"วันนี้ในอดีต" by play
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2541 หรือวันนี้เมื่อ 18 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Dokapon! Ikari no Tekken บนเครื่อง PS1 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Dokapon! เป็นเกมแนวบอร์ดเกมคล้ายกับเกมเศรษฐีที่ต้องเดินตามช่องด้วยการทอยลูกเต๋า โดยภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 2 ของซีรีส์ และท่ามกลางหมู่เกมเมอร์บ้านเราในยุคนั้น นี่คืออภิมหาเกมทำลายมิตรภาพของปวงชนชาวไทย หากใครอยากตัดสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างรวดเร็ว นี้คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดครับ
รูปแบบโดยรวมของ Dokapon! ภาคนี้จะคล้ายกับเกม RPG ที่มีการเก็บเลเวล ฆ่าศัตรู และซื้อไอเทม แต่ว่าเกมจะใช้รูปแบบการเล่นแบบเกมทอยลูกเต๋าเป็นหลัก เดินตามช่องแทนการเดินแบบอิสระ ทั้งหมดนี้คือไฮไลท์ของเกม เพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องตีศัตรู แต่เราจะตีเพื่อนเราเพื่อกลั่นแกล้งมันไม่ให้ได้รับชัยชนะได้ อารมณ์เหมือนพวกบอร์ดเกมทั่วไปครับ มีตั้งแต่การยิงเวท หรือบุกตีขโมยของ ยึดเมืองเพื่อน และยังมีเหตุการณ์พิเศษที่มีทั้งเกิดผลดีกับเรา ได้กลั่นแกล้งเพื่อน หรือแม้กระทั่งเราเป็นฝ่ายซวยเสียเอง อีกทั้งเกมยังสนับสนุนสำหรับบ้านคนที่ไม่มีจอย 2 ให้สามารถควบคุมตัวละครทั้งหมดด้วยจอยเดียวได้อีกด้วย
เกร็ดเล็กน้อยของเกม Dokapon! Ikari no Tekken
- ยอดขายของเกมนี้ในญี่ปุ่นถือว่าพอคาบเส้นแบบฉิวเฉียดจนมีการทำภาคต่อมาได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งแม้จะมีภาคที่ลงให้กับเครื่อง PS2 และทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษบนเครื่องดังกล่าวออกมาด้วย แต่ยอดขายในฝั่งตะวันตกยังไม่มากพอที่จะเข็นซีรีส์นี้ในตลาดนานาชาติได้ จึงเป็นเหตุให้อนาคตของซีรีส์นี้ต้องดับไปก่อนเวลาอันควร ทว่าในเมืองไทย เกมนี้กลับดังเปรี้ยงจนฉุดไม่อยู่ ถ้าใครได้ลองแวะไปร้านเช่าเล่นก็มักจะเห็นเด็กๆ จับกลุ่มนั่งเล่นเกมนี้แล้วทะเลาะกันเองให้เห็นอยู่บ่อยๆ (แต่ยอดขายในเมืองไทยเอาไปนับรวมไม่ได้นะครับ เพราะยุค PS1 พี่ไทยเล่นแผ่นก๊อปกันเกลื่อนเมือง)
- Asmik Ace Entertainment ผู้พัฒนาเกม Dokapon! ภาคนี้ ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งในตอนแรกบริษัทยังใช้ชื่อว่า Asmik Corporation กระทั่งในปี 2540 หรือก่อนที่เกม Dokapon! เวอร์ชั่น PS1 วางจำหน่ายเพียงปีเดียว จึงได้ควบรวมกับบริษัท Ace Entertainment ที่เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเหมือนกัน ก็เลยได้เปลี่ยนเป็นชื่อ Asmik Ace Entertainment อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่ธุรกิจด้านการพัฒนาเกมของ Asmik Ace ได้เบาบางลงไปนับตั้งแต่พ้นยุคของ Nintendo GameCube และหันมาเน้นที่ธุรกิจการเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของค่าย DreamWorks จากฮอลลีวู้ดลงสู่โรงภาพยนตร์ภายในญี่ปุ่นแทน
