รีวิวเกม Final Fantasy 7 Rebirth – การกำเนิดใหม่ที่ยังคงน่าประทับใจ

ดำเนินมาจนถึงภาคที่ 2 กันแล้วครับสำหรับโปรเจกต์ Re ของ Final Fantasy 7 ภายหลังเมื่อ 4 ปีก่อน Final Fantasy 7 Remake ได้สร้างความฮือฮาให้กับแฟนๆ ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ เพราะนอกจากการทำเกมเพลย์และกราฟิกขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแล้ว เนื้อเรื่องของเกมยังบิดไปจากเดิมในแบบที่น่าติดตามมากขึ้น จนผู้เล่นมาถึงบางอ้อในตอนที่เกมจบลงว่านี่ไม่ใช่ภาค Remake แต่นี่คือภาค “ที่ชื่อว่า” Remake ต่างหาก

Final Fantasy 7 Rebirth

แน่นอนว่า Remake ได้ทิ้งระเบิดหลายลูกเอาไว้ในตอนจบ และแฟนๆ ก็ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะเล่นภาคต่อใจจะขาด ทั้งเกิดคำถามขึ้นมาว่าอีเวนต์สำคัญอันตราตรึงในเกมภาคออริจินัลจะยังมีอยู่ไหม? มันเกิดในภาคนี้รึเปล่า? หรือจะมีการแก้บทให้ต่างไปจากเดิมอีก ในฐานะที่แม้จะเก็บไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช้เวลาไปกับมันกว่า 82 ชั่วโมง ผมสามารถบอกได้เลยว่า Final Fantasy 7 Rebirth เป็นเกมที่มาพร้อมกับคำตอบของหลายๆ คำถาม แต่มากกว่านั้นคือมายังนำมาซึ่งคำถามใหม่ๆ ที่ต้องการคำตอบมากมายยิ่งกว่าในภาคถัดไป ทว่าหากถามต่อว่า 80 กว่าชั่วโมงนี่มันเต็มไปด้วยความบันเทิงใช่ไหม? ใช่เลยครับ ถึงจะหงุดหงิดในบางช่วงบางตอน แต่ Final Fantasy 7 Rebirth ยังเป็นเกมที่เต็มไปด้วยคุณภาพของคอนเทนต์ และลีลาการเล่าเรื่องราวที่เร้าใจจัดจ้านสมความคาดหวังของแฟนๆ ได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ

เนื้อเรื่อง

Final Fantasy 7 Rebirth จะมีเนื้อหาต่อจากตอนจบของภาค Remake ทันที กับ Aftermath ที่เกิดขึ้น ฝั่งเมือง Midgar ที่วุ่นวาย กับแก๊งค์ของคลาวด์ที่ระเห็จหนีไปนอกเมืองได้สำเร็จ โดยที่ตัวเกมทำให้เราเอ๊ะอย่างต่อเนื่องและรับรู้ได้ว่าหลายๆ อย่างมันไม่ปกติ จากนั้นจะเป็นการย้อนอดีตในช่วงที่เกมเปิดเดโม่ให้เล่น กับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมใน Nibelhelm และจะเริ่มเข้าเกมเพลย์แบบกึ่งโอเพ่นเวิร์ลจริงๆ ในช่วง Chapter 2 ครับ

คิดว่าส่วนของเนื้อเรื่องน่าจะเป็นอะไรที่แฟนๆ คงคาดหวังกันมากที่สุดแล้ว เพราะเดิมทีมันก็มีความคลาสสิคและไอคอนนิคอยู่ในตัวสูงมาก แม้คนที่ไม่ได้เล่นภาคออริจินัลมาตั้งแต่แรกเช่นผมกับอีกหลายคนก็ยังรู้จักกับตัวละครอย่าง คลาวด์, ทิฟา หรือเซฟิรอธ พอมีการทำใหม่ก็น่าสนใจขึ้นไม่ว่าจะในแง่ของการขยายความบางเหตุการณ์ การเปลี่ยนแปลงไทม์ไลน์หรือกระทั่งผลลัพท์ของมัน ผู้เล่นจะอยากรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ว่าเกมจะพาเราไปยังไงต่อ

สำหรับผมเองที่ไม่ได้เล่นภาคต้นฉบับมา อาจจะตามไม่ทันในเนื้อเรื่องบางจุดบ้าง เพราะเกมเน้นเล่าไว และต้องอาศัยความเข้าใจในเส้นเรื่องเดิมประมาณหนึ่ง แต่ในภาพรวมเราเห็นได้ชัดว่าทีมพัฒนามีความตั้งใจที่จะเล่าเรื่อง พวกเขาใส่ใจกับมันอย่างมาก หลายๆ ส่วนก็ค่อนข้างทึ่งในความขยันและรูปแบบการนำเสนอ และหากปล่อยตัวไหลไปก็ยังคงสามารถสนุกสนานไปกับมันได้อยู่แม้อาจไม่ได้เก็ตไปเสียทุกอย่าง

แต่กับคนที่ผูกพันธ์กับเกมออริจินัลมาก่อน ผมว่าคุณสามารถเต็มอิ่มกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก และคาดหวังกับมันได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คุณจะฟิน คุณจะหัวเราะ คุณจะร้องไห้ไปกับในทุกๆ โมเมนต์ที่คลาวด์และเพื่อนๆ ต้องประสบพบเจอตลอดการเดินทาง หลายๆ เหตุการณ์ในภาคออริจินัลถูกจับมาขยาย ให้รายละเอียด และดึงอารมณ์มากกว่าเดิม จากการเล่าเรื่องไดอาล็อกเดียวในอดีตมันก็อาจกลายเป็นโมเมนต์ยาว 4-5 นาทีด้วยซ้ำไป พร้อมๆ กับคัตซีนที่สลับมาทั้ง CG เต็มรูปแบบและอินเกมเอนจิ้นชนิดจัดเต็มจนอยากมอบรางวัลให้แอนิเมเตอร์จริงๆ ส่วนตัวแล้วเล่น RPG มาก็หลายเกม และผมสามารถพูดได้เลยว่า Final Fantasy 7 Rebirth คือหนึ่งในเกมที่ให้ราคากับรูปแบบการเล่าเรื่องและนำเสนอมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว

เสียง

Final Fantasy เป็นซีรีส์ที่ให้ความสำคัญกับเพลงในทุกๆ ภาค แต่ละภาคล้วนมีเพลงธีมติดหูไม่มากก็น้อย สำหรับภาค 7 ก็เป็นอีกภาคที่มีเพลงดังหลายๆ เพลง ใน Final Fantasy 7 Rebirth เองก็มีการนำเพลงอมตะเหล่านั้นมารีอาเรนจ์ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงปรับให้บางส่วนสามารถเล่นร่วมกับมินิเกมได้ และจากหัวข้อก่อนหน้าที่บอกว่าเกมนี้เน้นการเล่าเรื่องมากๆ ทีมพัฒนาก็ไม่พลาดที่จะนำเอาเพลงประกอบไม่ว่าจะซาวด์แทรคหรือ BGM มาช่วยในการบิลด์อารมณ์ร่วมของผู้เล่นอยู่เนืองๆ

ในขณะที่ทีมพากย์ก็ตบเท้าเข้ามาสร้างสรรค์ผลงานกันเพียบ เหล่าตัวละครหลักมีเสียงของตัวเองกันหมด อาจจะด้วยเนเจอร์ความเป็นค่ายญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมซึ่งมักลงทุนในเรื่องของนักพากย์อยู่แล้ว ทำให้เรื่องนี้แทบจะหายห่วงไปเลย จัดเต็มมากๆ ครับ

กราฟิก

ถือว่าเป็นประเด็นไม่น้อยตั้งแต่ที่มีการปล่อยเดโมมาให้เล่นครับสำหรับเรื่องของกราฟิก ที่เห็นชัดเลยว่าคุณภาพในโหมด Performance นั้นค่อนข้างดรอปมากๆ ในแง่ของดีเทลต่างๆ หรือแสงเงาเพี้ยนๆ ไอ้ครั้นจะไปเล่น 4K ก็รับกับเฟรมเรตไม่ไหวอีก บางคนถึงกับนำไปเทียบกับเกมภาค Remake เมื่อ 4 ปีก่อนที่โมเดลตัวละครยังดูดีกว่าด้วยซ้ำไป

ในจุดนี้ผมที่เล่นโหมด Performance ทั้งเกมรู้สึกว่ามันมีทั้งเรื่องที่เป็นจริงจนเรามองได้ว่ามันเป็นข้อด้อย กับบางส่วนที่รู้สึกว่าพอหยวนๆ ได้ เริ่มจากฉากแผนที่โอเพ่นเวิร์ลที่ทีมพัฒนาดีไซน์ออกมาได้ดี แต่ละภูมิภาคมีความยูนีคของตัวเอง และเอนจิ้นกราฟิกก็ตอบสนองความใหญ่โตโอ่อ่าได้อย่างไม่มีปัญหา ฉากกว้างๆ ในตอนกลางวันนั้นดูดีไม่มีแย่เลย ออบเจคตามฉากก็อัดแน่น ทุกพื้นที่ดูได้รับความใส่ใจ เวลาเข้าไฟต์ซีนซึ่งเต็มไปด้วยความรวดเร็วและการสาดสกิล ก็ไม่รู้สึกถึงความย่ำแย่ของกราฟิกใดๆ และเอาเข้าจริงมันก็ดูสวยงามสมกับยุคสมัยอย่างไม่ขัดเขิน

แต่ใช่ครับกราฟิกเกมจะดูมีปัญหาแบบโดดเด้งทันทีเมื่อเราเข้าพื้นที่มืดหรือตามถ้ำต่างๆ ที่ต้องการการคำนวนมุมตกกระทบแสงมากกว่าเดิม คือมันไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องแสงเงาที่ผิดพลาด แต่ยังมีเรื่องของความสว่างของจอที่ไม่เท่ากันเวลาหมุนมุมกล้องด้วย ซึ่งจุดนี้ส่งผลกระทบต่อการเล่นพอสมควร ขณะที่การแสดงผลที่ผิดพลาดของแสงเงาที่กระทบกับวัตถุหรือโมเดลตัวละครก็เป็นเหมือนการย้ำให้เห็นแผลว่ามันเด่นชัดขนาดไหน

ยังไม่รวมถึงการแสดงอารมณ์บนใบหน้าของคลาวด์ในช่วงเกมเพลย์ที่แข็งยิ่งกว่าตัวประกอบหลายๆ ตัว แม้พี่แกจะเป็นตัวละครอมทุกข์หน้านิ่งอยู่แลัว แต่หน้านิ่งกับหน้าแข็งมันก็ต่างกันอยู่ นี่คือเกมปี 2024 บนเครื่อง PS5 โดยค่ายยักษ์ใหญ่ที่โดดเด่นเรื่องการทำคัตซีนและ CG ซึ่งมีตัวละครต้องแสดงอารมณ์ทางสีหน้าอันหลากหลายมาช้านาน คิดว่าทีมพัฒนาควรทำได้ดีกว่านี้

อนึ่งตอนทำรีวิวยังไม่มีการอัปเดตแพตช์แก้ไขกราฟิกเข้ามา ดังนั้นเราขอว่ากันไปตามเนื้อผ้าที่เห็นและเป็นไปก่อนนะครับ สุดท้ายถ้ากราฟิกมันดีขึ้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคครับ

เกมเพลย์

เกมเพลย์ในภาคนี้มันมีทั้งส่วนที่ถูกทำให้ดีขึ้น แต่ก็มีความน่ารำคาญบางประการควบคู่กันไปอยู่เหมือนกัน แต่ในภาพรวมคิดว่าเป็นไปในแนวทางที่ดีและสามารถต่อยอดได้ ไม่ว่าจะในภาคถัดไป หรือเอาไปทำเกมใหม่ออกมาก็ตาม

เรามาพูดถึงโลกของเกมที่กลายเป็นกึ่งโอเพ่นเวิร์ลภาคนี้ก่อน นี่คือโอกาสดีที่ผู้เล่นจะได้สำเร็จโลกของ Final Fantasy 7 ในแบบที่โอ่อ่าและสวยงามมีสเน่ห์มากที่สุด แน่นอนว่าคุณสามารถใช้ความเป็นติ่งซีรีส์เสพย์สมบรรยากาศในเกมไปเรื่อยๆ ได้ แต่มันก็คงกลวงเกินไปหากในแผนที่กว้างใหญ่ไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนัก ทั้งนี้ในภาพรวมของแผนที่ภูมิภาคโดยส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมที่คล้ายๆ กันคือ ไล่เปิดเสาสัญญาณ, สู้กับมอนสเตอร์ตามจุดที่ระบุ, หาวิหารแสกนซัมม่อน, ไล่แสกนพืช, หาโปรโตเรลิค พอทำถึงจุดหนึ่งจะปลดล็อคให้สู้กับบอสประจำถื่น และอาจจะตบท้ายด้วยการเข้าห้องจำลองของไอ้หนุ่มแชดลี่เพื่อสู้ชิงของรางวัล โดยที่มีโชโกโบะประจำพื้นที่นั้นๆ เป็นกิมมิคในการเดินทางเพื่อเข้าถึงพื้นที่ต่างซึ่งรูปแบบจะแตกต่างกันออกไป บางตัวร่อนข้ามแมพได้ บางตัวปีนผาได้ บางตัวก็ใช้ไฮโดรเจ็ตขึ้นที่สูงได้

แรกๆ ก็สนุกสนานดี แต่พอต้องทำแบบเดิมๆ ไปสัก 5-6 แผนที่มันก็เริ่มน่าเบื่อ เพราะที่ว่าแบบเดิมๆ ก็คือเหมือนเดิมทุกอย่างเลย เคยสนุกแค่ไหนก็มีเอียนกันบ้าง แต่โชคดีที่เกมก็ยังอุดมไปด้วยไซด์เควสต์น่าสนใจ และมินิเกมอีกมากมายที่แบบว่าพี่จะขยันทำมาเยอะไปไหน!

ให้เทียบกับงานก่อนหน้าอย่าง Final Fantasy 16 ไซด์เควสต์เกมนี้กินขาดในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะรูปแบบของเควสต์ เรื่องราวข้างใน หรือกระทั่งของรางวัลช่วงจบเควสต์ มันอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องนัก แต่มันก็ทำหน้าที่ตัดเลี่ยนภารกิจหลักได้ดี ขณะที่บางเควสต์ก็จะมีไซด์สตอรี่ของบางตัวละครมาเล่าเพิ่มด้วย ที่สำคัญคือเควสต์พวกนี้หลายๆ จะมีการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ตัวละครเพื่อนในทีม ใครอยากไปเดตกับตัวละครไหนตอน Date night ก็จำเป็นต้องเล่นเควสต์เหล่านี้ด้วยครับ

มินิเกมเองก็มีหลายแบบ ทั้งมินิเกมขนาดยาว และมินิเกมที่มาเฉพาะช่วงเวลา ส่วนใหญ่ทำออกมาได้บันเทิงดี จะมียากจนหงุดหงิดแค่บางอันเท่านั้น ส่วนตัวชอบ Queen’s Blood เกมการ์ดที่เป็นมินิเกมขนาดยาว มีเควสต์ไลน์และเมคานิคเป็นของตัวเอง ทำออกมาได้ดีมากๆ ฟีลลิ่งจะเหมือนคุณตี Gwent ใน The Witcher 3 คือโลกกำลังเผชิญภัยระดับทำลายล้าง แต่ Queen’s Blood กันก่อนสักตามั๊ย? อะไรประมาณนี้ มันยังมีระดับแรงก์ของการเป็นนักเล่นการ์ดรวมถึงเนื้อเรื่องกาวๆ ของตัวเองด้วย ผมชอบมาก

กลับมาส่วนของเกมเพลย์หลักในส่วนของแอ็กชั่นก็ถูกพัฒนาขึ้นมีอะไรให้กดเยอะขึ้น เกมว่องไวกว่าเดิม มันเหมือนจะสนุกขึ้นแต่ก็จะมีข้อติดขัดส่วนตัวบางประการ อย่างเช่นเพื่อนร่วมทีมที่เหมือนจะนิ่งกว่าปกติ ไม่ค่อยออกท่าทาง จะรีบปั้มเกจใช้ท่าของตัวนั้นๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปบังคับเอง ส่วนตัวคิดว่า AI เพื่อนควรแอคทีฟกว่านี้สักหน่อย เพื่อความไหลลื่นของเกมเพลย์ที่มากขึ้น

มุมกล้องและพื้นที่ต่างระดับระหว่างสู้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อหงุดหงิดเช่นกัน บางฉากพอเป็นห้องแคบแล้วพอตัวละครขยับไว มุมกล้องจะเพี้ยนๆ หาตัวละครไม่เจอ หรือพื้นที่ต่างระดับก็เป็นปัญหาทั้งระหว่างสู้และแม้แต่ตอนเดินสำรวจ เหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ตัวละครนั้นไม่สามารถกดกระโดดได้ ทำให้บางทีมันเคลื่อนตัวติดขัดไปหมด และส่งผลต่อการต่อสู้ในหลายๆ ครั้งพลิกสถานการณ์จากได้เปรียบเป็นเฉียดตายอะไรแบบนี้ ยังไม่นับรวมถึงการพยายามทำพัซเซิลชวนรำคาญระหว่างฉากมาให้เล่น (เช่นเครื่องดูด Mako ในเดโม) เป็นระยะๆ ด้วยนะ เล่นจนจบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามีมาทำไมถ้าจะเชื่องช้าจนขัดมู้ดขนาดนี้

สรุป

Final Fantasy 7 Rebirth เป็นทั้งภาคต่อและการพัฒนาไปอีกขั้นของซีรีส์ ตัวเกมกระหายอย่างมากที่จะบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยที่กำลังดำเนินไป เมื่อผสานกับเกมเพลย์ที่ถูกขัดเกลามามากขึ้น โลกที่โอ่อ่าอลังการมากขึ้น คัตซีนเแจ่มๆ อีกเป็นกระบุงโกย และมินิเกมเป็นกุรุสให้ได้เล่นแก้เบื่อ ทำให้ Final Fantasy 7 Rebirth เป็นเกมที่คุณสามารถใช้เวลากับมันได้เป็นวันๆ ราวกับได้กลับเป็นเด็กที่จับจอย PS1 เล่นภาคออริจินัลของมันอีกครั้ง มันอาจจะไม่ใช่งานที่เนี๊ยบที่สุด หรือมีปัญหากวนใจเรื่องกราฟิกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือเกมที่อุดมไปด้วยคอนเทนต์คุณภาพระดับสูงมากมาย ยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนเกมภาคออริจินัลด้วยแล้ว ผมเชื่อเลยว่า Final Fantasy 7 Rebirth จะเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่น่าจดจำที่สุดของปีนี้ หรือรอบครึ่งทศวรรษนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยจริงๆ ครับ

Final Fantasy 7 Rebirth มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้บนเครื่อง PlayStation 5 โดยจะ Exclusive เป็นเวลา 3 เดือนครับ

VERDICT
8.5/10


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้