[รีวิว] Subterrain - เกมอินดี้ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับทุกคน

แชร์เรื่องนี้:
[รีวิว] Subterrain - เกมอินดี้ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับทุกคน

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (ทีมงานทำการรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
ผู้พัฒนา: Pixellore
เรต: 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 8 ชั่วโมง
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: ประมาณ 20 ชั่วโมง

หากจะจำกัดความกันสั้นๆ Subterrain คือเกมแนว Survival Horror ที่มีมุมกล้องแบบ Top-down ที่มีกราฟิกแสนธรรมดา แถมยังฉาบหน้าด้วยความซับซ้อนวุ่นวายของระบบที่หยุมหยิมยิบย่อยมากมาย จนอาจจะทำให้เกมเมอร์หลายคนมองข้ามมันไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กระแสเกมฟอร์ม AAA ทั้งหลายกำลังเปิดตัวกันเปรี้ยงป้าง Subterrain อาจจะเป็นเกมที่หลุดเรดาร์ของเราไปอย่างน่าเสียดาย แต่หากมองกันลึกๆ แล้วนั้น เจ้าเกมอินดี้สัญชาติเกาหลีเกมนี้คือเกม "จัดการทรัพยากร" ที่เข้มข้นมากเกมนึงเลยทีเดียว

เรื่องราวของ Subterrain นั้นเล่าถึง ดร. อัลเบิร์ต เวสต์ (Dr. Albert West) นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องกลายมาเป็นนักโทษในเรือนจำอันเป็นอาณานิคมของมนุษย์ MPO ซึ่งตั้งอยู่บนดาวอังคาร เขาได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเรือนจำแห่งนี้ โดยเริ่มต้นจากการที่ต้องติดอยู่ในห้องขังเดี่ยวนานเป็นสัปดาห์ ขาดการติดต่อจากผู้คุม และเมื่ออาหารหมดลง ระบบควมคุบไฟฟ้าเกิดล้มเหลวจนต้องใช้ไฟสำรอง เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติ จนต้องเริ่มคิดหาวิธีหลบหนีออกมาจากห้องขัง ซึ่งก็คือการมุดหนีออกมาจากช่องระบายอากาศ (เพราะไฟฟ้าไม่ทำงานและพัดลมระบายอากาศหยุดหมุน) ก่อนจะได้พบว่านักโทษและเจ้าหน้าที่มากมายได้ตายในสภาพสยดสยอง ซากศพเละเทะของพวกเขากองเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วเรือนจำ ในฐานะผู้เหลือรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว เขาต้องเอาตัวรอดพร้อมทั้งสืบค้นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ และถ้าเป็นไปได้ เขาจะสามารถหนีรอดจากนรกบนดินนี้ไปได้หรือไม่?

ผลงานจากค่าย PixelLore ค่ายเกมอินดี้จากประเทศเกาหลีใต้เกมนี้อาจเปรียบเทียบได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับเกมสไตล์เดียวกันอย่าง Don't Starve หรือ Terraria โดยให้ผู้เล่นค่อยๆ เก็บทรัพยากร เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง เอาชีวิตรอดจากภัยร้ายต่างๆ ในเกมให้นานที่สุด และตะลุยเข้าไปในดันเจี้ยนของตัวเกมให้ลึกที่สุด เก็บไอเทมที่ทำให้เราเก่งขึ้น กลับออกมาแล้วทำซ้ำกระบวนการเดิมอีกครั้ง

เกมเลือกใช้มุมมองจากด้านบน และกราฟิกที่ค่อนข้างสวยงามแต่เรียบง่ายแบบเกมยุค 16 บิต บวกกับบรรยากาศของเกมที่เป็นแนวสยองขวัญ จึงเป็นเหตุให้ฉากต่างๆ ดูเป็นโทนทะมึนขึงขังวังเวงตลอดเวลา ประกอบกับฉากซึ่งใช้ระบบการสร้างขึ้นใหม่ทุกรอบที่ผู้เล่นเริ่มเกมใหม่ ทำให้แผนที่ในเกมจะไม่ซ้ำเดิมเลยหากเราเริ่มต้นเกมใหม่ ทำให้เราสามารถกลับมาเล่นมันได้หลายๆ รอบแม้จะจบเนื้อเรื่องหลักของมันไปแล้วก็ตาม

แผนที่ของเกมค่อนข้างใหญ่และมีเส้นทางให้เราสำรวจค่อนข้างเยอะ แต่ทุกพื้นที่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพราะสุดท้ายแล้วเราก็อยู่ในสถานีอาวกาศที่ไม่มีพลังงาน เกมจะมืดตลอดเวลา และมีเพียงไฟฉายของเราในการส่องสำรวจพื้นที่ต่างๆ ซึ่งแม้ว่าเราจะผ่านเส้นทางนั้นมาแล้ว แต่ทัศนวิสัยในการมองเห็นก็จะไม่มี นอกเสียจากว่าเราจะสาดไฟฉาย(หันหน้า) ไปในทิศทางนั้น หรือจะพูดง่ายๆ ว่าเกมต้องการสร้างความรู้สึกที่ต้องระแวดระวังภัยให้กับเรานั่นเอง

ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมแนว Survival Horror สิ่งที่หลายคนคาดหวังกันก็อาจจะเป็นความหลอน ซึ่งว่ากันตามตรงในส่วนนี้เกมสร้างอารมณ์ร่วมให้กับเราได้ไม่ดีนัก เพราะแม้บรรยากาศจะดูเงียบงันวังเวง แต่ผู้เล่นต้องสาละวนกับค่าพลังต่างๆ ยิบย่อยมากมายจนเกินกว่าจะเสียเวลามานั่งกลัว เราต้องหาทรัพยากรมาตอบสนองความต้องการของตัวละคร เข่น อาหาร น้ำ ความเหนื่อย ความง่วง การขับถ่าย อากาศ อุณหภูมิ พลังงาน หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อในกระแสเลือดของตัวเราเอง ซึ่งความต้องการที่ว่ามานั้นต้องอาศัยไอเทมและสถานที่ที่แตกต่างกันไป ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดอยู่กับที่เสมอ เกมจึงเน้นไปที่การแก้ปริศนาหาทางไปต่อ ออกสำรวจในพื้นที่ใหม่ๆ หาไอเทม อัพเกรดตัวเอง ซึ่งระบบที่ว่านี้มีความละเอียดสูงมาก แต่ก็ได้ทำลายความน่ากลัวของเกมลงไป คงเหลือเพียงความกดดันในการหาทรัพยากรให้เราอยู่บ้างเท่านั้น

นอกจากระบบที่ดูจะลึกมากๆ เกมยังพึ่งพาการอ่านอย่างหนักจนเหมือนจะเกินพอดี ด้วยความที่เกมเลือกใช้กราฟิกที่ไม่ได้ละเอียด ทำไมเราไม่สามารถล่วงรู้ได้จากการมองด้วยสายตาว่าไอเทมหลายอย่างที่เราเก็บได้นั้นเอาไปใช้ทำอะไร นอกเสียจากว่าต้องมานั่งอ่านคำอธิบายของมันทีละชิ้นๆ ว่านี่คือชิ้นส่วนปืนนะ ทำอะไรได้? นี่คือถังออกซิเจนนะ ใช้ยังไง? จริงอยู่ที่มันเป็นระบบเรียบง่ายที่ใช้การได้และเหมาะสมกับแนวทางของตัวเกมดีแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เพราะมันให้การไขปริศนาเพื่อเดินเรื่องยาก

ระบบการต่อสู้ของเกมนั้นเข้าใจได้ง่ายเพราะเป็นสไตล์ Twin-stick Shooter คล้ายกับเกม Dead Nation คืออนาล็อกข้างซ้ายควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวละคร ส่วนอนาล็อกด้านขวาจะควบคุมการเล็ง เมื่อเราหันหน้าไปในทิศทางที่ต้องการก็เหนี่ยวไกยิง อาวุธภายในเกมมีให้ใช้หลากหลายมาก ตั้งอาวุธพื้นฐานอย่างมีดสั้น-ไม้กระบอง ไปจนถึงปืนลูกซองหรือปืนกล โดยอาวุธยิงทุกชนิดภายในเกมใช้แบตเตอรี่เป็นพลังงานทั้งสิ้นและจะยิงไม่ได้เมื่อโอเวอร์ฮีต ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในทรัพยากรที่เราต้องจัดการเช่นกัน

เมื่อเราผจญภัยลึกเข้าไปในเกม ศัตรูก็จะเริ่มมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นจากผีดิบธรรมดาไปจนถึงบอสขนาดใหญ่ ตัวเกมจะเริ่มต้นอย่างเชื่องช้า เราจะผ่าน 2-3 ชั่วโมงแรกได้โดยไม่มีแอ็กชั่นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเกิดขึ้นเลย ตามพล็อตเรื่องที่พยายามจะสร้างความตึงเครียดให้กับผู้เล่น ก่อนที่จะเริ่มเททุกอย่างใส่เราอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง ด้วยศัตรูที่สู้ยากและมีจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าอาวุธที่เราจะใช้ปราบมันก็ต้องรุนแรงขึ้นด้วย ในช่วงแรกๆ อาวุธอย่างชะแลงก็เพียงพอในการทุบหัวเหล่าซอมบี้อวกาศ แต่เมื่อเราจะได้พบกับสัตว์ประหลาดสี่แขนตัวยักษ์เต็มหน้าจอ เราก็ควรจะหาของแรงๆ กว่านั้นมาใช้ เคราะห์ดีที่ว่าระบบการปรับแต่งอาวุธภายในเกมค่อนข้างเฉียบ คือปืนหนึ่งกระบอกอาจมีชิ้นส่วนถอดประกอบได้หลายชิ้น เมื่อเราสามารถหาชิ้นส่วนที่ดีกว่ามาใส่ได้ ประสิทธิภาพของอาวุธของเราจะดียิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งเก็บวัตถุดิบมาสร้างอาวุธอีกชิ้นเลยก็ยังได้ (มีให้สร้างดาบเลเซอร์มาใช้ได้ด้วยนะเออ!)

ไม่เพียงเท่านั้น เทคนิคง่ายๆ อย่างการขยับวัตถุได้เช่น ย้ายโต๊ะ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ยังส่งผลกับตัวเกม เพราะมันใช้ทั้งในรูปแบบการสำรวจหาทางไปต่อ หรือใช้ในการเปิดทางลับต่างๆ และใช้ในการวางแผนการต่อสู้โดยการลากวัตถุเหล่านั้นมาปิดกั้นทางเข้าออก สามารถสร้างเป็นสิ่งกีดขวางชะลอเวลาไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวเราได้ง่ายๆ

การสร้างอาวุธหรือชุดเกราะต่างๆ ภายในเกม ทำได้โดยการเก็บหาวัตถุดิบชนิดต่างๆ โดยสิ่งของมากมายภายในเกมที่ดูเหมือนจะเป็นขยะ เช่น ช้อนส้อม ที่ชาร์จไฟ หรือแม้กระทั่งหมวกแก๊ป ที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้งานในตัวของมันเอง แต่เราสามารถนำมันมาย่อยสลายได้เป็นเส้นใยผ้า เหล็ก ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งของเหล่านี้เมื่อนำมาเข้าเครื่อง 3D Printer (ช่างเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ในทุกๆ เกมสมัยใหม่จริงๆ) เราก็จะนำมันมาใช้สร้างอุปกรณ์ทรงพลังสำหรับตัวเราได้

วัตถุดิบต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากการไล่เก็บกวาดไอเทมขยะทั้งหลายภายในเกมเท่านั้น ศัตรูของเราเมื่อสังหารมันได้ก็มักจะดรอปไอเทมขนาดเล็กจิ๋วสังเกตุยากมากอยู่เสมอ ไอเทมเหล่านี้มีทั้งชิ้นส่วนฟัน เล็ก ท่อนแขนของเหล่ามอนสเตอร์ ไปจนถึงคีย์ไอเทมแบบคีย์การ์ด ดังนั้นเมื่อจัดการพวกมันได้แล้วก็ต้องคอยสำรวจด้วย

จุดเด่น

- ระบบของเกมมีความลึกมาก เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกทำสารพัดสิ่ง
- ถ้าเป็นคนชอบเกมแนวนี้จะใช้เวลากับมันได้นานมาก

จุดด้อย

- ตัวเกมค่อนข้างเล่นยาก ไม่ค่อยเหมาะกับผู้เล่นที่ไม่ถูกกับความจุกจิกของเกมเพลย์
- หน้าเกมดูไม่เร้าใจ ไม่มีความดึงดูดเท่าที่ควร
- ทุกอย่างดูเล็กจิ๋วไปหมด มองไม่สะดวก

สรุป

เกมทำหน้าที่ของมันได้ดีในทุกๆ ด้าน หน้าฉากอาจจะดูเรียบง่ายแต่มันก็เป็นรูปแบบที่หลายคนหลงใหลชื่นชอบ แต่สำหรับบางคนก็อาจไม่ถูกจริตเลยก็ว่าได้ เพราะปัญหาอย่างเดียวของมันคือการออกแบบมาเฉพาะทางมากๆ ระบบการเล่นลึก รายละเอียดเยอะ เข้าถึงได้ยาก และเหมาะสำหรับแฟนๆ เกมแนวนี้เท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่มีความอดทนก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่เกมพยายามนำเสนอและพาลเบื่อเอาได้ง่ายๆ เกมแบบนี้เราอาจจะเจอทั้งคนที่ใช้เวลากับมันหลายร้อยชั่วโมงอย่างไม่รู้เบื่อ และคนที่ไม่สนใจมันเลย อยู่ที่ว่าเราเป็นผู้เล่นแบบไหน

 

คะแนน 6 / 10

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

อยากเป็นคนที่ถูกหวย จะได้รวยกว่าถูกรัก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ