[รีวิว] Mass Effect: Andromeda - เมื่อทางช้างเผือกหาใช่เป้าหมายอีกต่อไป

แชร์เรื่องนี้:
[รีวิว] Mass Effect: Andromeda - เมื่อทางช้างเผือกหาใช่เป้าหมายอีกต่อไป

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (ทีมงาน OS รีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
ผู้พัฒนา: BioWare
ผู้จัดจำหน่าย: EA
เรต: 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 15-20 ชม.
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: ประมาณ 50 ชม. ขึ้นไป

เกมในซีรีส์ Mass Effect ทั้ง 3 ภาคที่ผ่านมา อาจนับได้ว่าเป็นเกมสไตล์ Sci-fi RPG ในดวงใจของใครหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเกมจากค่าย BioWare แล้ว รับประกันได้เลยว่าเกมนั้นจะต้องมีเนื้อเรื่องที่เข้มข้น น่าติดตาม ไม่ต่างอะไรจากเกมพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Dragon Age แม้ในบางครั้งอาจจะมีชื่อเสียงไปในทางที่ไม่ดีบ้าง อย่างเช่นข้อครหาเรื่องฉากจบจาก Mass Effect 3 แต่เชื่อว่าหากท่านเป็นคนที่ติดตามเกมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก ชื่อของ Mass Effect และ Commander Shepard จะเป็นอีกชื่อที่ลืมไม่ลงเลย

สำหรับภาคใหม่ภายใต้ชื่อ Mass Effect: Andromeda (ขอเรียกย่อว่า MEA) นี้ถือเป็นการเปิดจักรวาลใหม่ให้กับตัวเกม ซึ่งนั่นหมายความว่า ใครที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเกม 3 ภาคแรก หรือไม่เคยเล่นเกมในซีรีส์นี้มาก่อนเลยสักภาคก็ยังสามารถเล่นเกมนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนแฟนๆ หรือติ่งซีรีส์ Mass Effect ที่ต้องมนต์เสน่ห์ของภาคนี้แล้วก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะตัวละครจากเผ่าต่างๆ ที่เราคุ้นเคยก็จะมีมาให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย รวมไปถึงตามจุดต่างๆ ภายในเกมก็จะมีโผล่ในลักษณะของ Cameo ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในภาคก่อนๆ ให้เห็นด้วยเช่นกัน

เนื้อเรื่องภายในภาคนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์ภายหลังจากปี 2182 ซึ่งหากเทียบไทม์ไลน์แล้วจะตรงกับ Mass Effect 2 (ขอเรียกย่อว่า ME2) พอดี ทว่าเรื่องราวภายในเกมทั้งหมดจะย้ายมาดำเนินต่อภายในจักรวาล Andromeda กาแล็คซี่เพื่อนบ้านของกาแล็คซี่ Milky Way หรือทางช้างเผือกของบ้านเรา แต่ถึงแม้จะบอกว่าเป็นไทม์ไลน์เดียวกันกับ ME2 แต่เนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่นั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมภาคก่อนๆ เลย เพราะการเดินทางจากทางช้างเผือกมายังกาแล็กซี่อันโดรเมด้านั้นกินเวลาไปทั้งหมดทั้งมวลถึง 600 ปี แถมยังเป็นคนละจักรวาลกันอีกต่างหาก ดังนั้นตัวละครต่างๆ ภายในเกมจึงไม่รู้เรื่องเลยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นที่จักรวาลบ้านเกิดบ้าง

ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Scott หรือ Sara Ryder พี่น้องชายหญิงที่จู่ๆ ก็ดันต้องมารับบทเป็น "Pathfinder" หรือที่แปลตรงตัวได้ว่า "นักสำรวจ" หรือ "ผู้เบิกทาง" ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสำรวจแล้ว แน่นอนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเกม รวมไปถึงเกมเพลย์หลักๆ จึงเน้นไปที่การสำรวจและการตามหาดาวที่สามารถใช้เป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ของมวลมนุษยชาติได้ และระหว่างการสำรวจที่ว่านี้ ตัวเอกไรเดอร์ของเราก็จะได้พบกับสิ่งมีชีวิตจากดาวต่างๆ ทั้งที่เป็นมิตรและเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน

ในส่วนของ Ryder ที่เป็นตัวละครหลักนั้น ภายในภาคนี้เราก็ยังสามารถปรับแต่งตัวละครได้ตามใจชอบ จะปรับให้เป็นหนุ่มหล่อ สาวสวย สาวหมวย หรือหนุ่มตี๋ก็สามารถแต่งได้อย่างอิสระ และที่ทำให้รู้สึกเจ๋งกว่าเกมอื่นๆ ก็คือการที่ตัวละครที่มีฐานะเป็นพ่อของตัวเอกเราก็จะมีหน้าตาคล้ายกับใบหน้าของตัวละครที่เราแต่งออกมาด้วยเช่นกัน จะเสียก็ตรงที่ตัวเลือกในการปรับแต่งนั้นยังถือว่าไม่หลากหลายนักเมื่อเทียบกับระบบการปรับแต่งตัวละครหลักภายในเกม Dragon Age: Inquisition ตรงจุดนี้เองก็ทำให้แฟนๆ หลายคนที่วาดฝันไว้ว่าอยากแต่งตัวละครสวยๆ งามๆ ผิดหวังมากพอดู

ด้วยความที่ตัวเกมจะเน้นไปที่การสำรวจดวงดาวต่างๆ ภายในกาแล็กซี่อันโดรเมด้า ดังนั้นลักษณะของพื้นที่ในเกมจึงกว้างขวางจนเกือบจะกลายเป็นเกมโอเพ่นเวิลด์ไปเลย แต่จริงๆ แล้วต้องขอบอกว่าแผนที่ในเกมนี้ยังคงเป็นแนว Sandbox อยู่นะครับ เพียงแต่ขนาดความกว้างของแผนที่นั้นนับว่ากว้างกว่าแผนที่ภายในเกม Dragon Age: Inquisition เสียอีก ยังดีที่มีรถ Nomad ให้ขับกัน ไม่งั้นล่ะก็ ให้ไล่เปิดแมพทั้งวันก็คงไม่หมดแน่นอน (ไหนจะมีฉากคัทซีนตอนเดินทางข้ามไปข้ามมาระหว่างดาวต่างๆ ที่กินเวลาไปพอสมควรอีก)

แนวเกม MEA ในภาคนี้ ยังคงคงความเป็น TPS แบบนิยายจ๋าอยู่เช่นเคยตามเอกลักษณ์ของค่าย BioWare การต่อสู้หลักๆ จะเน้นไปที่การยิงปืนชนิดต่างๆ ผสมผสานกับการใช้สกิลไบโอติกและเทคโนโลยีต่างๆ ภายในเกม ฟังเพลินๆ อาจจะดูคล้ายกับ 3 ภาคแรก แต่ภาคนี้มีจุดเด่นใหญ่ๆ อยู่ที่ระบบสกิล ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเลือกอัพสกิลได้เองโดยไม่มีการจำกัดสายแบบภาคก่อนๆ อีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น หากเราเลือกเล่นสาย Soldier ที่เน้นไปที่การอัพค่าความสามารถให้อาวุธปืนเป็นหลัก แต่ดันเกิดอยากได้สกิลของสาย Adept หรือสายที่ใช้พลังไบโอติกเป็นหลักขึ้นมา เราก็สามารถเลือกอัพได้ตามใจชอบ ทำให้เราสามารถผสมผสานสกิลได้ตามที่ต้องการ แถมถ้าหากรู้สึกว่าอัพผิดไป เราก็สามารถรีสกิลทั้งหมดได้ทุกเวลา เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้มีอิสระอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปเสียเวลาเริ่มเล่นเกมใหม่ตั้งแต่ต้น

ในด้านของระบบการต่อสู้ ตัวเกมก็มีของใหม่มาให้เล่นเช่นกัน นั่นก็คือเจ้าอุปกรณ์ Jetpack ที่ช่วยให้ไรเดอร์ของเราสามารถพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศ และลอยตัวอยู่ครู่หนึ่งได้ หนำซ้ำยังสามารถ Dash ไปมาเพื่อเข้าที่กำบังได้อีกต่างหาก และเจ้าระบบนี้เองที่เมื่อนำไปคอมโบร่วมกับระบบสกิลรูปแบบใหม่แล้ว ยิ่งทำให้เกมเพลย์ของ MEA เพิ่มระดับความสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก ไหนจะยังมีระบบการปรับเปลี่ยนอาวุธ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ปรับแต่งปืนที่ตนจะใช้ได้อย่างอิสระ (แต่อาจจะต้องลำบากไปล่าปืน หาแร่มาสร้างกันหน่อย) เรียกได้ว่าอยากเล่นแนวไหนก็เล่นได้เต็มที่เลย

ระบบสำคัญอีกอย่างที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเจ้าพาหนะ Nomad (โนแมด) หรือยานสำรวจภาคพื้นพิภพที่จะช่วยให้เราสามารถเดินทางสำรวจดาวต่างๆ ได้อย่างสะดวกโยธิน ซึ่งหากจะบรรยายถึงเจ้ารถโนแมดนี้ คงบอกได้คำเดียวว่าถอดแบบรถรุ่นพี่อย่าง Mako ในภาคแรกมาแทบจะทุกประการ ทั้งความสามารถในการขับขี่ ขึ้นเขาลงห้วย รวมไปถึงยามที่ต้องประจันหน้ากับศัตรู สิ่งเดียวที่อาจจะทำให้หงุดหงิดไปสักหน่อยก็คือการที่รถโนแมดนี้ไม่มีปืนติดตั้งไว้เหมือนกับเจ้า Mako ทำให้เวลาต้องฉะกับศัตรูเข้า เราก็ต้องลงรถก่อนไปเสียทุกครั้ง ทำให้การสำรวจในบางครั้งอาจจะเสียจังหวะไปบ้าง แต่ถ้าเป็นในด้านอื่นๆ เช่นการออกสำรวจหาแร่มาเพื่อสร้างชุดหรืออาวุธต่างๆ นั้น นับว่ายังสะดวกสบาย ไม่ยุ่งยากดี

แม้ว่าระบบการต่อสู้จะเผ็ดมันแค่ไหน แต่ขึ้นชื่อว่า BioWare แล้ว ส่วนของเนื้อเรื่องจึงเป็นจุดที่น่าสนใจมากที่สุด การดำเนินเรื่องภายในภาคนี้ยังคงชวนให้รู้สึกเพลินเหมือนกับภาคอื่นๆ มีประเด็นที่ชวนให้อยากลองไขปริศนาดู และมีบทสนทนามากมายที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวของเผ่าพันธุ์และสถานที่ต่างๆ ภายในเกม รวมไปถึงพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมของเรา หากแต่ด้วยความที่เป็นภาคใหม่ บทสนทนาในหลายๆ จุดจึงกลายเป็นการปูพื้นฐานความรู้ให้กับผู้เล่น หลายๆ ครั้งจึงอาจจะชวนง่วงไปบ้าง โดยเฉพาะในช่วงต้นเกมที่กว่าจะเข้าช่วงสนุกก็หาวกันไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว และที่สำคัญ พล็อตหลักของตัวเกมไม่มีจุดไหนที่ชวนให้รู้สึก "ว้าว" เลย ยิ่งถ้าใครที่อ่อนภาษาอังกฤษยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีขายแผ่นทิ้งแน่นอน

อีกจุดหนึ่งที่น่าพูดถึงก็คือเพื่อนร่วมทีมของเรา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นตัวละครใหม่ยกแผง ตัวละครแต่ละตัวก็นับว่ามีเอกลักษณ์ดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าหากพูดถึงความตราตรึงแล้ว ภาคนี้อาจจะยังไม่ชวนตรึงใจเท่าตัวละครเก่าๆ อย่าง Garrus, Wrex หรือ Joker อีกทั้งใน MEA นี้ เผ่าพันธุ์ที่นับว่าเป็นเผ่าใหม่จริงๆ นั้นมีเพียงแค่เผ่าเดียว ซึ่งทำให้ความน่าตื่นเต้นของตัวเกมลดน้อยลงไปมาก ยิ่งเมื่อทีมงานได้ถอดระบบการควบคุม Teammate ในระหว่างการต่อสู้ออกไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ ภายในภาคนี้เราจะไม่สามารถหยุดเวลาภายในเกมเพื่อวางแผนการต่อสู้ได้เหมือนภาคก่อนแล้ว สิ่งที่เราทำได้มีเพียงแค่การสั่งให้เพื่อนของเรา "ประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ" หรือ "โจมตี" เท่านั้น ตรงจุดนี้เองที่ทำให้บทบาทของเพื่อนๆ ของเราดูด้อยค่าลงไปมากเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้อเสียหลักๆ ของ MEA ก็คือส่วนของ Facial Animation หรือแอนิเมชั่นของใบหน้าตัวละคร และท่วงท่าการเคลื่อนไหวต่างๆ นานานี่แหละครับ ต้องขอยอมรับเลยว่าแม้ตัวเกมจะมีกราฟิกขั้นเทพที่เนรมิตมาจาก Frostbite 3 ที่เป็นเอนจิ้นลูกรักของ EA และถึงแม้บรรยากาศภายในเกมจะสวยงามน่าเดินเที่ยวแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจกลบความประหลาดของท่วงท่าการเคลื่อนไหวของตัวละครไปได้ โดยเฉพาะตัวละครบางตัวที่ชอบทำหน้าปลาตาย ไม่ก็ทำตาเหลือกอยู่ตลอด ไหนจะหลายๆ ครั้งที่การขยับของดวงตา ริมฝีปาก และมือไม้นั้นไม่สัมพันธ์กับเสียงพากย์เอาเสียเลย ทำให้ในบางสถานการณ์ที่ควรจะเครียด ดันกลายเป็นเรื่องขำขันชวนหัวเราะไปซะอย่างนั้น

และสุดท้ายนี้ก็คือส่วนของมัลติเพลเยอร์ ระบบการเล่นของภาคนี้ก็ยังคงเหมือนของภาค 3 แทบจะทุกประการ นั่นก็คือการที่เราต้องเลือกตัวละครตามที่ถนัด ลงไปสู้กับศัตรูที่จะบุกมาเป็นระลอก โดยในระหว่างนั้นก็จะมีภารกิจต่างๆ ให้ช่วยกันทำกับเพื่อนๆ ควบคู่ไปด้วย ความแตกต่างเพียงไม่กี่อย่างของระบบมัลติเพลเยอร์นี้ก็คือความ “ไว” ของเกมเพลย์ และความ “ยาก” ของเกมเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าแม้จะเลือกเล่นระดับที่ง่ายที่สุดแล้วก็ยังสามารถลงไปนอนกันได้ยกทีม

จุดเด่น

1. เนื้อเรื่องที่แม้จะไม่ว้าวเท่าภาคก่อนๆ แต่ก็ยังถือว่าชวนติดตามและเพลิดเพลินไปด้วยได้ไม่ยาก
2. รูปแบบเกมเพลย์ที่สามารถผสมผสานสกิลได้ตามใจนึก ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกแนวทางการเล่นในแบบฉบับของตนเองได้อย่างอิสระ
3. กราฟิกที่สวยงามจากขุมพลังของเอนจิ้น Frostbite 3 ทำให้ภาพภูมิทัศน์บนดาวต่างๆ สวยงามชวนสำรวจ
4. ตัวละครร่วมทีมที่หลากหลาย มีเอกลักษณ์ของตนเอง

จุดด้อย

1. ปัญหา Facial Animation และการเคลื่อนไหวที่ชวนให้รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก
2. ฉากตอนเดินทางไปมาตามดาวต่างๆ ที่กินเวลานานเกินไป อย่างน้อยก็ควรจะทำให้ผู้เล่นกดข้ามได้
3. บทสนทนาในบางจุดที่ชวนให้รู้สึกง่วง
4. ระบบการวางแผนระหว่างต่อสู้ที่ถูกถอดออกไป ทำให้บทบาทเพื่อนร่วมทีมของเราลดน้อยลง

สรุป

แม้จะยังมีบั๊กเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงมีแอนิเมชั่นที่ขัดหูขัดตาไป(ไม่)บ้าง แต่โดยรวมแล้ว Mass Effect: Andromeda ก็ยังคงเป็นเกมไซไฟอีกหนึ่งเกมที่สามารถสร้างความประทับใจได้ไม่น้อยเลย ถึงแม้จะเทียบกับภาครุ่นพี่อย่าง Mass Effect ทั้ง 3 ภาคแรกไม่ได้ แต่เกมนี้ก็ยังคงเป็นเพียงภาคแรกเท่านั้น อีกทั้งด้วยระบบเกมเพลย์และเนื้อเรื่องที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์สไตล์ BioWare ก็ทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าลองซื้อมาลิ้มลองกันดู

คะแนน 7 / 10

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ