แพลตฟอร์ม: PS3, PS4
ผู้พัฒนา: Atlus
ผู้จัดจำหน่าย: Atlus USA
เรต: M 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 60-80 ชั่วโมง
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเก็บทุกรายละเอียด: 100 ชั่วโมงขึ้นไป
Persona 5
"Become wings of freedom and break the chains of captivity"
ปีนี้ผ่านมาเพียง 4 เดือน แต่ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจดจำของเหล่าเกมเมอร์กันแล้วนะครับ เพราะหลายๆ ค่ายดันมีกำหนดปล่อยเกมระดับ "ไพ่ตาย" กันในช่วงนี้ทั้งสิ้น เรียกว่าหาเงินมาเปย์หรือเคลียร์บัตรเพื่อรูดซื้อเกมกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเกมที่ผมสนใจมากที่สุดก็คือการกลับมาของซีรีส์เกม JRPG ที่หายหน้าหายตาไปนานอย่าง Persona นั่นเองครับ โดยภาคล่าสุดนี้ก็เป็นภาคหลักภาคที่ 5 กันแล้ว ตามชื่อภาค Persona 5 เลยครับ (ไม่นับภาคยิบย่อยทั้งหลาย) ซึ่งต้องบอกว่าการที่เกมมาปล่อยในช่วงเวลานี้ ก็จัดว่าประจวบเหมาะมากทีเดียว เพราะมันคือช่วงเวลาที่ค่อนข้างแห้งแล้งมากๆ สำหรับวงการเกม RPG เมื่อ FFXV ยังดีไม่พอ และ Mass Effect: Andromeda ก็ดันมาตกยานตายในกาแลคซี่อันไกลโพ้นอย่างไม่น่าให้อภัย หากไม่นับ RPG นอกกระแสเกมเล็กๆ ที่คุณภาพคับแก้วแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจแล้ว Persona 5 ก็เปรียบประดุจนํ้าอำมฤต ที่หยดลงมาบนผืนดินแห้งผาก และทำให้ทั้งวงการรู้ว่าเกม JRPG แบบ Turn-Based ยังคงเปล่งประกายได้แม้ในวันที่ Open World คือฟอร์แมตแห่งกระแสหลักก็ตาม และเราสามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า Persona 5 คือเกมที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ทีจ่ายหรือรูดไปอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากจะให้ไฉไลก็รบกวนเลื่อนอ่านต่อไปเพื่อเป็นกำลังใจผู้เขียนกันหน่อยนะครับ แฮ่!
อธิบายลักษณะเกมของ Persona สำหรับผู้ไม่รู้จักกันพอสังเขป สำหรับซีรีส์ Persona จะเป็นเกมที่ผสมผสานการใช้เรื่องราวชีวิตในรั้วโรงเรียนของกลุ่มตัวเอกวัยมัธยมปลายเข้ากับความเป็นแฟนตาซีไว้ได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ในทุกๆ ภาคก็จะมีธีมที่แตกต่างกันออกไป ทว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือพวกตัวเอกจะต่อสู้กับเหล่าปีศาจโดยการเรียก "เพอร์โซน่า" ซึ่งหากนึกไม่ออกก็คล้ายๆ กับแสตนด์ใน JoJo หรือโอเวอร์โซลใน Shamanking นั่นเองครับ ความเจ๋งก็คือแต่ละภาคยังมีวิธีเรียกเพอร์โซน่าที่ไม่เหมือนกันเช่นทำลายไพ่ในภาค 4 หรือยิงกบาลตัวเองในภาค 3 เป็นต้นครับ ขณะที่รูปแบบการเล่นก็จะเป็นแบบ Turn-Based RPG ใส่คอมมานด์ในการโจมตีหรือใช้ไอเทม เป็นรูปแบบดั้งเดิมของเกมแนวนี้ที่ในปัจจุบันหาได้น้อยลงทุกทีๆ
กับ Persona 5 ที่จัดเป็นภาคหลักล่าสุดของซีรีส์นั้นทิ้งห่างกับภาค 4 ซึ่งลงให้กับเครื่อง PS2 ถึง 9 ปี (ภาค 4 ออกปี 2008) เรียกว่าข้าม Gen จาก PS2 มา PS4 กันเลยทีเดียว (แต่เกมก็มีลงให้ PS3 นะ) อันเนื่องมาจากปัญหาด้านการเงินของทาง Atlas ที่บริษัทแม่ถังแตกจนล้มละลาย โชคยังดีที่ทาง SEGA เข้ามาอุ้มไว้ได้ทันและสามารถเข็น Persona 5 ออกมาได้สำเร็จ งานนี้คงต้องก้มลงกราบ SEGA งามๆ แบบถูกหลักเบญจางคประดิษฐ์สักหนึ่งที
เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจาก Persona 4 พาเราไปพบเจอสังคมในแถบชนบทพร้อมความเฮฮาลูกทุ่งวาไรตี้ระดับ 80 ตีนถีบแล้ว ใน Persona 5 เราจะได้กลับมาโตเกียวอีกครั้งซึ่งคราวนี้โตเกียวในเกมจะมีความกว้างและหลากหลายสถานที่ให้ไปกว่าที่เคย ย่านใหญ่ๆ อย่างชิบูยะ, ชินจูกุ หรือแม้แต่อากิฮาบาระ ล้วนถูกจำลองลงมาในเกมอย่างพร้อมเพรียง แม้จะไม่ได้มีสเกลขนาด 1:1 แต่ก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายและสีสันให้กับเกมได้เยอะ หากใครที่เคยไปญี่ปุ่นมาก็น่าจะคุ้นๆ กับบางสถานที่ได้ไม่ยากเลยครับ
เช่นเคยกับเกม Persona หลายๆ ภาค เนื้อเรื่องจะเริ่มจากพระเอกในวัยมัธยมปลายมีเหตุให้ต้องย้ายโรงเรียนมาเพื่อเจอกับสภาพแวดล้อมและเพื่อนใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ พร้อมๆ กับที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องลึกลับในโลกแฟนตาซีคู่ขนานที่ซึ่งพวกเขาจะนำเอาพลังของเพอร์โซน่ามาใช้ต่อสู้ครับ โดยธีมภาคนี้พวกตัวเอกของเราจะเป็นจอมโจรมายาปล้นหัวใจในชื่อแก๊งค์ "The Phantom Theive" พร้อมคำโปรยประจำภาคคือ Take Your Heart ดังนั้นแก่นของ Persona 5 จึงเกี่ยวกับการที่พวกพระเอกพยายามจะจัดการกับเรื่องเลวร้ายต่างๆ นานาด้วยการบุกเข้าไปในวังแห่งจิตใจหรือที่เรียกกันว่า Palace ของผู้ที่เป็นต้นเหตุเรื่องราวนั้นๆ เพื่อขโมยเอา "สมบัติ" ซึ่งถูกเปรียบเปรยเป็นต้นขั้วแห่งความบิดเบี้ยวที่กระตุ้นให้คนๆ หนึ่งทำเรื่องไม่เหมาะควรลงไป และเมื่อสมบัติถูกขโมยบุคคลข้างต้นก็จะเปลี่ยนคาแรคเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือ พร้อมสารภาพความผิดทั้งหมดที่ตนกระทำลงไป
และด้วยว่า Persona 5 นั้นเป็นเกมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเนื้อเรื่องอย่างแท้จริง ดังนั้นตัวเกมจะมีเส้นเรื่องหลักที่ดำเนินควบคู่ไปกับเส้นเรื่องรองมากมายก่ายกองตั้งแต่แรก และมันจะค่อยๆ เผยความเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนไปขมวดปมความพีคเอาช่วงหลังของเกม ซึ่งนี่คือความเจ๋งที่สุดอย่างหนึ่งของเกมครับ เพราะจากจุดเริ่มต้น คุณจะเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำมันชักจะใหญ่และบานปลายขึ้นเรื่อยๆ ก่อเกิดเป็นความลังเลถึงสิ่งที่ลงแรงทำไปอย่างเชื่อมัน ตรงนี้แหละผมคิดว่า "เออ พวกนี้มันก็เด็กอายุ 16-18 ปีนะ" คือเป็นวัยที่มีพลังจะเปลี่ยนโลกแต่ก็ยังเดียงสา เปราะบาง พร้อมจะเป๋อยู่ตลอดเวลาหากสิ่งที่เคยยึดเหนี่ยวเริ่มผุพังและสั่นคลอน นอกจากนี้ในแง่เนื้อเรื่องแม้ภาระที่พวกตัวเอกแบกรับอาจจะไม่หนักเท่ากับภาค 3 แต่ความดำมืดที่ต้องเผชิญนี่ต้องยกให้เลยครับ โดยเฉพาะประเด็นหมิ่นเหม่ศีลธรรมทั้งหลายที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างไม่มีตะขิดตะขวงโดยใช้สไตล์การเล่าเรื่องแบบ Persona ที่แค่ผิวเผินเราอาจจะสนุกสนานไปกับมัน แต่หากลองคิดและตีความดีๆ มันก็มีประเด็นวิพากย์สังคมที่หนักเอาเรื่องครับ ยิ่งฉากจบแบบ Bad End นี่คือ Bad แบบตามตัวอักษรเลยครับ เอาว่าน่าจะติดอันดับเกมสายสว่างที่มีฉากจบ Bad End ที่มืดมนที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว แบบว่าชะตากรรมเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนไม่นึกว่าทางผู้พัฒนาจะกล้าๆ หยิบขึ้นมามอบให้กับตัวละครของเกมสว่างสายแมสจริงๆ แต่ผมชอบนะ ตรงนี้ก็ให้คะแนนความกล้าในการแหวกขนบของการนำเสนอครับ
ในด้านของเกมเพลย์เกินครึ่งก็เป็นระบบเฉพาะตัวของซีรีส์ที่หยิบยกมาจากภาคก่อนๆ กล่าวคือคุณจะดำเนินเรื่องไปตามวันเวลาในแต่ละเดือน อีเวนท์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนก็จะต่างกันไปตามลำดับเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างนั้นในแต่ละวัน คุณก็ต้องแบ่งเวลาชีวิตให้ดีครับ เช่นไปเรียน, ทำงานพิเศษ, พูดคุยกับคนอื่นเพิ่มค่าสนิทสนมเพื่อปลดล็อคสกิลต่างๆ, ตกปลา, สร้างอุปกรณ์พิเศษ และแน่นอนว่าลงดันเจี้ยน โดยบางกิจกรรมหากเลือกทำเวลาก็จะข้ามไปเลย ไม่สามารถทำกิจกรรมอื่นได้อีก อันนี้ทำให้คุณต้องเลือกบริหารเวลาและชั่งนํ้าหนักให้ดีครับ ก็เป็นอีกรสชาติของเกม RPG ที่เต็มไปด้วยกฏเกณฑ์มากมาย แบบว่าช่วงหลังๆ ผมค่อนข้างเบื่อ Open World ที่ให้อิสระมากเกินไปจนบางครั้งมันทำให้เนื้อเรื่องหลักปะติดปะต่อยาก ความตื่นเต้นก็เจือจางลง เพราะเอาเวลาไปลุยเควสต์รองเสียหมด พอมาเล่นเกมนี้ที่มีอิสระระดับหนึ่ง แต่ก็ถูกบีบด้วยเงื่อนไขจากกฎและเนื้อเรื่องก็ทำให้รู้สึกติดหนึบไปกับมันได้ไม่ยากครับ โดยในทุกขณะที่คุณเล่นๆ มันไป ตัวเกมจะปลดล็อคสิ่งใหม่ๆ ให้เรื่อยๆ พร้อมๆ กับที่ขยายสเกลอย่างแช่มช้าทว่าแน่นอน มีจังหวะจะโคนที่ตีควบคู่ไปกับการคลายปมเนื้อเรื่องเป็นอย่างดี คนเล่นก็จะได้ซึมซับทุกอนูของเกมพลางอิ่มเอมไปกับมัน... วงการเกม RPG โลกเราขาดเกมที่ให้อารมณ์แบบนี้มานานจริงๆ
อีกหนึ่งระบบหลักคือการลุยดันเจี้ยนที่ก็นำเค้าโครงจากภาคเดิมๆ กลับมาแต่งเติมความใหม่เข้าไปครับ ดันเจียนภาคนี้จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ Palace และ Mementos โดยอย่างแรกจะเป็นดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่อง ซึ่งคุณจะต้องบุกไปให้ถึงห้องสมบัติ, ส่งจดหมายเตือน, และปราบบอสให้ทันก่อนวันเดดไลน์ (กินเวลา 3 วันเป็นอย่างน้อยๆ) ขณะที่อย่างหลังจะเป็นดันเจี้ยนที่เข้าได้ทุกวัน ให้ลงไปฟาร์มมอนสเตอร์หรือทำภารกิจย่อยครับ อย่างไรก็ตามในการลุยทั้ง 2 ดันเจี้ยน สิ่งที่พึงระวังคือการโดนศัตรูเจอตัวครับ เพราะต้องไม่ลืมว่าเราเป็นโจร การเผชิญหน้าศัตรูซึ่งๆ หน้าไม่ใช่เรื่องที่โสภาแม้ว่าศัตรูจะอ่อนแอกว่าก็ตาม โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่ Ambush พลาดทีก็มีสิทธิ์ถึงขั้น Game Over ได้เลย ขณะที่ฉากต่อสู้ก็เป็นแบบ Turn-Based ผลัดตากันโจมตีตามแบบฉบับซีรีส์ Persona แต่ก็มีสิ่งใหม่เพื่มมาพอสมควรอย่าง ธาตุนิวเคลียร์หรือพลังจิตที่ถูกนำกลับมาอีกครั้ง หรือ Barton Pass ซึ่งสามารถส่งเทิร์นให้เพื่อนที่ได้เปรียบกว่าพร้อมบัพพลังโจมตี นอกจากนี้ยังมีระบบเจรจาขอเงินหรือนำศัตรูมาเป็นพวกอีกด้วยครับ ไอ้ตรงนี้หลายๆ คนอาจจะรู้สึกยุ่งยากไปหน่อย เพราะถ้าตอบผิดก็ชวดเลย แต่ส่วนตัวผมกลับชอบมันแฮะ ดูยูนีคดี แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเบื่อในช่วงหลังครับ เพราะจะมีโอกาสปลดล็อคสกิลที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เรียกว่าพอกำลังจะเบื่อ เกมก็จะชิงตัดหรือลดทอนฟีเจอร์เหล่านี้ลงไปในทันทีโดยปริยาย
มาว่ากันถึงเพื่อนๆ และผู้คนรอบตัวที่คุณสามารถทำ Confidant หรือพูดคุยเพิ่มความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ในชีวิตและทรัพสินกันบ้างครับ ดูเหมือนภาคนี้ทางผู้พัฒนาจะเอาใจผู้เล่นชายมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการอัดตัวละครสาวๆ ที่คุณสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้เข้าไปถึง 9 คนด้วยกัน อันเป็นปริมาณที่เยอะกว่าทุกๆ ภาคที่ผ่านมาครับ งานนี้ดีต่อใจท่านชายทั้งหลายแน่นอน แต่ละคนคาแรคเตอร์ก็แตกต่างกันอย่างชัดเจนและน่าอวยสุดๆ ไปเลยครับ ส่วนตัวละครผู้ชายเด่นๆ หน่อยก็ตา Yusuke ที่มาแนวหล่อเสียของ ตลกหน้าตาย ศิลปินไส้แห้งปั่นรวมอยู่ในตัวคนๆ เดียว ออกไปเที่ยวกับพี่แกทีไรมีฮาตลอด อย่างไรก็ตามความสนุกจริงๆ ของการทำ Confidant นอกจากเรื่องหยอดมุขจีบสาวๆ แล้ว ก็คือการได้เห็นเรื่องราวปูมหลัง, สิ่งที่กำลังทำ, ปัญหาที่ต้องเผชิญ รวมถึงความฝันของแต่ละคนนั่นเอง คือมันทำให้เราผูกพันธ์กับตัวละครแต่ละตัวของเกมมากขึ้นจนเรารู้สึกอยากเอาใจช่วยให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนเสริมที่ทำให้ Bad End ของเกมนี้สร้างอิมแพคต่อผู้เล่นอย่างมาก นั่นก็เพราะเราไม่ต้องการให้ผู้ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาหลายชั่วโมงต้องมาประสบพบเจอชะตากรรมอันน่าเศร้าสุดเลวร้ายในตอนท้ายนั่นเองครับ
สุดท้ายกับอีกหนึ่งความงานดีที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ ซาวด์และดนตรีประกอบของเกมครับ ต้องขอแสดงความยินดีกับหลายๆ คนที่สามารถเล่นเกมแบบพากย์ญี่ปุ่นซับอังกฤษได้แล้ว (โดยการโหลด DLC แจกฟรีเพิ่ม) ถึงอย่างนั้นการพากย์ของทางฝรั่งเองก็ถือว่าทำได้ดีถึงดีมากอยู่แล้วครับ ก็เอาเป็นว่ามันคือทางเลือกดีๆ ที่ทีมพัฒนามีให้ก็แล้วกัน ขณะที่ทางตา Shoji Meguro ก็ฟอร์มเข้าฝักประพันธ์ OST หรือเพลงเทพๆ ออกมาแทบทั้งอัลบั้ม แบบว่าคนเล่นเกมถึงกับต้องหามาฟังวนไปเรื่อยๆ ชนิดที่ไม่มีเบื่อเลยทีเดียว ส่วนตัวชอบ Life will Change เอามากๆ ครับ ฟังแล้วคึกคักดีจริงๆ
Persona 5 อาจไม่ใช่เกมภาพสวยหยดหรือเป็น Open World แบบสมัยนิยมที่ให้อิสระกับผู้เล่นที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ในทางตรงกันข้ามมันคือเกมที่มีกราฟิกกึ่งๆ เซลเฉดที่มาพร้อมระบบเกมเพลย์อันหยุบหยับไปด้วยกฎเกณฑ์ของ JRPG Turn-Based อันเป็นจุดขายดั้งเดิมของซีรีส์ ดังนั้นคุณจะไม่ได้รู้สึกว่ากำลังสวมบทเป็นตัวละครในเกมออกท่องโลกกว้างใหญ่ แต่การเล่นเกมนี้จะทำให้คุณรู้สึกราวกับกำลังอ่านนิยายวัยรุ่นชั้นดีเรื่องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความสนุกสนานเฮฮา ดราม่าเสียดสีการเมือง, สังคม และสันดานมนุษย์ หากคุณเป็นเกมเมอร์ที่ไม่ชอบการอ่าน เกมๆ นี้คงไม่อาจเข้าไปนั่งในใจคุณได้ แต่สำหรับสายเสพเนื้อเรื่องเช่นผมแล้ว นี่คือชิ้นงาน JRPG ชิ้นเอกอุที่สุดในช่วงหลายปีมานี้ ที่ยอดเยี่ยมสมการรอคอยของแฟนๆ มาเกือบทศวรรษจริงๆ