วันที่ 22 เมษายน 1985 หรือวันนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นวันวางจำหน่ายของเกม Yie Ar Kung-Fu บนเครื่อง Famicom ที่ประเทศญี่ปุ่น เกมนี้ถือเป็นหนึ่งในเกมแนวไฟท์ติ้งยุคบุกเบิกที่พัฒนาโดย Konami และได้รับแรงบันดาลใจอย่างมหาศาลจากบรรดาหนังแอ๊กชั่นของ บรู๊ซ ลี (Bruce Lee) นักแสดงมากฝีมือที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1973 ครับ
(ล่าง) ปกเกม Yie Ar Kung-Fu เวอร์ชั่นญี่ปุ่น
แรกเริ่มเดิมที ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันได้มีการแนวไฟท์ติ้งที่ใช้ศิลปะการต่อสู้จากเอเชียอย่าง Karate Champ ที่พัฒนาโดย Technos Japan ออกมาตีตลาดด้วย ทว่าฝั่ง Karate Champ เลือกที่จะนำเสนอแบบเน้นความสมจริง โมเดลตัวละครดูเหมือนคนมากกว่าตัวการ์ตูน ใช้การนับคะแนนในการวัดผลแพ้ชนะ ทางด้าน Yie Ar Kung Fu กลับเลือกที่จะใช้ภาพตัวละครในเชิงการ์ตูน และท่วงท่าของนักสู้แต่ละคนที่รวดเร็วกว่าหน่อย รวมถึงนำระบบเกจพลังชีวิตมาตัดสินผลแพ้ชนะแทน ซึ่งระบบเกจพลังชีวิตนี้เองก็เป็นหนึ่งในไอเดียที่ถูกหยิบยกมาใช้กับเกมไฟท์ติ้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตัวเกมในเวอร์ชั่นตู้อาร์เคด ผู้เล่นจะได้บังคับตัวละครที่ชื่อ อู่หลง (Oolong) แต่ในเวอร์ชั่นที่พอร์ตลงคอนโซลได้มีการเปลี่ยนชื่อตัวเอกเป็น ลี (Lee) และจะต้องประลองยุทธ์กับนักสู้ 5 คน ได้แก่ หวัง (Wang) ที่ใช้อาวุธเป็นไม้พลอง, เถา (Tao) ที่มีท่าพ่นลูกไฟโจมตีระยะไกลได้, เฉิน (Chen) ที่ใช้โซ่ขนาดยาวเป็นอาวุธคู่ใจ, หลาง (Lang) นักสู้สาวที่เด่นเรื่องความเร็วและออกท่าได้ไว และ มู่ (Mu) ผู้มีท่าพุ่งทะยานใส่ คล้ายท่าพุ่งของ Mr. Big จากเกม Art of Fighting
อนึ่ง เมื่อเราจัดการปราบนักสู้ทั้ง 5 คนได้หมดแล้ว ลีจะกระโดดเตะฆ้องที่แขวนอยู่กลางฉาก จากนั้นเกมจะวนลูปให้เราสู้กับนักสู้ 5 คนเดิมอีกรอบในระดับความยากที่สูงขึ้น และสีของป้ายสำนักก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งลูปจะดำเนินต่อไปจนกว่าเราจะเกมโอเวอร์เสียเอง เนื่องจากเกมเวอร์ชั่น Famicom จะไม่มีฉากจบครับ
จากความสำเร็จที่เกม Yie Ar Kung-Fu ได้ทำเอาไว้ ทำให้ทาง Konami ได้ทำภาค 2 ออกมาในอีก 1 ปีให้หลัง (1986) แต่ดันลงแค่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์สำหรับภายในบ้านเท่านั้น และมีคนไทยน้อยมากที่เคยได้เล่นภาค 2 ซีรีส์นี้เลยอันตรธานหายไปแบบเงียบ ๆ เหลือแต่เพียงภาพความทรงจำที่เหล่าเกมเมอร์ในไทยเคยมีกับภาคแรก และมักจะได้เล่นเกมนี้ผ่านตลับเกมรวม (ตลับเถื่อน) เสียเป็นส่วนใหญ่
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station
