รีวิวเกม Marvel’s Spider-Man 2 – มีสองฮีโร่ ยังไงก็ย่อมดีกว่า

หลังเว้นช่วงจากภาคแรกไปนานถึง 5 ปีเต็ม ในที่สุดเกม Marvel’s Spider-Man 2 ก็เตรียมจะวางจำหน่ายให้เกมเมอร์ทั่วโลกได้เล่นกันในวันที่ 20 ตุลาคมนี้บน PS5 ซึ่งการผจญภัยของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ซูเปอร์ฮีโร่หนุ่มพลังแมงมุมยังคงดำเนินต่อไป โดยมีไมลส์ โมราเลส ในฐานะมนุษย์แมงมุมรุ่นน้อง และแมรี่ เจน วัตสัน คนรักของปีเตอร์คอยร่วมมือด้วย

แต่ภาระความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งของพวกเขาจะถูกสะสางได้อย่างไร และภาค 2 นี้จะควรค่าแก่การรอคอยมานานถึง 5 ปีหรือไม่ เชิญชมคำตอบเหล่านั้นในรีวิวของทาง Online Station กันได้เลยครับ


แพลตฟอร์ม: PS5
วางจำหน่าย: 20 ตุลาคม 2023
แนวเกม: แอ๊กชั่น/ผจญภัย/โอเพ่นเวิลด์
ผู้พัฒนา: Insomniac Games

ทีมงาน Online Station ขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment สาขาประเทศสิงคโปร์ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Marvel’s Spider-Man 2 สำหรับรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของเกมภาคนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 10 เดือนให้หลังจากเกมภาค Miles Morales ซึ่งมหานครนิวยอร์คได้มีผู้พิทักษ์เป็นสไปเดอร์แมนถึง 2 คน นั่นก็คือ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ และ ไมลส์ โมราเลส โดยนอกเหนือแง่มุมของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ปีเตอร์กับไมลส์ต่างก็มีชีวิตในฐานะคนธรรมดาที่ต้องบริหารจัดการ รวมถึงมรสุมปัญหาต่าง ๆ รอบด้านที่ทั้งคู่ต้องเผชิญและรับมือ เกมใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่างปีเตอร์กับไมลส์ ให้เราได้เห็นมุมมองของปีเตอร์ที่อยู่ในวัยทำงานและฮีโร่รุ่นพี่ และไมลส์ที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อและเคารพปีเตอร์เยี่ยงไอดอล

การจะซึมซับเนื้อเรื่องของภาค 2 ได้อย่างไหลลื่น แนะนำว่าผู้เล่นทุกคนควรผ่านเกมภาคแรก รวมถึง DLC ทั้ง 3 ตัว ตลอดจนภาคเสริมอย่าง Miles Morales ให้จบเสียก่อน เพราะจะช่วยให้ทราบถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ของปีเตอร์และไมลส์ และที่มาที่ไปของหลาย ๆ เหตุการณ์ได้ครบถ้วน แม้ว่าเกมจะมีมูวี่เท้าความหลังของเกมภาคแรกกับ Miles Morales ให้ได้ชมก่อนเล่นเกมภาค 2 ก็ตาม แต่เนื้อหาในส่วนนั้นจะแทบไม่ได้นับรวมบทสนทนายิบย่อยที่ตัวละครพูดกันระหว่างที่ผจญภัย ทำให้อาจจะขาดบางมิติของความสัมพันธ์ไปบ้าง ก็เลยเป็นสาเหตุที่เราต้องแนะนำให้เพื่อน ๆ หาภาคแรกและภาคเสริมมาเล่นก่อนนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ภาคนี้จะมีตัวละครปรากฏตัวเยอะมาก ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรืออธรรม แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ได้รับแอร์ไทม์ในปริมาณที่เหมาะสม ต่อให้มีบางตัวที่ซีนไม่เยอะ แต่ก็ยังมีความสำคัญต่อพล็อต อีกทั้งการลำดับเรื่องในเกมก็เรียกว่าประเคนกันแบบจัดหนักเป็นระยะ และระหว่างที่เกมทิ้งปมหนึ่งไว้ให้ขบคิด ก็มักจะมีปมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาให้เราต้องลุ้นติดตามอยู่เรื่อย ๆ อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟเหาะที่พยายามจะนำพาเราไปจุดตื่นเต้นตลอด ส่วนใหญ่มักจะได้ลุ้นว่าจะมีใครโผล่มาอีก หรือจะมีจุดพลิกผันรออยู่หรือไม่ หากจะมีช่วงแผ่วก็คงจะเป็นช่วงที่เราเดินทางในเมืองหรือตามไปคุยกับ NPC ที่กำหนดไว้เท่านั้น ถ้าจะบอกว่าเนื้อเรื่องภาคนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ “แบก” เกมก็คงไม่ผิดนัก


กราฟิก

ตัวเกมจะมีโหมดการแสดงผลให้เลือกทั้งหมด 2 โหมด คือ Fidelity และ Performance โดยโหมด Fidelity จะล็อคเฟรมเรตที่ 30 เพื่อแลกกับภาพและเท็กซ์เจอร์ที่คมชัด รวมทั้ง Ray Tracing แบบเต็มพิกัด ไม่ว่าจะแสงเงาที่ตกกระทบจากแสงไฟ เงาสะท้อนบนผิวน้ำ และปริมาณผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเมือง ในทางกลับกัน โหมด Performance จะเน้นเฟรมเรตที่ 60 แต่จะไปลดทอนรายละเอียดของกราฟิกและ Ray Tracing ให้มุ่งแสดงผลเฉพาะตรงจุดที่ผ่านสายตาผู้เล่นจริง ๆ เท่านั้น เพื่อเลี่ยงการโหลดทรัพยากรที่ไม่จำเป็นออกไป

ทั้งนี้ ทีมงานได้ทดสอบเกมด้วยโหมด Performance พบว่าเฟรมเรตไม่มีตกให้เห็นเลย และมีการเก็บรายละเอียดของชุดสไปดี้สูทได้ดีมาก เวลาเข้าคัตซีนหลังผ่านช่วงแอ็กชั่นสมบุกสมบันก็เผยให้เห็นรอยฉีกขาดชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งร่องรอยแผลที่ตัวละครของเราได้รับบาดเจ็บด้วย ทว่าพอเราเข้าฉากที่บังคับตัวละครได้ ส่วนใหญ่ร่องรอยเหล่านั้นจะหายไปชั่วคราวครับ

การแสดงออกด้านอารมณ์และความรู้สึกผ่านสีหน้าและอากัปกิริยาของตัวละครยังทำออกมาได้ดีเช่นเคย โดยเฉพาะปีเตอร์กับไมลส์ และตัวละครนำอื่น ๆ ทั่วไป แต่อาจจะมีรู้สึกตะหงิดบ้างกับหน้าตาของ MJ (แมรี่ เจน วัตสัน) ที่แม้จะใช้นักแสดงต้นแบบคนเดิมจากภาคแรก แต่ใบหน้าของเธอยังทำให้รู้สึกว่าแอบแข็งกว่าตัวละครอื่น ๆ ค่อนข้างชัดอยู่่


เกมเพลย์

แง่ของการสำรวจและเดินทางในภาคนี้มีการเพิ่มสเกลของพื้นที่อีกประมาณเท่าตัว โดยเดิมทีพื้นที่สำรวจของภาคแรกจะมีแค่ส่วนของเกาะแมนฮัตตัน แต่ในภาค 2 จะเพิ่มพื้นที่ของย่านควีนส์และบรู๊คลินเข้ามาด้วย แน่นอนครับว่าบรรดาเควสต์และไอเทมจำพวก Collectibles ทั้งหลายก็มีให้ทำให้เก็บมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทว่าการเดินทางของสไปเดอร์แมนจะไม่ถูกจำกัดแค่การโหนใยและ Fast Travel แล้ว เพราะเกมมีแนะนำอุปกรณ์ชิ้นใหม่นั่นก็คือ เว็บวิงส์ (Web Wings) ที่ผู้เล่นสามารถร่อนกลางอากาศเป็นระยะทางไกลพอสมควร แถมยังอาศัยพัดลมบนดาดฟ้าบางตึกช่วยพ่นลมให้เราลอยสูงขึ้นได้ รวมถึงอุโมงค์ลมที่ช่วยยืดระยะทางการร่อนของเราโดยไม่เสียระดับเพดานบินด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี หากผู้เล่นคนไหนที่ไม่อยากสัมผัสฟีลการเดินทางสไตล์สไปดี้ หรือใจร้อนอยากไปทำภารกิจแบบเร่งด่วน ภาคนี้ก็มีการพัฒนาระบบ Fast Travel โดยอาศัยประสิทธิภาพของ SSD บน PS5 ให้เป็นประโยชน์ เพียงแค่เลือกจุดที่ต้องการจะไปโผล่ ตัวของเราก็จะไปโผล่ตรงจุดนั้นแทบจะทันทีและไม่มีฉากโหลดแบบภาคแรกให้เห็นเลย ทำให้ชีวิตสบายขึ้นมาก

ฟากของระบบต่อสู้ สไปดี้ทั้งสองยังสามารถเรียกใช้แกดเจ็ต (Gadget) ไว้รับมือกับศัตรูได้ตามสถานการณ์เหมือนภาคแรก โดยพอเราเล่นไปเรื่อย ๆ เกมจะทยอยปลดล็อคแกดเจ็ตใหม่ ๆ ให้เราได้ใช้เพิ่ม และมีระบบอัปเกรดรองรับอยู่เหมือนเดิม รวมถึงการอัปสกิลของปีเตอร์และไมลส์ โดยสกิลของทั้งคู่จะเป็นคนละสายอย่างชัดเจน แต่มีให้แยกอัปสกิลแบบรายบุคคล และสกิลที่เป็นท่าประสาน ขณะที่แกดเจ็ตจะใช้ชนิดเดียวกันและใช้ร่วมกัน

หลาย ๆ ภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นเควสต์หลักหรือเควสต์ย่อย เกมมักจะเปิดโอกาสให้เราได้ทยอยกำจัดศัตรูแบบลอบเร้น แล้วค่อยเป็นช่วงบังคับสู้ เว้นแต่เราจะโดนศัตรูพบตัวเสียก่อน แต่ก็มีการเพิ่มลูกเล่นในช่วงลอบเร้นเข้ามาเล็กน้อยด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่เพิ่มมาใหม่ ช่วยให้เรามีทางเลือกในการย่องเข้าใกล้ศัตรูได้ง่ายขึ้น

เมื่อผู้เล่นลุยไปถึงครึ่งหลังของเกม การต่อสู้แบบบอสไฟต์น่าจะเป็นจุดดาบสองคมสำหรับผู้เล่นอยู่ไม่น้อย ข้อดีก็คือบอสแทบทุกตัวในเกมล้วนมีสกิลแพรวพราว และเก่งระดับตึงมือเอาเรื่องแม้จะเล่นเพียงระดับ Normal ก็ตาม แต่ข้อเสียคือบอสในช่วงกลางถึงท้ายมักจะต้องสู้กันหลายเฟส ขนาดบางตัวที่บทอาจจะไม่เด่นมากนักก็ยังต้องสู้ถึง 2-3 เฟส เรียกได้ว่ามีสู้กันเหนื่อยและเบื่อกันไปข้าง ตรงส่วนนี้มองว่าบางคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายเอาได้กับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อเกินความจำเป็น

ตัวเกมภาคนี้ค่อนข้างยาวกำลังดี ใช้เวลาประมาณ 20 กว่าชั่วโมงในการจบเนื้อเรื่องหลัก แต่หากต้องการเก็บแพลตินัมโทรฟี่จะใช้เวลาเกิน 30 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เกมมีการพยายามโน้มน้าวทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ผู้เล่นหมั่นทำเควสต์เพื่อเก็บเลเวลและวัตถุดิบมาอัปสกิลและอัปเกรดแกดเจ็ต เพราะช่วงกลางถึงท้ายเกม เราจะต้องสู้บอสกันนานมาก บางตัวสู้หลายเฟส ขณะที่บางช่วงก็ได้สู้หลายตัวติดต่อกันแบบมาราธอน ดังนั้นการมีสกิลและอุปกรณ์ทุ่นแรงหลายอย่างจะช่วยให้สู้กับพวกมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ภาคนี้มีการแปลซับไตเติลและเมนูทุกอย่างเป็นภาษาไทยด้วย ทว่าการปรับภาษาไทยในเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องเปลี่ยนภาษาของเครื่อง PS5 ให้เป็นไทยเสียก่อน ส่วนคุณภาพงานแปลอยู่ในเกณฑ์ที่ได้อรรถรสดี แต่จะมีปัญหาเล็กน้อยตรงเรื่องการขึ้นซับไตเติลบางช่วงที่ดีเลย์ ไม่สัมพันธ์กับปากตัวละครอยู่บ้าง รวมถึงตัวอักษรพิมพ์ตกในหลายจุด

สรุป

Marvel’s Spider-Man 2 ให้ความรู้สึกชัดเจนว่าเป็นเกมที่ผ่านการขัดเกลาจากภาคแรกให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น เพิ่มลูกเล่นที่เคยทำไม่ได้ในภาคแรกให้มาทำได้ในภาคนี้หลายอย่าง ทั้งในด้านการเดินทางและระบบต่อสู้ แต่ด้วยความที่โครงสร้างของเกมเพลย์ยังยึดโยงจากภาคแรกเป็นหลัก เราจึงไม่ค่อยเห็นอะไรที่เป็นนวัตกรรมหรือจุดประกายอะไรใหม่ ๆ มากนัก สิ่งดีงามที่สุดของภาคนี้คือเนื้อเรื่องที่ชักนำผู้เล่นให้ได้ลุ้นกันตลอดว่าจะได้เจออะไรต่อไป ใครมี PS5 อยู่แล้วควรหามาเล่น ยิ่งใครที่มี PS5 และเป็นแฟนสไปดี้ด้วย เกมนี้เราแนะนำว่า Must Buy ครับ

8.5 คะแนน


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้