[รีวิว] Dark Souls III: The Ringed City ส่งท้ายปิดตำนานวิญญาณทมิฬ

dark souls 3

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (ทีมงานทำการรีวิวจากเวอร์ชั่น PC)
ผู้พัฒนา: From Software 
ผู้จัดจำหน่าย: Bandai Namco
เรต: 17 ปีขึ้นไป

เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายเตรียมปิดตำนานกันแล้วสำหรับซีรีส์ Dark Souls หลังตัวเสริม The Ringed City ได้รับการยืนยันว่าจะเป็นเนื้อหาสุดท้ายที่ทีมพัฒนาปล่อยออกมาให้กับซีรีส์นี้ โดยหลังจากนี้อนาคตของซีรีส์ Dark Souls จะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่จะคาดเดาที่เชื่อว่าเราคงไม่เห็น Dark Souls ภาคใหม่ในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

สำหรับ The Ringed City คือภาคเสริมที่มีเนื้อหาต่อจากส่วนเสริม Ashes of Ariandel ที่ออกมาก่อนหน้านี้และถึงแม้ว่าคุณจะสามารถซื้อ The Ringed City มาเล่นได้โดยไม่จำเป็นต้องเล่นหรือติดตั้ง Ashes of Ariandel แต่ในด้านเนื้อหาแล้ว DLC สองตัวนั้นเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ดังนั้นผมก็แนะนำให้คุณเล่น Ashes of Ariandel ให้จบเสียก่อนครับ

Dark Souls 3

ในแง่เนื้อเรื่องนั้น The Ringed City ก็ยังมาพร้อมกับการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมตระกูล Souls เช่นเคยนั่นก็คือผู้เล่นต้องประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่ใน The Ringed City ก็มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกลับไปยังตัวเกมภาคแรกและภาคสามในหลายจุด ถือได้ว่าใครเป็นแฟนเนื้อเรื่องเกม Souls ก็ไม่ควรพลาดครับ

การผจญภัยใน The Ringed City จะพาคุณเดินทางไปยังพื้นที่ใหม่ที่แบ่งเป็นโซนใหญ่หลักๆ 2 โซน เริ่มกันตั้งแต่เขตแดน Dreg Heap ดินแดนสุดขอบโลกที่สถานที่และกาลเวลาทั้งหมดถูก “ดึง” ให้มาอยู่รวมกัน Dreg Heap โดดเด่นในเรื่องความสูงของสภาพแวดล้อมและมีวิวสวยๆ ให้ผู้เล่นได้หยุดชมเป็นระยะ (และแน่นอนว่ามีศัตรูสุดโหดรอคอยคุณอยู่ทุกมุม) โซนหลักที่สองคือเมืองแห่งแหวน The Ringed City ซึ่งเป็นพื้นที่หลักใน DLC  สภาพแวดล้อมใน Ringed City นั้นเรียกได้ว่าเป็นการรวมเอาฉากและจุดเด่นที่สำคัญทั้งหมดของซีรีส์ Dark Souls มารวมไว้ในเขตเดียว คุณจะได้ออกลุยผ่านเมืองอันงดงาม (ที่นี่น่าจะมีฉากที่สวยที่สุดแล้วในตระกูลเกม Dark Souls ทั้งสามภาค) หนองน้ำ ถ้ำ คุกลับ และพื้นที่สุดท้ายปิดก่อนปิดตำนานเกมนี้

Dark Souls 3

จุดที่น่าเสียดายคือศัตรูที่คุณจะได้เจอใน DLC นั้นถือได้ว่าไม่ได้แตกต่างจากศัตรูเดิมๆ ที่คุณเคยสู้มาแล้วในเกมภาคหลัก แต่ที่เป็นจุดเด่นที่สุดของ DLC ก็คือเหล่า Boss ทั้ง 4 ตัว ( 3 ตัวในเนื้อเรื่องหลักและ Boss ลับ 1 ตัว) ทั้งหมดถูกออกแบบมาอย่างดีและเรียกได้ว่ามี Surprise รอผู้เล่นกันทุกตัว ในด้านของระบบ PvP หนึ่งใน Boss หลักนั้นมีระบบที่ผูกกับ Covenant กลุ่มใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน DLC นี้ ซึ่งผมขอไม่ Spoil รายละเอียดให้เพื่อนๆ ได้ไปสนุกกันเอาเอง

ตัว DLC นี้มาพร้อมกับอาวุธใหม่อีกกว่า 20 ชนิด เกราะใหม่อีก 10 แบบ เวทมนต์อีก 6 อัน ให้เหล่านักสะสมได้ตามล่ากัน ในส่วนของระดับ Level ที่ทางทีมงานแนะนำก่อนเริ่มเล่น DLC นั้นอยู่ที่ระดับ Level 100 ขึ้นไป ผมใช้ตัวละคร Level 105 และจบ DLC ที่ Level 120 และใช้เวลาราวๆ 9 ชั่วโมงในการสำรวจทุกอย่างและจัดการ Boss ทุกตัวครับ

The Ringed City เหมือนเป็นจดหมายรักสั่งลาครั้งสุดท้ายของทีมงาน From Software ที่มอบให้กับแฟนๆ มันอาจไม่ได้เฉลยปมทุกอย่างของ Dark Souls ให้คลี่คลาย การเดินทางสู่นครแห่งแหวนเป็นเหมือนกับการย้อนรอยเส้นทางของผู้เล่นตั้งแต่ Dark Souls ภาคแรก
       ไม่ว่าคุณจะหลงรักเนื้อเรื่องหรือชื่นชอบความท้าทายในการต่อสู้ของเกมตระกูลนี้ The Ringed City ถือเป็นเนื้อหาชิ้นสุดท้ายที่คนรักเกม Souls ไม่ควรพลาด

จุดเด่น

– สภาพแวดล้อมสุดงดงามและหลากหลาย

– Boss สุดท้าทายและน่าจดจำ

– อัดแน่นด้วยเนื้อหาสำหรับแฟนเนื้อเรื่อง Dark Souls

จุดด้อย

– ศัตรูโดยรวมไม่โดดเด่น

– หากคุณไม่ใช่ผู้เล่นสาย PvP จะเสียจุดเด่นและลูกเล่นสำคัญของ DLC ไปอันนึง

– ไม่ได้ปิดปมปริศนาหลายอย่างที่ตัวเกมภาคเก่าๆทิ้งไว้

สรุป

The Ringed City ถือเป็นคำตอบว่าทำไมเกม Dark Souls ถึงครองใจเกมเมอร์ทั่วโลก หากคุณชื่นชอบ Dark Souls ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ควรหา The Ringed City มาสัมผัส นี่คือฉากสุดท้ายของตำนานที่ปิดลงแบบสมศักดิ์ศรีและทำให้เราได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสได้เล่นเกมซีรีส์ดีๆ ระดับนี้กันอีกในอนาคต

คะแนน 85/100

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้