วันนี้ในอดีต by play: 22 มีนาคม

แชร์เรื่องนี้:
วันนี้ในอดีต by play: 22 มีนาคม

"วันนี้ในอดีต" by play

วันที่ 22 มีนาคม 2539 หรือวันนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายเกม Biohazard ภาคแรก บนเครื่อง PS1 ที่ประเทศญี่ปุ่น (ในภูมิภาคอื่นจะใช้ชื่อว่า Resident Evil) และวันนี้ก็ยังเป็นวันครบรอบ 20 ปีของซีรีส์นี้อีกด้วย โดย Resident Evil เป็นผลงานการควบคุมดูแลและพัฒนาโดยคุณชินจิ มิคามิ อดีต 1 ในนักพัฒนาระดับแถวหน้าของ Capcom ที่ปัจจุบันได้ออกไปตั้งบริษัทตัวเองชื่อว่า Tango Gameworks ในปี 2553 ที่ผ่านมา จวบจนทุกวันนี้ ซีรีส์ Resident Evil นั้นถือว่าเป็น 1 ในไม่กี่ซีรีส์ที่ทาง Capcom ยังสามารถการันตียอดขายในระดับท็อปได้อยู่ เช่นเดียวกับซีรีส์ Street Fighter และ Monster Hunter

เนื้อเรื่องของ Resident Evil ภาคแรกจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 1998 หรือหลังจากเหตุการณ์ภาค 0 เพียงวันเดียว โดยในช่วงเวลานั้นได้เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญที่ชายป่านอกเมืองแร็คคูน ทางสถานีตำรวจเมืองแร็คคูนจึงส่งเจ้าหน้าที่หน่วย S.T.A.R.S. ชุดแรกในนามทีมบราโว่ออกไปสืบคดีดังกล่าว แต่แล้วก็เกิดขาดการติดต่อไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ทีมอัลฟ่าอันประกอบไปด้วย อัลเบิร์ต เวสเกอร์, แบร์รี่ เบอร์ตัน, คริส เรดฟิลด์, จิล วาเลนไทน์, โจเซฟ ฟรอสต์ และ แบรด วิคเกอร์ส เลยถูกส่งมาเพื่อตามหาสมาชิกทีมบราโว่ พร้อมทั้งสืบหาความจริงของคดีนี้ไปด้วย ระหว่างที่ทีมอัลฟ่าทำการสำรวจแนวป่าที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ถูกลอบโจมตีโดยฝูงหมาซอมบี้ ทำให้โจเซฟเสียชีวิตทันที ส่วนสมาชิกทีมอัลฟ่าคนที่เหลือก็วิ่งหน้าตั้งจนไปเจอคฤหาสน์หลังหนึ่งเข้า ฝันร้ายและตำนานความสยองจึงเริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น...

เกมเพลย์ของ Resident Evil นั้นต้องบอกว่าเป็นการต่อยอดจากที่ซีรีส์ Alone in the Dark เคยทำไว้บนเครื่อง PC ให้ดูสมบูรณ์และลงตัวกว่าในหลายๆ ด้านครับ โดยแก่นเรื่องหลักที่ผู้เล่นต้องสืบคดีที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องมีการต่อสู้กับเหล่าอาวุธชีวภาพในรูปลักษณ์ต่างๆ เพื่อเอาชีวิตรอดด้วย นอกจากนี้ การผจญภัยในเกมจะเน้นไปที่การไขปริศนาตามจุดต่างๆ ในเกม พร้อมทั้งมีการนำไอเทมจากจุดหนึ่งไปใช้กับสถานที่อีกจุดเพื่อไปต่อยังโซนใหม่ๆ ผ่านการเนรมิตด้วยกราฟิกแบบโพลิกอน 3D ที่รองรับกับเครื่อง PS1 ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูงพอดี ถือว่าเป็นอะไรที่ดูสดใหม่สำหรับยุคนั้นมาก

Fact เล็กน้อยเกี่ยวกับเกม Resident Evil

- ยอดขายรวมทั้งหมดของ Resident Evil ภาคแรกสามารถจำแนกได้ทั้งหมดดังนี้ (นับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 จากเว็บไซต์ทางการของ Capcom)

1. เวอร์ชั่นดั้งเดิม (ทุกแพลตฟอร์ม) - 2.75 ล้านชุด
2. เวอร์ชั่น Remake (GameCube) - 1.35 ล้านชุด
3. เวอร์ชั่น HD Remaster (ทุกแพลตฟอร์ม) - 1.2 ล้านชุด
4. เวอร์ชั่น Director's Cut Dual Shock Edition (PS1) - 1.2 ล้านชุด
5. เวอร์ชั่น Director's Cut (PS1) - 1.13 ล้านชุด

- Resident Evil ภาคที่ขายดีที่สุดคือ Resident Evil 5 โดยสามารถกวาดยอดขายไปได้สูงถึง 7 ล้านชุด ซึ่งนอกจากจะเป็น Resident Evil ภาคที่ขายดีที่สุดแล้ว ก็ยังเป็นเกมที่ขายดีที่สุดของ Capcom นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเลยด้วย

- Resident Evil เป็นเกมแรกของโลกที่ระบุแนวเกมไว้ที่หน้าปกว่า "Survival Horror" โดยเกมนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์บทใหม่แก่โลกวิดีโอเกมไว้มากมาย และเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยมองว่า Resident Evil คือการต่อยอดความสยองขวัญที่ซีรีส์ Alone in the Dark เคยทำเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขนาดที่ว่านิตยสาร TIME ก็ยังเคยยกให้เกมนี้เป็น 1 ใน 100 เกมที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาลเลยทีเดียว

- ทางผู้อ่านนิตยสาร Retro Game ได้โหวตให้ Resident Evil เป็นเกมลำดับที่ 37 ในการจัดอันดับเกม Retro ยอดเยี่ยมตลอดกาล โดยที่ทีมบรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าวได้กล่าวว่าเกมนี้เป็นเกมแนวสยองขวัญที่ดีที่สุดตลอดกาล พร้อมกับบรรยายว่าตัวเกมมีเซอร์ไพรส์ให้ผู้เล่นได้ตื่นตะลึงอยู่เต็มไปหมด ทว่าบทพูดของตัวละครในเกมนั้นกลับให้ความรู้สึกเหมือนดูภาพยนตร์เกรด B ซะงั้น และความห่วยแตกของบทพูดตัวละครจากเกมนี้ก็ถูกทางกินเนสบุ๊คยกให้เป็น "เกมที่มีบทพูดที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ถือกำเนิดวงการเกม" กันไปเลย

- สำหรับเวอร์ชั่น Remake ที่วางจำหน่ายบนเครื่อง GameCube ในปี 2545 นั้น ได้มีการเพิ่มเติมในส่วนของตัวละครที่ชื่อว่า ลิซ่า เทรเวอร์ (Lisa Trevor) บุตรสาวของ จอร์จ เทรเวอร์ (George Trevor) สถาปนิกผู้ออกแบบคฤหาสน์พร้อมสถานีวิจัยบนภูเขา Arklay อันเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ใน Resident Evil ภาคแรกนี้ และยังเป็นผู้ออกแบบเรือสำราญ Queen Zenobia, Queen Semiramis และ Queen Dido ที่เป็นโลเคชั่นในภาค Revelations อีกด้วย โดยหลังจากที่จอร์จได้ออกแบบคฤหาสน์และทำการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น เขาและครอบครัวก็ถูกสเปนเซอร์ลวงมาที่คฤหาสน์เพื่อจับตัวไปขัง ในที่สุด จอร์จก็ถูกสังหาร ขณะเดียวกัน เจสสิก้าและลิซ่า ลูกเมียของจอร์จก็ถูกนำตัวไปทดสอบเชื้อไวรัสที่ทาง Umbrella คิดค้นขึ้น ผลก็คือเจสสิก้าทนต่อการทดลองไม่ไหวและเสียชีวิตคาที่ไปก่อน ส่วนลิซ่าที่ร่างกายสามารถรับเชื้อได้มากกว่าผู้เป็นแม่ ก็ถูกกระหน่ำทดลองมายาวนานถึง 30 ปี ซึ่งเชื้อที่อยู่ในร่างของลิซ่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้พรากความเป็นมนุษย์ไปจากเธอจนหมดสิ้น และมันก็ทำให้เธอมีพลังเหนือคนทั่วไป ทนทานดุจเป็นอมตะ และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับตัวของลิซ่าก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ วิลเลียม เบอร์คิน สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นเชื้อ G-Virus ได้ (เชื้อต้นเหตุในภาค 2) พอกาลเวลาผ่านไปเป็นเวลานาน ลิซ่าก็เริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะ เอาแต่พร่ำร้องหาแม่ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว เมื่อเวสเกอร์เห็นดังนั้นจึงสั่งการให้ลูกทีมกำจัดเธอทิ้งเสีย แต่ลิซ่าก็หนีหลุดมาได้และร่อนเร่อยู่ในบริเวณของคฤหาสน์ด้วยความหวังที่จะหาแม่พบสักวันหนึ่ง โดยในช่วงท้ายของเวอร์ชั่น Remake ผู้เล่นจะเผชิญหน้ากับลิซ่าในห้องเก็บโลงศพของเจสสิก้า หากทำการผลักแท่นหินทั้ง 4 จุดลงเหวได้ครบทั้งหมด กลไกในห้องจะทำงาน ทำให้โลงศพที่ตั้งอยู่กลางห้องเปิดออก ลิซ่าจะนำกระโหลกศีรษะของแม่ที่อยู่ในโลงออกมาถือไว้ แล้วกระโดดลงเหวไปเอง

- สาเหตุที่เกมไม่ได้ใช้ชื่อ Biohazard ในภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากญี่ปุ่น นั่นก็เป็นเพราะคุณคริส คราเมอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของทาง Capcom ได้ให้เหตุผลว่า คำว่า "Biohazard" นั้นถูกจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว อีกทั้งในปี 2535 ก็เคยมีเกมที่ใช้ชื่อ Bio-Hazard Battle มาก่อน แถมชื่อ Biohazard ก็ยังไปพ้องกับชื่อวงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟเมทัลแห่งกรุงนิวยอร์คที่ชื่อ Biohazard เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ทาง Capcom จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเกมเพื่อใช้สำหรับจำหน่ายนอกญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หวยก็เลยมาลงที่ชื่อ Resident Evil โดยอิงจากการที่เหตุการณ์ในเกมภาคแรกได้เกิดขึ้นในคฤหาสน์ที่ดูเหมือนเป็นที่พักอาศัยนั่นเอง ซึ่งในตอนแรกคุณคราเมอร์ก็ไม่เห็นด้วยกับชื่อนี้เท่าไหร่นัก เพราะมันดูสิ้นคิดไปหน่อย ทว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายการตลาดกลับชอบชื่อ Resident Evil กัน และก็พากันไปโน้มน้าวทาง Capcom สาขาญี่ปุ่นและชินจิ มิคามิ ให้คล้อยตามและยอมรับการเปลี่ยนชื่อเป็น Resident Evil เพื่อขายในฝั่งตะวันตกได้ในที่สุด

- ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของภาคแรกนี้ ตัวเกมได้มีการตัดฉากรุนแรงออกไปเยอะมาก อาทิ ฉากตายของโจเซฟตอนคัทซีนเริ่มเกม, ฉากคริสสูบบุหรี่ในคัทซีนเริ่มเกม, ฉากหมาซอมบี้ในคัทซีนที่ถูกพวกคริสยิง (ป้องกันคนโจมตีเรื่องทารุณกรรมสัตว์) หรือแม้แต่ฉากตายของตัวละครที่เราเล่น โดยหากผู้เล่นโดนโจมตีจนพลังชีวิตหมด ภาพบนจอจะค่อยๆ เฟดเป็นสีขาวจนหมดแล้วขึ้น You Died ต่างจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่จะเห็นตัวละครตายแบบโหดๆ ครบถ้วน เช่น โดนฮันเตอร์ตะปบคอหลุด หรือโดนงูยักษ์กลืนไปทั้งตัว เป็นต้น (แต่เวอร์ชั่นที่ลงบน PC จะไม่มีการตัดฉากรุนแรงออกไปนะครับ)

- เวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่ลงบนเครื่อง PS1 จะมีการใส่เพลงร้องตอนฉากจบเอาไว้ด้วย โดยเพลงนั้นมีชื่อว่า Yume de Owarasenai (มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า I won't let this end as a dream หรือแปลว่า ฉันจะไม่ยอมให้มันจบลงแค่เพียงความฝัน) ขับร้องโดยคุณฟุมิทากะ ฟุจิงามิ ซึ่งหากใครเล่นเวอร์ชั่นอังกฤษ หรือเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวดั้งเดิมและเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็จะไม่ได้ฟังเพลงนี้กัน

- แม้ว่าในเนื้อเรื่องฝั่งคริสจะไม่เจอตัวแบร์รี่ และไม่เจอรีเบคก้าในเนื้อเรื่องจิล แต่ตามไทม์ไลน์จริงๆ ของเนื้อเรื่องจะมีระบุไว้ว่าทั้งแบร์รี่และรีเบคก้านั้นรอดชีวิตมาจากคฤหาสน์สเปนเซอร์ได้ทั้งคู่ โดยแบร์รี่ได้ไปปรากฏตัวอีกทีในตอนจบของ Resident Evil 3: Nemesis ในขณะที่เพื่อนๆ คนไหนได้เล่น Resident Evil 2 บนเครื่อง Nintendo 64 ก็จะมีไฟล์หนึ่งให้เก็บระหว่างเกม ซึ่งไฟล์นั้นจะเป็นรายงานของทางรีเบคก้าที่แจ้งต่อสถานีตำรวจเมืองแร๊คคูนหลังรอดชีวิตกลับมาว่า บิลลี่ โคเอน นักโทษหลบหนีที่เธอร่วมผจญภัยด้วยกันมาในภาค 0 ได้เสียชีวิตแล้ว (ตอนจบภาค 0 รีเบคก้าจะดึง Dog Tag จากคอของบิลลี่ แล้วปล่อยให้บิลลี่หนีไป ส่วนตัวเองก็ตามไปสมทบกับพวกคริสที่คฤหาสน์สเปนเซอร์ด้านล่างภูเขา)

- ชินจิ มิคามิ ไดเร็กเตอร์ของ Resident Evil ภาคแรก ได้แรงบันดาลใจในการสร้างเกมนี้จากเกม Sweet Home เกมแนวสยองขวัญจาก Capcom ที่ลงให้กับเครื่อง Famicom เมื่อปี 2532 โดยในขณะนั้นเขามีความต้องการที่จะสร้างเกมที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในคฤหาสน์ชวนหลอน เช่นเดียวกับโลเคชั่นในเกม Sweet Home จึงเริ่มดำเนินการพัฒนาเกมด้วยตัวคนเดียวเป็นระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ร่างสเก็ตช์คอนเซ็ปต์เกมแบบคร่าวๆ, ออกแบบตัวละคร และเขียนสคริปท์เนื้อหาเกมเป็นจำนวนกว่า 40 หน้า นอกจากนี้โครงสร้างของตัวคฤหาสน์ในเกมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากโรงแรม The Overlook ที่ใช้เป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง The Shining ซึ่งเข้าฉายเมื่อปี 2523 ทั้งนี้ ช่วงแรกคุณมิคามิก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้เกมเป็นแนวยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ทว่าภายหลังก็ได้เปลี่ยนระบบเกมทั้งหมดมาเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยอิงแนวทางจากเกม Alone in the Dark ที่เคยปูทางมาไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งเผยว่ามุมมองแบบบุคคลที่ 1 นั้นไม่เวิร์คในแง่ของการพัฒนาในยุคนั้นเท่าไหร่นัก

- เวอร์ชั่น Director's Cut จะมีการเพิ่มโหมด Advanced และ Training เข้ามา โดยโหมด Training จะเป็นโหมดสำหรับผู้เล่นที่เพิ่งจะหัดเล่นเกมแนวนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งกระสุนที่หาเก็บได้ในเกมจะได้ปริมาณเบิ้ลเป็น 2 เท่าทั้งหมด เรียกได้ว่ามีให้ยิงเล่นกันเหลือเฟือเลย แถมศัตรูก็แทบไม่มีความอึดด้วย โดนยิงไม่กี่นัดก็ตายแล้ว ขณะเดียวกัน โหมด Advanced ก็จะเป็นโหมดที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้เล่น โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือมุมกล้องในแต่ละห้องที่ถูกจัดวางตำแหน่งใหม่ พร้อมทั้งเสื้อผ้าเริ่มต้นของคริส, จิล และรีเบคก้าก็จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบ ตลอดจนตำแหน่งของไอเทมที่หาเก็บได้ในเกม รวมถึงชนิดและจำนวนของศัตรูในห้องต่างๆ ก็ถูกเปลี่ยนทั้งหมด ส่วนเวอร์ชั่น Dual Shock Edition ที่วางจำหน่ายตามมาทีหลังก็ได้เพิ่มฟีเจอร์ของการสั่นและการใช้อนาล็อกของจอย DualShock เข้ามาอีกที (ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น โหมด Advanced จะใช้ชื่อ Arranged และโหมด Training จะใช้ชื่อ Beginner แทน)

- นอกจากลงให้กับเครื่อง PS1 แล้ว ตัวเกมยังมีลงให้กับเครื่อง Sega Saturn ด้วย โดยมีการเพิ่มมินิเกมที่ชื่อว่า Battle Game ซึ่งจะเป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นตะลุยห้องต่างๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับจัดการศัตรูให้หมด แถมด้วยศัตรูหน้าใหม่ที่ไม่เคยปรากฎในเวอร์ชั่นอื่นอย่าง ซอมบี้เวสเกอร์ และ ไทแรนท์ร่างสีทอง

ลิสต์ความลับต่างๆ ของเกม Resident Evil

- หากผู้เล่นเคลียร์เกมโดยรอดมาพร้อมกับคนที่เป็นคู่หูได้สำเร็จ (ถ้าเล่นเป็นคริส คู่หูคือรีเบคก้า ถ้าเล่นเป็นจิล คู่หูจะเป็นแบร์รี่) ก็จะได้รับกุญแจห้องเสื้อผ้าในการเล่นรอบถัดไป โดยกุญแจนี้สามารถนำไปไขห้องลับที่อยู่ในซอกด้านหลังห้องรูปปั้นที่เก็บแผนที่ชั้น 1F ของคฤหาสน์ได้

- ถ้าผู้เล่นสามารถเคลียร์เกมโดยใช้เวลาน้อยกว่า 3 ชั่วโมง ก็จะได้รับปืน Rocket Launcher มาใช้ในการเล่นรอบถัดไปตั้งแต่ต้น และมีกระสุนให้ใช้ไม่จำกัดจำนวน

- ในเวอร์ชั่น Director's Cut หากผู้เล่นเคลียร์เกมในโหมด Advanced โดยรอดมาพร้อมกับคู่หู ก็จะได้รับปืนแม็กนั่มแบบกระสุนไม่จำกัดมาใช้ในการเล่นรอบถัดไป

- ที่หน้าจอไตเติ้ลเลือกโหมดของเวอร์ชั่น Director's Cut ถ้าผู้เล่นเลื่อนไปที่หัวข้อ Advanced แล้วกดปุ่มขวา (ปุ่มทิศทาง) ค้างไว้จนชื่อโหมดเปลี่ยนเป็นสีเขียว เมื่อเข้าโหมด Advanced ไป กระสุนที่เก็บได้ในเกมจะได้เพิ่มเป็น 2 เท่าทันที

- เวอร์ชั่น Director's Cut จะมีบั๊กอยู่อย่างหนึ่งครับ นั่นก็คือเมื่อผู้เล่นได้นำเพชรสีแดงไปใส่ดวงตารูปปั้นเสือ รูปปั้นจะเลื่อนออกให้เห็นกระสุนแม็กนั่มจำนวน 3 ชุด ตรงนี้ให้ผู้เล่นหยิบกระสุนมาแค่ 2 ชุดพอ จากนั้นก็ออกห้องแล้วกลับเข้ามาใหม่ จะเห็นว่ามีกระสุนแม็กนั่มกลับมาเป็น 3 ชุดเหมือนเดิม โดยผู้เล่นสามารถปั๊มกระสุนแม็กนั่มตรงนี้ได้จนกว่าจะพอใจเลยครับ

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

อยากเป็นคนที่ถูกหวย จะได้รวยกว่าถูกรัก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ