รวมมิตรอุปกรณ์เสริมเด่น ๆ ของ PlayStation ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ในวงการเกมคอนโซลนั้น นอกจากเครื่องเกมที่ต้องเล่นคู่กับแผ่นเกม หรือเกมแบบดิจิตอลดาวน์โหลดแล้ว อุปกรณ์เสริมก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการเล่นบางเกมด้วยเช่นกัน ซึ่งในบางอุปกรณ์เสริมจะมีฟีเจอร์ให้สามารถเล่นควบคู่กับบางเกมได้ หรือบางอุปกรณ์ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องให้สามารถทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติมได้ เป็นต้น

และแล้วทางเราก็ได้รวบรวมอุปกรณ์เสริม คัดมาเฉพาะตัวที่เด่น ๆ ของฝั่ง PlayStation ไล่มาตั้งแต่ยุค PS1 จนถึง PS4 มาให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันครับว่ามีอะไรบ้าง

PocketStation (PS1)

ครั้นจะบอกว่า PocketStation เป็นตัวช่วยที่เพิ่มความสมรรถนะให้เครื่อง PS1 ก็คงไม่ถูกซะทีเดียวครับ โดยเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะมีฟังก์ชั่นการทำงานของเมโมรี่การ์ด ผสมกับนาฬิกา ตัวส่งสัญญาณแบบอินฟราเรด พร้อมจอ LCD แสดงภาพแบบขาวดำ ซึ่งเกมที่รองรับกับ PocketStation จะมีอยู่ไม่มากนัก ทว่าหนึ่งในนั้นคือเกม Final Fantasy VIII ที่จะมีมินิเกมนึงให้เราเลี้ยงนกโจโคโบะบนอุปกรณ์นี้ ซึ่งจะใช้เวลาในการเลี้ยงด้วยการอิงตามเวลาจริง (เพราะ PocketStation เองก็มีนาฬิกาในตัว) แล้วโอนถ่ายข้อมูล ผ่านฟังก์ชั่นอินฟราเรดและเมโมรี่การ์ดของ PocketStation นั่นเอง

แต่น่าเสียดายไปหน่อยที่เจ้าอุปกรณ์นี้ไม่มีวางจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่น แม้ว่ามันจะทำยอดขายได้เปรี้ยงก็ตาม ด้วยจำนวนมากถึง 1.5 ล้านเครื่องเฉพาะในญี่ปุ่น โดยภายหลัง PocketStation ก็ได้ถูกพัฒนากลายเป็นแอพลิเคชั่นหนึ่งสำหรับเครื่อง PlayStation Vita ในช่วงปลายปี 2013 ทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นมินิเกมที่รองรับ PocketStation ผ่านเกม PS1 ที่เล่นบน PlayStation Vita (แต่โหลดมาลงได้เฉพาะเครื่องที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นนะครับ)

Expansion Bay (PS2)

Expansion Bay ของเครื่อง PS2 ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ชิ้น ได้แก่ อแด็ปเตอร์ ที่ทำให้เล่นเกมแบบออนไลน์ได้ โดยมีให้เลือกว่าจะใช้ช่องเสียบกับสายโทรศัพท์หรือเสียบกับสาย LAN และอีกชิ้นคือ ฮาร์ดดิสก์ ที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลเกมจากแผ่น PS2 มาลงเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเกม (เปลี่ยนจากการใช้หัวอ่าน DVD เป็นอ่านจากฮาร์ดดิสค์แทน) ซึ่ง Expansion Bay ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับ PS2 โมเดลแรกที่เป็นเครื่องอ้วนเท่านั้น ใครซื้อ PS2 รุ่นหลัง ๆ ที่เป็นแบบสลิมก็ทำใจเลย เพราะ Sony จะมีการตัดเอาช่องเสียบ Expansion Bay ออกจากรุ่นสลิมไปครับ

อุปกรณ์นี้มีการวางจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นและอเมริกา โดยเกมดังที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจซื้อ Expansion Bay ก็คงหนีไม่พ้น Final Fantasy XI (FF11) และ Resident Evil: Outbreak ซึ่งคนไทยเองในขณะนั้นก็มีการขวนขวายหาเจ้าสิ่งนี้มาเสริมบารมีเพื่อเล่นกับชาวต่างชาติเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วก็พบว่าไม่เวิร์ค ปัญหาใหญ่สุดเลยก็คือ ช่วงต้นทศวรรษ 2000 อินเตอร์เน็ตในญี่ปุ่นหรือประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจะใช้แบบไฮสปีดกัน ขณะที่บ้านเราในหลาย ๆ ครัวเรือนยังใช้เน็ตแบบ 56K ที่เชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์กันอยู่เลย พอจะเล่นกับคนนอกประเทศก็แล็กกระจุย หลุดกระจายจ้า

PlayStation Multitap (PS1 – PS2)

ปกติแล้วเกมทั่วไปบนเครื่อง PS1 และ PS2 มักจะเล่นได้ 1-2 คนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็จะมีอยู่บางเกมครับที่สามารถเล่นได้พร้อมกันมากสุดถึง 4 คนขึ้นไป เช่น Bomberman เจ้าอุปกรณ์ Multitap ก็เลยมีบทบาทขึ้นมาเพื่อรองรับในส่วนนี้ ซึ่ง Multitap มีวางจำหน่ายแค่เพียงช่วงยุค PS1-PS2 เท่านั้น พอขึ้นยุค PS3 เป็นต้นมา จอย DualShock 3 ก็รองรับการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณบลูทูธกันแล้ว ทำให้ต่อจอยเพิ่มได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอีกเลย

(ล่าง) Multitap ของ PS1

(ล่าง) Multitap ของ PS2

Wireless Keypad (PS3)

ช่วงยุคของ PS3 นั้น ตัวเครื่องจะมีฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถแชทหาระหว่างกันได้ แต่การพิมพ์ด้วยวิธีปกติผ่านการกดปุ่มบนจอยก็อาจจะดูยุ่งยากสำหรับบางคนสักหน่อย เพราะก็ต้องมัวเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังพยัญชนะที่ต้องการแล้วค่อยกดปุ่มตกลงเพื่อเลือกพยัญชนะนั้น ด้วยเหตุนี้ทาง Sony ก็เลยทำอุปกรณ์เสริมนี้ออกมาเพื่อติดตั้งบนจอย DualShock 3 โดยเป็นทรงแป้นพิมพ์ QWERTY คล้ายคีย์บอร์ดของ PC เพื่อให้เรากดจิ้มที่พยัญชนะได้เลย ซึ่งเจ้า Keypad จะนี้ใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธหรือสาย USB กับตัวเครื่อง PS3 ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มทัชแพดที่มีคุณสมบัติคล้ายกับเมาส์ด้วยเช่นกัน

แต่ทว่าอุปกรณ์เสริมนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนักเมื่อวางจำหน่ายออกมาครับ เพราะเอาเข้าจริง ๆ ผู้เล่นก็ทนแชทผ่านจอยกันแบบปกติอยู่ดี กลายเป็นอีก 1 อุปกรณ์เสริมของ PlayStation ที่แป้กไม่เป็นท่าในที่สุด

PlayStation Move (PS3 – PS4)

PS Move เป็นโมชั่นคอนโทรลเลอร์ที่มีคอนเซ็ปต์ใกล้เคียงกับ Wiimote ของฝั่ง Nintendo และ Kinect ของฝั่ง Microsoft ซึ่งเวอร์ชั่นที่เล่นคู่กับ PS3 จะต้องใช้ร่วมกับกล้อง PlayStation Eye และมีช่องเสียบสายชาร์จที่เป็น USB Mini ส่วนบน PS4 ก็ต้องใช้ร่วมกับ PlayStation Camera และใช้ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB Micro แทน โดยทั้ง PlayStation Eye และ PlayStation Camera จะทำหน้าที่เป็นตัวจับการเคลื่อนไหว

ทั้งนี้ นอกจาก PS Move แล้วก็ยังมี Navigation Controller (รูปล่าง อันขวามือ) ที่ทำหน้าที่คล้ายกับ Nunchuk ของเครื่อง Wii ซึ่งเอาไว้สำหรับเล่นกับบางเกม โดยมีอนาล็อคซ้ายอยู่ด้านบนเพื่อใช้ในการควบคุมทิศทางการเดินของตัวละคร ขณะที่บางเกมก็จะมีฟีเจอร์ที่ต้องใช้ร่วมกันทั้ง PS Move และ Navigation Collection พร้อมกันด้วย

(ล่าง) PlayStation Eye สำหรับ PS3

(ล่าง) PlayStation Camera สำหรับ PS4

PlayStation VR (PS4)

ย้อนไปในช่วงปี 2013-2014 วงการเกมกำลังมีเทรนด์เกี่ยวกับการเล่นเกมผ่านระบบ Virtual Reality (VR) หรือความจริงเสมือนเข้ามาครับ และบรรดาผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หลายค่ายต่างก็ตอบรับกับเทคโนโลยีนี้ พร้อมกับนำไอเดียไปพัฒนาอุปกรณ์ของตัวเองออกมา ซึ่งของ Sony ก็ได้ออกอุปกรณ์ VR ของตัวเองภายใต้ชื่อที่เรียบง่ายว่า PlayStation VR โดยเน้นจุดเด่นที่ราคาที่ถูกเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ VR ของอีกหลาย ๆ ค่าย และแน่นอนว่าด้วยราคาที่ถูก มันก็ย่อมแลกมาด้วยสเปคที่ต่ำกว่าค่ายอื่นเช่นกัน แต่เหมือน Sony จะจับจุดได้ถูกก็ตรงที่ VR ยังเป็นอะไรที่เข้าถึงเกมเมอร์ได้ยากอยู่ การขายด้วยราคาต่ำกว่าชาวบ้านเลยช่วยกระตุ้นยอดขายได้พอสมควรเลยทีเดียว

ซึ่ง ณ ปัจจุบัน PlayStation VR ถือว่าประสบความสำเร็จพอประมาณ ด้วยยอดขายทะลุ 5 ล้านชุดทั่วโลกแล้วเมื่อสิ้นปี 2019 ที่ผ่านมา