โอนิมูฉะ (Onimusha) เป็นหนึ่งในซีรีส์ของ Capcom ที่แฟนเกมเรียกร้องให้มีการคัมแบ็คมากที่สุดซีรีส์หนึ่ง โดยหลังจากภาคหลักภาคล่าสุดที่ชื่อ Dawn of Dreams วางจำหน่ายก็ผ่านมานานถึง 19 ปีแล้ว ซึ่งดูเหมือนทางค่ายก็รับรู้ถึงกระแสความต้องการนี้ จึงได้มีการนำเกม Onimusha ภาคแรกมารีมาสเตอร์เพื่อหยั่งเชิงดูก่อนในปี 2018 กระทั่งเมื่อมีการประกาศเปิดตัวเกม Onimusha: Way of the Sword ที่เป็นภาคใหม่และมีกำหนดวางขายในปี 2026 เลยปล่อย Onimusha 2: Samurai's Destiny เวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ตามมาอีกในปีนี้ ซึ่งทีมงาน Online Station ก็ได้เล่นจนจบและมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันผ่านบทความนี้ ส่วนจะดีสมกับการรอคอย หรือเหมาะเล่นฆ่าเวลารอภาคใหม่ในปีหน้าหรือไม่ เรามีคำตอบมาให้เพื่อน ๆ แล้ว

- ผู้พัฒนา: Capcom
- แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Switch, PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
- แนวเกม: แอ็กชั่น, ผจญภัย, Hack and Slash
- วางจำหน่าย: 23 พฤษภาคม 2025
เนื้อเรื่องในเกมภาค 2 จะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากภาคแรก หลังจากที่ฟอร์ตินบราส วายร้ายจากภาคแรกได้ถูกซามาโนสึเกะสังหารไปไม่นาน โอดะ โนบุนากะ ก็ได้ออกมาบัญชาการกองทหารปีศาจด้วยตัวเองโดยมีเป้าหมายคือยึดครองแผ่นดินญี่ปุ่น รวมถึงต้องการขจัดทุกเสี้ยนหนามที่อาจเป็นภัยแก่ตนในภายภาคหน้า และหนึ่งในนั้นคือหมู่บ้านยางิว ทว่าตอนที่กองทัพปีศาจบุกถล่มหมู่บ้านยางิวนั้น จูเบ ยางิว ตัวเอกของภาคนี้ไม่อยู่ที่หมู่บ้านพอดี ทำให้พอกลับมาถึงก็พบว่าชาวบ้านทุกคนถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว แต่ระหว่างนั้นจูเบก็ได้เจอกับทาคาโจ เทพประจำหมู่บ้านที่อ้างว่าเป็นแม่แท้ ๆ ของจูเบ พร้อมกับมอบพลังแห่งยักษ์ให้และบอกว่าการจะปราบโนบุนากะได้นั้นจำเป็นจะต้องตามหาลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 ลูกให้ครบเสียก่อน การผจญภัยของจูเบเลยเริ่มต้น ณ จุดนั้น
ทั้งนี้ ตัวเกมเป็นแนวแอ็กชั่นสไตล์ Hack and Slash ที่ใช้มุมกล้องแบบกล้องวงจรปิด คล้ายกับเกม Resident Evil ยุคคลาสสิก โดยในเวอร์ชั่นต้นฉบับบน PS2 จะใช้การควบคุมแบบ Tank Control ที่ไม่ว่าเราจะหันหน้าไปทางทิศไหน การกดปุ่ม "ขึ้น" บน D-Pad จะเป็นการเดินหน้าเสมอ แต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์จะใช้การบังคับแบบดันอนาล็อกเพื่อวิ่งไปยังทิศทางที่ต้องการได้ทันที ข้อดีคือสะดวกสำหรับคนเล่นเกมในยุคปัจจุบันที่ใช้การควบคุมลักษณะนี้กันหมดแล้ว ทว่าข้อเสียคือการควบคุมแบบนี้มันไม่เข้ากันกับมุมกล้องแบบกล้องวงจรปิดที่ล็อคตำแหน่งอยู่กับที่ครับ ซึ่งจะชวนหงุดหงิดมากเวลาที่เราต้องเลี้ยวในจุดที่มุมกล้องมันเปลี่ยนพอดี ทำให้เราวิ่งผิดทางไปชั่วขณะอยู่บ่อย ๆ


สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกมภาค 2 เวอร์ชั่นต้นฉบับมาก่อน ตัวเกมมีการเพิ่มอาวุธและไอเทมที่หลากหลายกว่าภาคแรกอยู่ระดับหนึ่ง อีกทั้งปริศนาในเกมที่ไม่ชวนหัวร้อนจนเกินไป อาศัยลองผิดลองถูกสักพักก็จะผ่านได้ไม่ยาก ระบบเด่นที่เพิ่มเข้ามาอย่างแรกคือวิญญาณสีม่วงชนิดใหม่ที่เมื่อเราดูดสะสมมาได้ครบ 5 ดวงก็จะแปลงร่างเป็นอสูร (โอนิ) ที่มีพลังโจมตีเพิ่มขึ้นและเป็นอมตะชั่วคราว โดยเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้น เกมจะบังคับให้จูเบแปลงร่างเป็นโอนิทันทีที่เราดูดวิญญาณสีม่วงครบ 5 ดวง แต่ในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ได้มีการปรับแก้ให้ผู้เล่นเลือกกดปุ่มแปลงร่างได้ทุกเมื่อหลังจากที่ดูดวิญญาณม่วงครบ 5 ดวง ซึ่งเป็นผลดีกับผู้เล่นอย่างมาก เพราะหลายคนก็อยากเก็บไว้แปลงร่างตอนเจอบอสหรือศัตรูตัวเก่ง ๆ มากกว่า
ถัดมาคือระบบเพื่อนฝูง อย่างในภาคแรก ซามาโนสึเกะจะมีคู่หูคือคาเอเดะที่เป็นนินจาสาวเพียงคนเดียว แต่ในภาค 2 จูเบจะมีสหายที่เข้ามาช่วยสู้ได้ 4 คน ได้แก่ มาโกอิจิ, เอย์เคย์, โคทาโร่ และ โอยู ซึ่งการที่ทั้ง 4 คนจะมาปรากฏตัวเพื่อช่วยเราตอนลุยดันเจี้ยนต่าง ๆ ได้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความสัมพันธ์ที่จูเบมีกับพวกเขา โดยเราสามารถเพิ่มระดับความสัมพันธ์ได้ด้วยการมอบไอเทมมีค่าที่หาซื้อได้ในเมือง หรือเปิดได้จากหีบในดันเจี้ยนแล้วนำมาให้กับสหายเหล่านี้ ขณะเดียวกัน สหายของเราแต่ละคนก็จะชอบของมีค่าที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบของสวย ๆ งาม ๆ บางคนก็ชอบอ่านตำราพิชัยสงคราม หรือบางคนก็ชอบน้ำเมา เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว ในบางพื้นที่ของแต่ละดันเจี้ยนก็จะเป็นเขตที่จูเบไม่สามารถไปได้ แต่ถ้าเรามีระดับความสัมพันธ์กับเพื่อนบางคนสูงพอ เราก็จะได้บังคับเป็นเพื่อนคนนั้นแล้วได้ลุยในส่วนที่จูเบเข้าไม่ถึง รวมทั้งสามารถเปิดบางหีบที่จูเบเปิดไม่ได้อีกด้วย


ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์จะมีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือโหมด Hell โฉมใหม่ที่เป็นความท้าทายขั้นสุด เหมาะกับคนที่คิดว่าชีวิตนี้สุขสบายและง่ายดายเกินไป อยากจะหาอะไรมาท้าทายหรือสร้างชาเลนจ์โหด ๆ ให้ตัวเอง โดยโหมดนี้บรรดาศัตรูจะโจมตีจูเบรุนแรงแบบทีเดียวตาย แม้ว่าจะโดนแบบเฉี่ยว ๆ ก็ตาม ดังนั้นการจะเคลียร์โหมดนี้ได้ก็ต้องห้ามโดนโจมตีเท่านั้น และโหมด Gallery ที่ให้ผู้เล่นได้เข้าไปดูภาพอาร์ตเวิร์คสวย ๆ หรือฟังเพลงซาวด์แทร็คเพราะ ๆ ของเกม ตลอดจนพวกคอนเทนต์เบื้องหลังการพัฒนาเกม นอกเหนือจากนี้ก็จะเป็นโหมดพิเศษทั่วไปที่บางโหมดจะเล่นได้ตั้งแต่แรก และบางโหมดจะปลดล็อคเมื่อเล่นเกมจบไปแล้วรอบหนึ่ง
การแสดงผลของเกมนี้ในแง่ของการปรับปรุงภาพของเดิมให้ดีขึ้น ถือว่าไม่มีอะไรให้ต้องติครับ ทุกอย่างดูคมชัดขึ้น ปราศจาก Noise ทั้งหลายที่เราเคยเจอเวลาเล่นเวอร์ชั่นต้นฉบับบนทีวีจอแก้ว แถมยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้เกมแสดงผลแบบ 4:3 เหมือนทีวียุคเก่า หรือจะให้แสดงผลแบบ 16:9 เหมือนทีวีและมอนิเตอร์ยุคปัจจุบันก็ได้ ขณะที่เฟรมเรตก็ลื่นหัวทิ่มที่ 60 FPS แบบนิ่ง ๆ ไม่มีหลุด ถ้าใครเล่นบนพีซีหรือคอนโซลยุคปัจจุบันที่มี SSD ก็แทบไม่มีปัญหาการโหลดมากวนใจด้วย ซึ่งการปรับปรุงรายละเอียดไม่จำกัดเพียงแค่โมเดลตัวละครกับศัตรูเท่านั้น แต่ยังมีการแก้ฉากหลังที่เดิมเป็นภาพเรนเดอร์ให้ดูคมชัดและสวยเนียนตาด้วยเช่นกัน


ความรู้สึกหลัก ๆ หลังจากที่ได้เล่นเกมนี้ไม่ต่างจาก Onimusha ภาคแรกเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์สักเท่าไหร่ครับ นั่นก็เพราะว่าถ้าตัดเอาฟีเจอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มมาตามที่เกริ่นไปก่อนหน้าออกไป ตัวเกมทั้งสองภาคคือถูกนำมารีมาสเตอร์แบบ 1:1 แทบจะเป๊ะเลย ไม่มีการขยายเส้นเรื่องใหม่ ไม่มีเกมเพลย์อะไรใหม่ที่ต่างจากต้นฉบับแบบ Major Change แม้แต่คัตซีนใหม่ก็ยังไม่มี ซึ่งก็พอจะเดาอนาคตข้างหน้าได้ไม่ยากว่าหากมีการนำเกม Onimusha 3 หรือ Onimusha: Dawn of Dreams มารีมาสเตอร์ ก็น่าจะมาทรงนี้เหมือนเดิม มันเลยเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต ๆ กลับไปยังผู้เล่นว่าคุณมีความรักและคิดถึง Onimusha 2 มากพอที่จะมองข้ามข้อเสียที่มาจากความเป็นเกมตกยุคหรือไม่ ถ้าเป็นแฟนเดนตายซะอย่าง การหวนกลับมาเล่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดมากอะไรด้วยซ้ำ


สรุป
นี่คือการรีมาสเตอร์ที่เพลย์เซฟมากเกินไป และไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ให้กับตัวเกมมากไปกว่าการใส่โหมดใหม่หรือฟีเจอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ มีเพียงการปรับคุณภาพกราฟิกให้ดูคมชัดเพื่อเล่นจอแบบ HD เท่านั้น ขณะที่การควบคุมด้วยอนาล็อกที่ดูเหมือนจะสะดวกขึ้นกว่าการบังคับแบบรถถังแบบแต่ก่อนก็ไม่ช่วยให้เคลื่อนที่ได้คล่องตัวขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะเจอมุมกล้องที่ยังเป็นกล้องวงจรปิดยุค 20 กว่าปีก่อนมาเป็นอุปสรรคสำคัญ ใครที่กำลังจะหาเกมนี้มาเล่น ลองถามใจตัวเองดูก่อน หากคุณต้องการแค่รำลึกความหลังหรือโหยหากลิ่นอายโอนิมูฉะก่อนจะไปเล่นภาคใหม่ในปีหน้า อาจจะหยิบมาเล่นให้พอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง แต่ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สมัยใหม่ที่ทนไม่ได้กับความโบราณในหลาย ๆ จุดของเกมที่มีอายุกว่า 2 ทศวรรษ คุณจะหัวร้อนกับตำแหน่งมุมกล้องของหลาย ๆ ห้องที่ไม่ช่วยให้คุณได้เปรียบในการต่อสู้ด้วยซ้ำ
คะแนน 7.5 / 10


