ย้อนไปในวันที่ 1 สิงหาคม 2004 หรือวันนี้เมื่อ 21 ปีที่แล้ว ภายในงานแข่งขันอีสปอร์ตรายการ Evolution Championship Series 2004 (หรือเรียกแบบย่อว่า EVO 2004) ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์แข่งขันเกมไฟท์ติ้งระดับโลก ที่จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยโปลีเทคนิคของรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถูกจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์วงการเกมและอีสปอร์ตทั่วโลก โดยเป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศของเกม Street Fighter III: 3rd Strike ระหว่างไดโกะ อุเมฮาระ (Daigo Umehara) จากญี่ปุ่น และ จัสติน หว่อง (Justin Wong) จากสหรัฐอเมริกาครับ
ทั้งนี้ การแข่งขันจะเป็นแบบหาผู้ชนะจาก 2 ใน 3 เซ็ต โดยที่ใครชนะ 2 ใน 3 ยกก่อนก็จะได้ 1 เซ็ตไป ในเซ็ตแรกนั้นไดโกะกับจัสตินกำลังเสมอกันอยู่ที่ 1 ต่อ 1 ยก และในยกที่ 3 นี้เอง ไดโกะที่เล่นตัวละครเคน (Ken) กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบสุด ๆ เพราะโดนอัดจนพลังชีวิตแทบไม่เหลือแล้ว แม้แต่ตั้งการ์ดป้องกันท่าไม้ตายของจัสตินที่เล่นชุนลี (Chun-Li) เพียงฮิตเดียวก็จะแพ้ทันที กระทั่งพอเหลือเวลาด้านบนเพียง 26 วินาที จัสตินเลยตัดสินใจปิดเกมด้วยการใช้ท่าไม้ตาย Houyoku-sen (鳳翼扇) ที่เป็นการเตะรัว 14 ฮิตแบบรวดเร็ว ตามด้วยเตะเสยปิดท้ายอีก 1 ฮิต ซึ่งท่าดังกล่าวเป็นการโจมตีที่รวดเร็วมาก ต่อให้ไดโกะตั้งการ์ดหรือกระโดดหลบยังไงก็ไม่น่าทัน ทว่าไดโกะตัดสินใจตอบโต้จัสตินด้วยการใช้ Parry ครับ
ในส่วนของระบบ Parry คือฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเกม Street Fighter 3 ซึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับระบบ Perfect Guard ในเกมแอ๊กชั่นทั่วไปครับ ปกติแล้วในเกม Street Fighter ถ้าผู้เล่นต้องการจะป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้ก็ต้องกดปุ่มถอยหลังค้างไว้เพื่อยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ด ถ้าเราตั้งการ์ดการโจมตีที่เป็นเตะต่อยธรรมดาก็จะไม่เสียพลังชีวิตแต่อย่างใด หรือถ้าตั้งการ์ดการโจมตีที่เป็นท่าไม้ตายก็จะเสียพลังชีวิตเพียงเล็กน้อยต่อ 1 ฮิตที่เราป้องกัน แต่กรณีของระบบ Parry นั้น ผู้เล่นจะต้องกดปุ่มเดินไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกับที่การโจมตีของคู่ต่อสู้จะถึงตัวเราพอดี ถ้าทำสำเร็จเราจะสามารถ "ปัด" การโจมตีนั้นออกไปโดยไม่เสียพลังชีวิตเลยแม้ว่าการโจมตีนั้นจะเป็นระดับท่าไม้ตายก็ตาม
ปรากฏว่าไดโกะสามารถทำ Parry การโจมตีทั้ง 15 ฮิตของจัสตินได้อย่างหมดจด โดยเขาต้องกด Parry ให้ถูกจังหวะอย่างแม่นยำภายในกรอบเวลา 0.1 วินาทีของแต่ละฮิตให้ถูกต้อง ณ เวลานั้นไดโกะมีโอกาสทำแค่ภายในเทคเดียว และเขาก็ทำได้สำเร็จ ก่อนจะลงโทษจัสตินด้วยการโจมตีสวนไป 3 ฮิตจุก ๆ และปิดท้ายด้วยท่าไม้ตาย Shippuu Jinraikyaku (疾風迅雷脚) พลิกชนะจัสตินในยกนั้นอย่างปาฏิหาริย์ ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังลั่นฮอลล์ของสนามแข่ง และปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ถูกทางสมาคมผู้จัดการแข่งขันขนานนามว่า EVO Moment 37 และเป็นเหตุการณ์ที่พลิกโฉมวงการเกมและอีสปอร์ตให้ผู้คนยอมรับในฐานะกีฬาประเภทหนึ่งมากขึ้น เนื่องด้วยบรรยากาศที่มีการพลิกแพ้ชนะ มีดราม่าเข้มข้น ไม่แพ้การชมกีฬาระดับบิ๊กแมตช์เลยนั่นเอง
(ภาพล่าง / จากซ้ายไปขวา) ไดโกะ อุเมฮาระ กับ จัสติน หว่อง


แม้ว่าไดโกะจะเอาชนะจัสตินและทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ แต่เจ้าตัวก็ไปพลาดท่าแพ้ให้กับเคนจิ โอบาตะ (Kenji Obata) ผู้แข่งขันที่เป็นเพื่อนร่วมชาติในนัดชิง พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย ทว่าโมเมนต์ที่ผู้คนจดจำและประทับใจมากที่สุดจากงาน EVO 2004 ก็คือช็อตที่ไดโกะพลิกนรกกลับมาชนะจัสตินอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกัน ปัจจุบันจัสตินที่นอกจากจะเป็นนักแข่งอีสปอร์ตแล้ว เขายังมีเปิดช่อง YouTube เป็นของตัวเองด้วย (เพื่อน ๆ ตามไปกดซับได้ที่ลิงค์ https://www.youtube.com/@jwonggg) ซึ่งเจ้าตัวมักจะทำคอนเทนต์เล่นเกมไฟท์ติ้งผ่านโหมดออนไลน์ให้แฟนคลับได้ชมกันอยู่เป็นประจำ โดยมีบางคลิปที่เขาจะใช้คำว่า ไดโกะ เป็นคำกริยาเวลาที่ตัวเองเล่นเกม Street Fighter แล้วเจอฝั่งตรงข้าม Parry ท่าไม้ตายของตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น Noooo, you daigo me?! (แปลว่า ไม่นะ นาย Parry ฉันเรอะ?!) จนกลายเป็นเทรนด์ติดปากในช่องของจัสตินไปเลย
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าช็อต EVO Moment 37 หรือ Daigo Parry จะคงตราตรึงในความทรงจำของเกมเมอร์ที่ทันได้เห็นเป็นบุญตาในชีวิตไปตลอดกาล และทั้งไดโกะกับจัสตินก็ยังเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่เดินหน้าขับเคลื่อนวงการอีสปอร์ตให้มีความคึกคักจนถึงทุกวันนี้ เมื่อใดก็ตามที่เราได้เห็นสองคนนี้ปรากฏตัวตามงานแข่ง โมเมนต์ในตำนานระหว่างทั้งคู่ก็จะผุดขึ้นมาให้เราได้ระลึกถึงอยู่เสมอครับ
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station