รีวิว NieR Replicant ver.1.22474487139… จุดเริ่มต้นของซีรีส์เกมสุดปวดตับ

ในที่สุดก็ออกมาให้เล่นกันแล้วกับ NieR Replicant ver.1.22474487139… ที่เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดจากตัวเกมปี 2010 จาก Spin-off ของเกม Drakengard จนเกิดซีรีส์สุดปวดตับชิ้นใหม่กับ NieR ที่ทำให้ใครก็ตามที่เผลอหลงเข้ามาต้องเจ็บปวดไปตามๆ กัน

แต่ถึงอย่างนั้นในความเจ็บปวดนี้ก็มีความงดงามกับเนื้อเรื่องของเกมที่ทำให้คนที่เล่นถึงจุดๆ หนึ่ง กลายเป็นแฟนซีรีส์นี้กันอย่างเหนี่ยวแน่น ซึ่งตัวเกมเวอร์ชั่นอัพเกรดนี้ก็เป็นสิ่งที่เหล่าแฟนซีรีส์ไม่ควรพลาดเป็นอย่างมาก


Gameplay อัพเกรดใหม่ไฉไลกว่าเดิม

สิ่งที่พัฒนาเป็นอย่างมากจากตัวเกมเก่าเวอร์ชั่นปี 2010 นั่นก็คือเรื่องของระบบ Combat ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มีทั้งความเร็วในระหว่างการเล่นทำให้การต่อสู้สนุกและมีความต่อเนื่อง แม้จะไม่ใช่ PlatinumGames ที่เข้ามาพัฒนาอย่างภาค Automata แต่ทีมงาน Toylogic เอง ก็สามารถตอบโจทย์ระบบการต่อสู้มาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เกมเพลย์ระบบ Combat ทำออกมาได้ลื่นไหลและภาพที่พัฒนามาสวยขึ้น

การต่อสู้จะมีอยู่สองส่วนหลักๆ ได้แก่อาวุธระยะประชิดซึ่งจะมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ดาบมือเดียว, ดาบสองมือ และหอก (ช่วงต้นเกมจะใช้ได้แค่ดาบมือเดียวเท่านั้น) โดยในแต่ละอาวุธจะมีการโจมตีเบาและหนัก และยังสามารถกดค้างเพื่อเปลี่ยนท่าโจมตีได้ ซึ่งการต่อคอมโบก็ทำได้ลื่นไหลเป็นอย่างมาก

อาวุธประชิดสามารถ Counter ศัตรูได้ด้วยการบล็อคให้ตรงจังหวะ

ในอีกระบบการต่อสู้คือการใช้เวทมนตร์ ซึ่งมีให้เลือกอยู่ 8 ชนิด แม้จะมีตัวเลือกให้ใช้เยอะตามแต่สถานการณ์ แต่ก็มีปัญหาอยู่บ้างเพราะว่าเราเลือกติดตั้งได้แค่สองปุ่ม (ติดตั้งได้มากสูงสุดที่ 4 แต่จะไปทับปุ่มหลบและป้องกัน) และตัวเกมไม่มีปุ่มลัดในการเปลี่ยนเวทมนตร์อย่างรวดเร็วเหมือนกับการเปลี่ยนอาวุธ ทำให้ตอนสู้ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมานั่งเปลี่ยนชนิดเวทมนตร์สักเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความลื่นไหลของฉากนั้นเสียไปพอสมควร

เวทมนตร์ที่แม้จะมีเยอะ แต่หลักๆ จะใช้อยู่แค่ 3-4 ชนิดเท่านั้น

อีกจุดที่หากใครเคยเล่นภาค Automata มาก่อน กับการสลับฉากมุมกล้องกลายเป็น Side-scrolling หรือ Bird Eye View ก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน เป็นอีกลูกเล่นที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศในเกมไม่ให้น่าเบื่อได้ดี เพียงแต่ความหลากหลายอาจจะไม่มากเหมือนภาค Automata ที่มีการเปลี่ยนมาขับหุ่นด้วย

การปรับเปลี่ยนมุมกล้องตามฉากที่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของซีรีส์ NieR

แม้ส่วน Combat จะพัฒนามาได้ดีกว่าตัวเวอร์ชั่นปี 2010 แต่ในเรื่องของระบบเลเวลและการพัฒนาตัวละครไม่ได้ดีมากเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งตัวเกมจะมีระบบ “Word” โดยเราสามารถเอาคำที่เราค้นพบมาใส่ในอาวุธหรือเวทมนตร์เพื่อพัฒนาความสามารถของมันได้ ตรงจุดนี้ถือว่ายังด้อยกว่าในภาค Automata ที่ลูกเล่นในการใส่ Chip ให้ตัวละครค่อนข้างเยอะกว่า

การอัพเกรดอาวุธ ที่ค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรมากนัก

นอกเหนือจากระบบ Combat แล้ว ตัวเกมยังมีลูกเล่นอื่นๆ อย่างการปลูกผัก การตกปลา และอื่น ที่แม้จะไม่ใช่คอร์เกมเพลย์หลัก แต่ก็ทำออกมาสำหรับฆ่าเวลาได้พอประมาณ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ส่วนที่ผู้เล่นจะโฟกัสกันสักเท่าไหร่


เนื้อเรื่องที่คงความเป็นซีรีส์ NieR

สิ่งที่ทำให้คนมาติดซีรีส์ NieR มากที่สุดก็คงไม่พ้นเนื้อเรื่องของตัวเกมที่มีความเป็นเอกลักษณ์แห่งความปวดตับ หากใครที่เล่น Automata มาก่อนก็น่าจะทราบกันเป็นอย่างดี ซึ่งลูกเล่นในการเล่าเรื่องของทั้งสองภาคจะมีลักษณะคล้ายกันเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นใน Automata หลังจากที่เราจบการเล่น 2B เราจะได้ย้อนกลับมาเล่น 9S ที่แม้เนื้อเรื่องจะเหมือนกัน แต่จะมีแง่มุมบางอย่างที่เราจะได้รับรู้เพิ่มเติมจากมุมมองของอีกตัวละครที่จะเสริมเนื้อเรื่องให้น่าติดตามมากขึ้น

จากเมืองโตเกียวปี 2053 ที่ล่มสลาย สู่ 1,412 ปีให้หลัง จนกลายเป็นเหตุการณ์ใน Replicant

ในภาค Replicant จุดพีคในการเล่าเรื่องของตัวเกมคือ การเล่นรอบสอง ที่แม้เราจะได้เล่นตัวละครเดิม แต่ตัวเกมจะแปลบทสนทนาของ Shade ซึ่งเป็นศัตรูหลักภายในเกม ทำให้ Cutscene เดิมๆ กลับมีบริบทที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และทำให้ตัวเกมไม่น่าเบื่อแม้จะเป็นฉากเดิมที่เราเคยเล่นมาแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็ยังมีการเพิ่มฉากใหม่ๆ เข้ามาด้วยที่จะช่วยเสริมอารมณ์ของฉากนั้นๆ ทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้มากยิ่งขึ้น

ฉากเนื้อเรื่องหลักที่จะมีให้เห็นมากขึ้นในการเล่นรอบที่สอง

แต่ถึงอย่างนั้นใน Replicant เวอร์ชั่นอัพเกรดนี้ยังมีจุดอ่อนก็คือ “เนื้อเรื่องช่วงต้นเกมที่ค่อนข้างน่าเบื่อ” ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับภาค Automata ทำให้หลายคนอาจจะเลิกเล่นไปเสียก่อน และพลาดความพีคของเนื้อเรื่องที่จะอยู่ในช่วงการเล่นช่วงท้ายของตัวเกม (หลังจากจบรอบแรก) โดยในภาค Replicant นี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ที่ต้องใช้เวลาบิ้วเนื้อเรื่องสักพัก ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของผู้เล่นเลยก็ว่าได้ว่าจะอยู่กับเกมนี้จนถึงที่สุดรึเปล่า

เนื้อเรื่องช่วงต้นเกมที่ค่อนข้างธรรมดาเพราะเราเป็นคนรับงานทั่วไปในเมือง ทำให้ไม่ค่อยหวือหวามากนัก

นอกจากนี้ตัวเกมในเวอร์ชั่นอัพเกรดยังมีการเพิ่มเนื้อเรื่องส่วนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเสริมกับเนื้อเรื่องหลักได้เป็นอย่างดีโดยไม่รู้สึกฝืนหรือติดขัดแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเควสต์ใหม่ที่ชื่อว่า Mermaid เป็นหนึ่งในเควสต์ที่ทำเอาผู้เขียนถึงกับเสียน้ำตาเลยทีเดียว ตรงจุดนี้หากใครที่เป็นแฟนซีรีส์นี้ชื่นชอบในผลงานของ Yoko Taro ไม่ผิดหวังแน่นอน


เพลงประกอบที่ยังตรึงใจ

รองจากเนื้อเรื่อง สิ่งที่คนเล่นซีรีส์ NieR ต้องชอบกันแทบทุกคน นั่นก็คือดนตรีประกอบภายในเกม ที่มีการสร้างภาษาคำใหม่มาโดยเฉพาะ แม้จะเป็นคำที่ดูไม่มีความหมาย แต่ก็สื่ออารมณ์ของเหตุการณ์ในฉากนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยในภาค Replicant เวอร์ชั่นอัพเกรด ก็มีการเรียบเรียงเพลงใหม่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย แถมในเนื้อเรื่องพิเศษอย่าง Mermaid ก็มีเพลงแต่งใหม่เข้ามาด้วยเช่นกัน (ดีมากๆ)

เพลงประกอบที่มีการเรียบเรียงใหม่จากเวอร์ชั่นปี 2010

นอกจากนี้หากเราเล่นจบรอบแรกแล้ว ตัวเกมยังเปิดโอกาสให้เราเปลี่ยนเป็นเพลงจากภาค Automata ได้เช่นกัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนไม่ค่อยแนะนำให้เปลี่ยนเท่าไหร่นัก เพราะจะทำให้เสียอรรถรสในการเล่นพอสมควร (เพราะการเล่นในรอบสองจะยังมีเนื้อหาใหม่ๆ ที่เราไม่เห็นในรอบแรกอยู่) หากใครที่คิดอยากเปิดเพลงภาค Automata แนะนำว่าควรเล่นจบครบทุกแบบก่อน ถ้าไม่อยากเสียอรรถรสในเกมหลักที่ควรจะเป็นไป

บรรยากาศภายในเกมผสมผสานกับเพลงที่ติดหู

ไม่เคยเล่นเกมอื่นๆ ในซีรีส์นี้เลยจะเข้าใจเนื้อเรื่องหรือไม่?

ตัวเกมทั้งสองภาคถูกออกแบบให้สามารถเข้ามาเล่นได้ทันทีโดยไม่ต้องเล่นภาคใดภาคหนึ่งมาก่อน ซึ่งตามหลักแล้วภาค Replicant ก็เป็นเนื้อหาก่อนช่วง Automata อยู่ดีทำให้ไม่มีปัญหาในส่วนนี้มากนัก เพียงแต่ใครที่อยากทราบความเป็นมาของต้นกำเนิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในภาค Replicant ก็ต้องไปดูฉากจบ E ของเกม Drakengard ที่เป็นฉากจบแยกและทำให้เกิดเนื้อเรื่องของซีรีส์ NieR นี่เอง แต่สุดท้ายเนื้อหาหลักๆ เราสามารถทราบได้จากตัวเกมโดยไม่ต้องเล่นภาคอื่นๆ มาก่อนอยู่ดี

แม้จะไม่เคยเล่นซีรีส์ NieR เลย ก็สามารถกระโดดเข้ามาเล่นได้ทันที

แม้โดยรวมมันจะเป็นเกมที่คนรักซีรีส์ NieR ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะใครที่เคยเล่นแต่ภาค Automata และอยากรับรู้เรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้านั้น แต่สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ เลยก็คือ ความที่เกมเป็นตัวอัพเกรดจากเกมเก่า ทำให้ Gameplay บางอย่างรู้สึกหลงยุคและอาจจะทำให้ผู้เล่นที่เน้นจุดนี้ผิดหวังอยู่บ้าง (แต่ก็ดีกว่าเวอร์ชั่นปี 2010 อยู่มาก) ถึงอย่างนั้นในแง่ของการเล่าเนื้อเรื่องกับความตราตรึงใจหลังจากเล่นจบ ตัวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139… ก็ทำออกมาได้สมความคาดหมายจริงๆ งานนี้แฟนพันธ์แท้อย่าลืมเล่นจะลบเซฟกันละ

สรุปคะแนน NieR Replicant ver.1.22474487139…
8/10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้