนั้นไปเลย เว้นเสียแต่ว่าจะย้อนกลับไปดูใหม่ตั้งแต่ต้นเท่านั้น
แม้จะดูมีข้อเสียเยอะแค่ไหน แต่สำหรับแฟนตัวยงของซีรีส์นี้ มูวี่ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอันขาด
จุดเด่น
- กราฟิกที่ยังคงสวยงามตามแบบฉบับ Kingdom Hearts
- Kingdom Hearts 0.2 นับว่าเป็นเหมือนเดโมที่จะนำไปสู่ Kingdom Hearts 3 ได้
- ระบบการต่อสู้อันลื่นไหลของเกมทั้ง 2 ภาค รวมไปถึงปริศนาต่างๆ ที่ทำให้เล่นได้ยันจบไม่มีเบื่อ
- เสน่ห์ตามสไตล์ Kingdom Hearts ที่ยังคงอยู่แบบครบถ้วน
จุดด้อย
- ระบบการควบคุมของภาค Dream Drop Distance ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจทำให้ผู้เล่นเสียจังหวะไปบ้าง
- จำนวนชั่วโมงของภาค 0.2 ที่สั้นเสียยิ่งกว่าสั้น
- เนื้อเรื่องที่ไม่ได้คืบหน้าไปไหนมาก
สรุป
ต้องยอมรับว่า Kingdom Hearts 2.8 นี้เป็นเกมที่ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ภาคนี้อาจจะเหมาะสมกับแฟนๆ ซีรีส์ Kingdom Hearts เท่านั้น หากคุณคือผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสเกมในซีรีส์นี้มาก่อนก็คงจะลำบากหน่อย เพราะตัวเกมแทบไม่มีการปูพื้นเนื้อเรื่องภาคก่อนๆ ให้เลย นอกจากจะไปตามหาอ่านเองเท่านั้น แต่ถ้าหากเพื่อนๆ หลงรักในเสน่ห์ของดิสนีย์และตัวละคร Kingdom Hearts และเป็นผู้ที่ติดตามเกมนี้มาโดยตลอด ภาคนี้ก็เป็นอีกภาคที่ควรค่าแก่การหามาเล่นครับ
คะแนน 7.5 / 10