แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (ทีมงานทำการรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
ผู้พัฒนา: Capcom
ผู้จัดจำหน่าย: Capcom
เรต: 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 8-12 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้เล่น)
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: ประมาณ 17-20 ชั่วโมง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Resident Evil นั้นเป็นอีก 1 ซีรีส์ที่ผ่านร้อนหนาวในวงการเกมมาแล้วไม่น้อย นับตั้งแต่การ "กล้าเสี่ยง" ที่จะปฏิวัติจากแนวเกมที่แจ้งเกิดให้ตัวเองมาเป็นเกมเน้นแอ็กชั่นที่เจาะกลุ่ม Mass ในท้องตลาดเป็นหลัก และมันก็ประสบความสำเร็จเกินคาดจนขนาดที่ว่า Resident Evil ภาค 5 และ 6 กลายเป็น 2 เกมที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท Capcom กันมาเลย ตลอดจนสามารถสร้างฐานผู้เล่นหน้าใหม่ขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน ทำให้ซีรีส์นี้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากจะมีธีมหลักของเกมที่เป็นการต่อสู้กับบรรดาอาวุธชีวภาพรูปแบบต่างๆ ที่สุดตื่นเต้นแล้ว เหล่าตัวละครของซีรีส์นี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่แฟนคลับกันอย่างแพร่หลาย จึงไม่แปลกที่ Capcom จะยกให้ซีรีส์นี้เป็น 3 หัวเรือหลักเคียงคู่กับ Street Fighter และ Monster Hunter ไปโดยปริยาย
ทว่าสิ่งที่ซีรีส์นี้ต้องเผชิญและแบกรับมาตลอดก็คือ การที่มีความเห็นของแฟนๆ แตกออกเป็นสองทาง ระหว่างฝั่งแรกที่คุ้นชินกับภาคดั้งเดิมที่มีกลิ่นอายความสยองขวัญ กับอีกฝั่งที่รู้สึกโอเคกับการที่ซีรีส์นี้จะเปลี่ยนไปเน้นแอ็กชั่นมากขึ้น และทาง Capcom เองก็น่าจะหนักใจไม่น้อยว่าควรทำเกมเอาใจใครดี ถ้าเน้นบู๊ ข้อดีคือการันตียอดขายที่พุ่งกระฉูด แต่ก็แลกกับเสียงก่นด่าจากแฟนรุ่นดั้งเดิม พอไปเน้นหลอน ก็จะได้แฟนรุ่นที่ว่ากลับมา แต่ก็ต้องเสี่ยงกับยอดขายที่ไม่ค่อยจะเป็นใจนัก ซึ่ง Resident Evil 7 นี้ก็เป็นอีก 1 บททดสอบที่ทาง Capcom อยากจะลองเสี่ยงกับมันอีกครั้ง
Resident Evil 7 ได้เลือกนำผู้เล่นกลับไปสู่กลิ่นอายของความสยองขวัญสมัยภาคแรกๆ ผ่านมุมกล้องแบบมุมมองบุคคลที่ 1 ของ อีธาน วินเธอร์ส (Ethan Winters) ชายหนุ่มที่ได้รับข้อความจาก มีอา (Mia Winters) ภรรยาของเขาที่หายตัวไปนานถึง 3 ปี โดยข้อความดังกล่าวได้ระบุว่าเธอรออยู่ที่บ้านของตระกูลเบเกอร์ ซึ่งตั้งอยู่แถวชนบทของรัฐหลุยส์เซียน่า สหรัฐอเมริกา แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่รออีธานอยู่ในบ้านหลังนั้นคือนรกบนดินที่เขาจะต้องเผชิญและเอาชีวิตรอดออกมาให้ได้
ประเด็นเนื้อเรื่องของเกมนั้น ต้องขอบอกให้สบายใจกันเลยนะครับว่าโครงเรื่องยังเป็นธีมอาวุธชีวภาพเหมือนเดิม ตัวเกมภาคนี้ยังมีการเชื่อมโยงถึงตัวละครภาคเก่าๆ อยู่ ยังเป็นจักรวาลเดียวกันอยู่ และบางไฟล์ก็มีพูดถึงตัวละครในภาคอื่นๆ ทั้งภาคหลักและภาคสปินออฟด้วย ซึ่งภาค 7 มีการปูเรื่องราวมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ และเข้าใจได้ว่าทำไม Capcom จึงเผยข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่องภาคนี้น้อยมาก เพราะทีมงานต้องการให้ผู้เล่นได้ลงมาซึมซับทุกอย่างผ่านบทพูด ไฟล์ต่างๆ และสิ่งที่อีธานเห็นด้วยตนเองครับ (แต่จะติดตรงช่วงท้ายของเกมที่แอบเดินเรื่องค่อนข้างอืดไปสักนิด)
เนื่องด้วยอีธานนั้นเป็นตัวละครที่ไม่ได้มีความสามารถระดับซูเปอร์ฮีโร่เหมือนลีออนหรือคริส ระบบการควบคุมในเกมนี้จึงเหลือให้ทำได้แต่แอ็กชั่นพื้นๆ เหมือนคนธรรมดา ผู้เล่นจะไม่สามารถเข้าไปอัดศัตรูด้วยท่าระยะประชิด (Melee) หลังจากยิงมันจนชะงักได้ และพอรวมกับการที่ไอเทมต่างๆ ค่อนข้างมีให้เราในจำนวนจำกัด มันก็เลยบีบให้ผู้เล่นต้องคิดเร็วทำเร็ว ว่าถ้าคิดหนี จะหนีไปทางไหน ถ้าจะสู้ จะรับมือมันยังไง ปกติในภาคก่อนๆ นั้น หลายๆ จังหวะถ้าเราเจอศัตรูสัก 2 ตัวขึ้นไปอาศัยแค่ปืนพกก็เอาอยู่ แต่ในภาคนี้การเจอศัตรูเดินมาพร้อมกัน 2 ตัวนี่คือนรกสิ้นดี
แน่นอนว่าเมื่ออีธานทะลึ่งเข้ามาอยู่ในเขตบ้านของตระกูลเบเกอร์แล้ว ศัตรูที่เป็นหัวใจหลักของภาคนี้จึงเป็นสมาชิกของบ้านเบเกอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ทางทีมพัฒนาได้กำหนดคาแร็กเตอร์และแบ่งแยกลักษณะการต่อกรกับคนในครอบครัวแต่ละคนเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยแจ็ค (Jack Baker) ผู้เป็นพ่อบ้านจะเน้นหนักไปที่การดวลกันซึ่งหน้า บีบให้ผู้เล่นต้องควักอาวุธหรือคว้าของใกล้ตัวออกมาหยุดความระห่ำของแก ในขณะที่มาร์เกอรีธ (Marguerite Baker) จะมาสไตล์ลอบเร้น เล่นซ่อนหากับนาง ส่วนลูคัส (Lucas Baker) ลูกชายที่ฉลาดเป็นกรดจะต้อนรับผู้เล่นด้วยกับดักนานาชนิด อย่างไรก็ตาม สมาชิกตระกูลนี้หากมองกันดีๆ จะให้ความรู้สึกเหมือนครั้งที่เราเคยสู้กับเนเมซิส (Nemesis) ที่เป็นบอสของภาค 3 ที่ผู้เล่นจะต้องคอยระแวงว่ามันจะมาตอนไหน มาจากทางไหน และจะทำยังไงเพื่อเอามันลงด้วยอาวุธและกระสุนเท่าที่มีในตัว
จุดเด่นแรกที่ต้องขอชมเลยคือบรรยากาศของเกมครับ ดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่าเกมได้นำพาเรากลับไปสู่กลิ่นอายของภาคแรกที่ผู้เล่นถูกตีวงให้ต้องหาทางหนีภายในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ท่ามกลางแสงไฟที่สลัวและความมืดมิด ผนวกกับศัตรูที่พยายามจะไล่ต้อนเราให้จนมุม ซึ่ง RE Engine ที่ Capcom ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับเกมนี้โดยเฉพาะก็สามารถเนรมิตภาพของคฤหาสน์เบเกอร์ให้รู้สึก "เชื่อ" ได้ว่าเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่อีธานพบเจอ และทำให้ลุ้นได้เรื่อยๆ ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอเราอยู่
พอลองเล่นไปได้สักประมาณ 20% ของเกม เราจะสังเกตได้ไม่ยากว่าระบบพื้นฐานและการเอาตัวรอดของภาคนี้ได้มีการนำจุดเด่นของภาคก่อนหน้ามายำไว้ครบ อาทิเช่น การผสมไอเทมเพื่อทำกระสุนปืน ที่มีทั้งกระสุนแบบธรรมดา และกระสุนแบบอัพเกรดที่มีความแรงมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้ไอเทมที่มีคุณภาพดีกว่าและหาได้ยากกว่า (เหมือนการผสมดินปืนกับ Reload Tool ในภาค 3) การใช้ไอเทมบางชนิดเพื่อเพิ่ม Max Health หรือขีดพลังชีวิตสูงสุดของเรา (เหมือนคุณสมบัติ Yellow Herb ของภาค 4) ตลอดจนระบบคีย์ลัดในการเรียกใช้อาวุธ ที่เปลี่ยนอาวุธต่างๆ ได้ด้วยการกดปุ่ม D-Pad (เป็นระบบที่เริ่มตอนภาค 5) ขณะเดียวกัน ระบบกดปุ่มบนหน้าจอตามเหตุการณ์ (QTE) ที่ผู้เล่นบ่นกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่ามีเยอะเกินไปในภาค 6 ก็ถูกตัดออกหมดสิ้น
ทว่าระบบที่มีอาวุธหรือไอเทมบางชิ้นกินพื้นที่ช่องไอเทมของเรา 2 ช่อง เหมือนภาค 0, ภาค 2 และภาค Code Veronica พี่แกก็ยังจะใส่มา (คืออันนี้ไม่ต้องใส่มาก็ได้ มันเปลืองช่อง / ฮา)
ความยากของเกมนี้ เท่าที่ได้ทดลองเล่นในระดับ Normal ก็พบว่ากระสุนที่มีให้ใช้จะค่อนข้างพอดี หากผู้เล่นมีทักษะการเล็งยิง Headshot ที่แม่นยำพอประมาณ อาวุธในเกมก็คล้ายกับที่มีให้ใช้ในภาคแรกเป็นส่วนมาก ปืนบางชนิดได้ผลดีกับศัตรูบางประเภท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การสู้บอสในเกม ผู้เล่นจะมีทางเลือกหลายทางในการปราบมัน ในจุดที่ต้องสู้กับบอสมักจะมีตัวช่วยหรือเครื่องทุ่นแรงให้เราใช้ การกระหน่ำยิงให้มันร่วงเร็วๆ ก็จะช่วยประหยัดเวลาได้ หรือการจับจังหวะหลอกล่อให้มันเผลอแล้วโจมตีสวน ก็จะช่วยเซฟกระสุนปืนได้เช่นกัน
ส่วนทางด้านปริศนาภายในเกม หากวัดกันตามสัดส่วนแล้วถือว่ามีเยอะกว่าภาคแรกพอสมควรครับ หลายปริศนาที่มีหน้าตาพื้นๆ ไม่น่ามีลูกเล่นอะไร ก็จะไปเน้นที่คำใบ้ที่ผู้เล่นต้องใช้เวลาขบคิดกันเล็กน้อย โดยเฉพาะบางคำใบ้ที่จะต้องอาศัยการสังเกตสิ่งที่ผิดปกติ หรือแม้แต่การสังเกตพฤติกรรมของบุคคลที่เราเห็นในวิดีโอเทป เป็นต้น ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนเป็นความท้าทายและทำให้ภาคนี้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาก
ตัวเกมมีการรองรับกับการเล่นด้วยอุปกรณ์ PlayStation VR อย่างเต็มที่ เพราะมันเป็นอะไรที่เข้ากับมุมมองบุคคลที่ 1 ที่ภาคนี้พยายามนำเสนอจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ภาพที่ปรากฏในแว่น VR นั้นจะเป็นกรอบภาพจำลองที่มีภาพในเกมอยู่ในนั้น หากผู้เล่นมองไปนอกกรอบที่ว่าก็จะเห็นเป็นขอบดำทั้งหมด ต่างจากเดโม Kitchen ที่เราจะสามารถหันมองรอบตัวเพื่อดูรอบๆ ห้องแบบ 360 องศาได้ (ตรงนี้เข้าใจว่า Kitchen มันจำลองสถานการณ์อยู่ภายในห้องเดียวเลยทำเช่นนั้นได้ง่าย) ทำให้การจะหันมองรอบตัวในเกมตัวเต็มผ่าน PlayStation VR จึงต้องใช้วิธีดันอนาล็อกเหมือนการเล่นแบบปกติผ่านจอทีวีนั่นเอง
ข้อเสียอีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือแนวเกมที่ภาคนี้เป็นครับ และเหมือนเป็นโจทย์ยากที่สุดข้อหนึ่งที่หลายๆ ซีรีส์ที่ล้มหายตายจากไปต่างก็คิดแก้กันไม่ตก อย่างแรกคือการที่วางตำแหน่งหรือจำนวนการโผล่ของศัตรูในแต่ละห้อง และการเซ็ตจุด Jump Scare (ผีตุ้งแช่) มาเยอะและถี่มากๆ ไว้แบบตายตัว สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เล่นตื่นเต้นและว้าวได้ในการเล่นรอบแรกก็จริง แต่พอเล่นรอบ 2 ความท้าทายพวกนี้ก็จะมลายหายไป (ทีมงานผู้ที่รีวิวเป็นคนชอบจำตำแหน่งโผล่ของศัตรู) เนื่องด้วยเหตุผลจุดโผล่ศัตรูตายตัวดังที่กล่าวไว้ ถ้าอยากเห็นศัตรูและตำแหน่งไอเทมที่เปลี่ยนไป ก็ต้องย้ายไปเล่นระดับความยากที่สูงกว่าเท่านั้น นอกจากนี้ การที่ภาคนี้ไม่ได้ใส่โหมดมินิเกมมัลติเพลเยอร์อย่าง The Mercenaries หรือ Raid Mode มาให้เล่นเพื่อความบันเทิงหลังจบเกม เลยยิ่งทำให้คุณค่าในการเล่นซ้ำของภาคนี้น้อยเกินไป
จุดเด่น
1. ตัวเกมนำเสนอบรรยากาศในเกมที่เขย่าโสตประสาทได้เป็นระยะ และวางลำดับตำแหน่งการเกิด Jump Scare ได้ค่อนข้างมีชั้นเชิง
2. มีการพยายามนำองค์ประกอบต่างๆ และข้อดีของ Resident Evil ยุคดั้งเดิม และยุคโมเดิร์นมาผสมผสานเข้าไว้ได้อย่างลงตัว
3. การสู้บอสแต่ละตัวมีความ Epic และดูมีเอกลักษณ์ทำให้เป็นที่น่าจดจำได้ง่าย
4. การออกแบบปริศนาในเกม รวมถึงคำบอกใบ้เพื่อแก้ปริศนา แสดงให้เห็นถึงการทำการบ้านของทีมงานที่ใส่ใจรายละเอียดมาก และเป็นอะไรที่ลับสมองผู้เล่นได้ดี
จุดด้อย
1. การเล่นด้วยอุปกรณ์ PlayStation VR (PSVR) แม้จะให้บรรยากาศที่สมจริงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายการมองสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ยังต้องใช้อนาล็อคอยู่ดี ไม่สามารถหันศีรษะไปมองเองแบบ 360 องศาเหมือนในเดโม Kitchen ได้
2. การกำหนดจุดโผล่ของศัตรูต่างๆ ไว้ตายตัว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง Spawn, จุด Jump Scare และตำแหน่งของไอเทม หรือแม้แต่ตัวอาวุธที่ไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรให้เราทำกับมันได้มากนัก ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นว่าการเล่นรอบ 2 ในระดับความยากเดียวกับรอบแรกจะสูญเสียความท้าทายไปเกือบหมด ยิ่งพอไม่มีโหมดมัลติเพลเยอร์ เช่น The Mercenaries หรือ Raid Mode ให้เล่นหลังจบไปแล้วรอบนึง ทำให้ Replay Value ของเกมนี้อยู่ในเกณฑ์ต่ำ
สรุป
บางทีเราอาจจะต้องหลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ ไปก่อนครับว่า Resident Evil จะต้องหลอนๆ Resident Evil จะต้องมีตัวเอกที่เป็นตัวละครที่เราคุ้นเคย Resident Evil จะต้องมีมุมกล้องแบบนั่นนี่โน่น หากผิดแปลกไปจากที่ว่ามามันจะไม่ใช่ Resident Evil อะไรประมาณนี้ นั่นก็เพราะภาค 7 นี้เหมือนเป็นการ "พบกันครึ่งทาง" ที่ Capcom พยายามจะเข้าหาผู้เล่นทั้งสองกลุ่ม แล้วดันทำออกมาได้ดีเกินคาดครับ อะไรในภาคไหนที่คนเคยชม พี่แกก็ใส่มา อะไรในภาคไหนที่คนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง พี่แกก็ถอดออกหมด ถ้าถามว่าภาคนี้ประสบความสำเร็จในด้านคุณภาพงานมั้ย ทีมงานขอตอบ ณ ตรงนี้ได้เลยว่า "ใช่" แต่จะไปถึงดวงดาวอย่างที่ Capcom หวังหรือไม่ เกมนี้จะมีอนาคตของซีรีส์เป็นอย่างไร จะยึดแนวภาคนี้ไปยาวๆ หรือกลับไปใช้แนวในยุคโมเดิร์น ยอดขายเท่านั้นที่จะเป็นตัวพิสูจน์
คะแนน 9