แพลตฟอร์ม: PC
ผู้พัฒนา: Relic Entertainment
ผู้จัดจำหน่าย: SEGA จัดจำหน่ายในไทย: New Era Entertainment
เรต: M 17 ปีขึ้นไป
ประเภทของเกม: Real-Time Strategy (RTS)
Warhammer 40,000: Dawn of War III
"Inquisitor แม่งต้องไม่ค่อยปลื้มแน่ๆ"
อาจจะช้าไปหน่อย... ไม่หน่อยล่ะ ช้าไปเยอะเลย ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ตอนนี้ด้วย แต่ก็อยากให้เข้าใจกันสักหน่อยครับ เพราะเกมวางแผนนั้นเป็นแนวที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ฉากหนึ่งๆ อาจกินเวลา 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งคงเพราะการเล่นที่ต้องใช้เวลานานเบอร์นั้นแหละ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกม RTS แทบไม่ค่อยจะมีที่ยืนในตลาดเกมแล้วเวลานี้ คงเหลือก็เพียงเหล่า IP ใหญ่ๆ ที่สร้างชื่อเสียงไว้ในยุครุ่งเรืองเท่านั้นที่ยังพอเข็นภาคต่อออกมาได้อย่าง Starcraft หรือตระกูล Total War (อันนี้นับอยู่) และแน่นอนว่า Dawn of War ก็เป็นอีกหนึ่งเกมวางแผนที่แฟนๆ รอคอยภาคต่ออยู่ แม้ผลลัพท์จะออกมาน่าผิดหวังเล็กๆ แต่ก็ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้วงการ RTS ที่แล้งนํ้ามานานได้อย่างดีทีเดียว
ทั้งนี้เราจะมาพูดถึงภาคเก่าๆ กันแค่พอสังเขปแล้วกัน Dawn of War คือซีรีส์เกมวางแผนการรบแบบ RTS ที่นำเอาธีมของ Warhammer 40K อันเป็นเกมกระดาน Table Top ชื่อดังมาใช้ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ Warhammer 40K นี่แหละครับที่เป็นต้นแบบของ Starcraft ตัวเกมพัฒนาโดย Relic Entertainment ทีมทำเกม RTS แถวหน้าของวงการ และจัดจำหน่ายโดย THQ ที่ตอนนั้นกำลังคึกคักปั๊มเกมฟอร์มยักษ์รัวๆ Warhammer 40,000: Dawn of War ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้เล่น ด้วยจุดขายที่เน้นความดุเดือดของสงคราม ไม่ว่าจะในแง่เกมเพลย์ที่ลดความซับซ้อนของการเก็บทรัพยากรลง แต่ต้องใส่ใจในการสงครามมากขึ้น หรือความโดดเด่นของงานดีไซน์คละฝ่ายซึ่งจับใจหลายๆ คน รวมถึงงานภาพที่ดูดีมากในสมัยนั้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความรุนแรงแบบไม่มีกั๊กจากการสังหารโหดกันของยูนิตแต่ละฝั่ง พร้อมอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวน่าประทับใจชนิดจัดเป็นประกฎการณ์ได้อย่างไม่เคอะเขิน จากนั้น 5 ปีถัดมา Warhammer 40,000: Dawn of War II ก็ถูกปล่อยตลาดโดยคราวนี้ความเปลี่ยนแปลงคือเป็นเกมที่เน้นแทคติคมากขึ้น ลดจำนวนยูนิตให้น้อยลง เพิ่มความเป็น RPG เข้าไปนิดๆ เห็นได้ชัดเจนว่ารับอิทธิพลมาจาก Company of Heroes ค่อนข้างมากครับ แต่สิ่งที่คงเดิมคือภาพของสงครามที่แม้จะสเกลเล็กลงแต่ก็ยังดุเดือดเช่นที่เป็นมา ถึงอย่างนั้นก็เริ่มมีแฟนบางคนที่ไม่พอใจในแนวทางของภาค 2 เรื่องสเกลของเกมเล็กลงและดูเหมือนกับ Company of Heroes เกินไปจนขาดอัตลักษณ์ที่น่าจดจำ
หลังจากนั้นข่าวคราวภาค 3 ก็เงียบหายไปอีกประมาณ 7 ปีกระทั่งปีที่แล้วซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการและวางขายไปแล้วเรียบร้อยเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง (หมายความว่าผมช้าไปเดือนกว่าๆ อะเฮื่อ!) แน่นอนว่าทางทีมพัฒนามีเหตุผล 108 อย่างสำหรับการเว้นช่วงอันยาวนาน ซึ่งเกมเมอร์เราๆ เองก็พอเข้าใจได้ครับ เช่นการล้มละลายของ THQ เป็นต้น แม้กระนั้นการปล่อยให้เวลาเดินไปก็มีราคาของมันครับ เพราะจากวันนั้นถึงวันนี้ โลกได้เปลี่ยนไปมาก และความนิยมในเกม RTS ก็หดเหลือเพียงผู้เล่นเฉพาะกลุ่มเท่านั้นครับ นอกจากนี้คุณภาพของเกมที่อยู่ในระดับดี ก็ยังไม่ดีพอจะฟื้นคืนความคึกคักของเกมแนวๆ นี้ขึ้นมาได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาคนี้ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควรแม้ชื่อชั้นของเกมจะมีบุญเก่าสะสมอยู่มากโขก็ตาม
เนื้อเรื่องของ Dawn of War III จะโฟกัสและสลับให้เราเล่นกัน 3 ฝ่ายคือ Space Marine, Ork และ Eldar เกี่ยวกับการตามล่า Spear of Khaine ของฝ่ายหลัง ที่นำมาสู่การขมวดปมฟัดกันอิรุงตุงนัง 3 ฝ่ายในตอนท้ายครับ โดยช่วงฉากแรกๆ ผู้เล่นอาจจะรู้สึกเบื่อๆ ขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจากการเดินเรื่องที่ยืดยาด เพราะความพยายามจะแนะนำการเล่นรวมถึงโชว์ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของแต่ละฝ่าย ทว่าช่วงกลางเกมขึ้นไปเมื่อ 3 ฝ่ายเริ่มจะเบนเข็มมาซัดกันเนื่องจากมีเป้าหมายอยู่ทีเดียวกันนั่นแหละครับ ตัวเกมก็จะเข้มขึ้นเป็นลำดับ แล้วจากนั้นคุณก็จะเริ่มติดหนึบไปกับมัน แม้ว่าด่านหนึ่งอาจต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงหลายชั่วโมงก็ตาม
ในส่วนของเนื้อเรื่องผมค่อนข้างชอบกว่าทั้ง 2 ภาคก่อนหน้า คือได้เห็นมุมมองและความคิดของทั้ง 3 ฝ่าย ไม่ใช่แค่เพียงหน่วย Blood Raven (Space Marine) ฝ่ายเดียว เราจะได้เห็นถึงความขัดแย้งภายในของแต่ละฝ่าย ซึ่งก็จะมีการเมือง ขัดแข้งขัดขากันเอง ไม่ได้เป็นปึกแผ่นกันนัก เพิ่มมิติให้เนื้อเรื่องได้ดีทีเดียวครับ ส่วนการเล่าเรื่องแอบคิดว่าอยากให้เป็น CG เนียนๆ แบบ Starcraft แต่ก็เข้าใจว่าอาจงบบานเกินไป ดังนั้นเกมจึงใช้ภาพแนวๆ กึ่งกราฟิกโนเวล กึ่งอนิเมชั่นแทน คือมีการขยับแต่ไม่ได้มากมายอะไร มันก็ดูดีอยู่ครับ เพราะภาพอาร์ทเวิร์คเดิมก็ดูสวยงาม เพียงแต่ก็นั่นแหละ รู้สึกเหมือนขาดพลังขับเคลื่อนบางอย่างไปมากอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดีปัญหาหนักๆ ของภาคนี้กลับเป็นเกมเพลย์แทน เพราะความที่เกมพยายามจะหาจุดลงตัวระหว่างภาคแรกกับภาค 2 ทำให้มันกลายเป็นครึ่งๆ กลางๆ ไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ ถึงจะไม่เป็นปัญหานักแต่รู้สึก 2 ภาคก่อนหน้าที่เกมเพลย์เน้นทางใดทางหนึ่งไปเลยดูจะลงตัวกว่าครับ กระนั้นสิ่งที่ผมผิดหวังที่สุดจริงๆ นั่นก็คือแอนิเมชั่นและแอคชั่นของยูนิตในเกม การได้ดูทหาร 2 ฟากสัประยุทธกันในระยะประชิดด้วยท่วงท่าเฉพาะตัวคือความดีงามที่สุดอย่างหนึ่งของเกม แต่ภาคนี้กลับตัดมันทิ้งไปเลยแบบงงๆ อีกทั้งกล้องยังซูมลงไปในระดับพื้นแถมปรับมุมมองให้เคลื่อนที่ในแนวราบไม่ได้อีกต่างหาก อันนี้ผมหัวร้อนจริงจังมาก ฮือ~
แต่ที่น่าโมโหสุดๆ จริงๆ คือบั๊กของเกมที่ผมเจอค่อนข้างบ่อยหลังเล่นจบฉากครับ แบบว่าพอเล่นเนื้อเรื่องจบฉาก มันก็จะมีสรุปภารกิจและเนื้อเรื่องถัดจากนั้นอีกนิดหน่อยก่อนไปเริ่มฉากใหม่ ซึ่งปัญหาก็คือหน้าจอของเกมชอบดับหลังจบฉากนั่นเองครับ ทำให้เราไม่อาจเห็นสรุปภารกิจและเนื้อเรื่องหลังจากนั้น แม้จะแก้ได้ด้วยการปิดโปรแกรมเกมและเข้าใหม่ แต่สิ่งที่เราทำได้คือต้องเล่นฉากถัดมาเท่านั้น ไม่สามารถกลับไปดูเนื้อเรื่องช่วงหลังจบฉากที่แล้วได้อีก น่าเสียดายและน่าหงุดหงิดมากๆ พอคิดว่าไอ้การตรากตรำเล่นฉากนั้นมาเป็นชั่วโมงแต่ไม่สามารถดูบทสรุปได้นี่ก็น่าโมโหจริงๆ ครับ หวังว่าจะมีแพตช์ออกมาแก้ไขกันต่อไปนะ ไม่สิ.. ควรแก้ไขจริงๆ จังๆ เลยมากกว่า ได้โปรด
ระหว่างเล่น Dawn of War III ผมมีความรู้สึกเหมือนกินเบอร์เกอร์ที่ใส่เครื่องมาไม่ครบ แถมซอสก็มีรสจางๆ แม้วัตถุดิบจะพรีเมี่ยมแต่ก็ยังฟินไม่สุดน่ะครับ คือผมเองก็เป็นแฟนซีรีส์นี้มาแต่เริ่ม มันทำให้ผมเริ่มเข้ามาหลงไหลและศึกษาจักรวาล Warhammer 40K มากขึ้นจากที่ไม่เคยสนใจอะไรเลย คือเอาเข้าจริงตัวเกมยังพยายามธำรงค์ไว้ซึ่งความเป็น Dawn of War อย่างแทบจะครบถ้วน บางส่วนก็มีการพัฒนาเสียด้วยซํ้า เพียงแต่ไอ้ส่วนที่ถูกตัดทอนออกไปไม่ว่าจะแอนิเมชั่นเท่ๆ หรือฝักฝ่ายที่เล่นได้เพียง 3 รวมถึงบั๊กชวนหงุดหงิดก็ฉุดให้เกมนี้ไม่เปรี้ยงปร้างอย่าง 2 ภาคแรก กระนั้นด้วยสภาวะที่ไม่มีเกมวางแผนฟอร์มใหญ่ๆ ถูกปล่อยออกมามากมายนัก การหยิบเกมนี้ขึ้นมาเล่นก็น่าจะทำให้แฟนๆ เกม RTS รู้สึกชื้นใจขึ้นไม่มากก็น้อยว่าในโลกนี้ยังคงมีผู้ผลิตบางเจ้าป้อนเกมในแบบที่พวกเขาต้องการออกมาให้อยู่ครับ ถึงจะนานๆ มาทีก็เถอะ
สุดท้ายต้องขอขอบคุณทาง New Era Entertainment สำหรับแผ่นเกมในการรีวิวครับ อย่าลืมครับ หากต้องการ Warhammer 40,000: Dawn of War III แบบกล่องไทย ก็ขอให้นึกถึง New Era และสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าเกมชั้นนำกันได้เลย!