"GTA เป็นเกมที่ถูกแบนในสหรัฐอเมริกา ถ้าใครเจอลูกหลานเล่นอยู่ให้เผาทิ้งเลย" ผู้ประกาศข่าวสาวท่านหนึ่ง
เป็นเรื่องกันขึ้นมาอีกครั้งครับสำหรับประเทศนี้กับกรณีที่มีข่าวผู้ร้ายทำผิดแล้วกล่าวโทษเกม GTA หรือ Grand Theft Auto ซึ่งจะว่าไปนี่คือครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจจำได้ มันหลายครั้งจนบางครั้งก็คิดว่าควรจะชินชากันเสียที ทว่าอาจเพราะด้วยสถานะทางสังคมของคนเล่นเกมนั้นมักถูกมองติดลบมาโดยตลอด เริ่มจากสถาบันครอบครัวที่มองว่าเกมคือ 1 ในตัวบ่อนทำลายผลการเรียนของลูกรัก ตามมาด้วยครูและอาจารย์หลายๆ ท่านที่ก็มักจะมีมุมมองไม่ต่างกับผู้ปกครองเด็กเช่นกัน ซึ่งเมื่อ 2 สถาบันที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากที่สุดลงความเห็นว่าเป็นเช่นนั้น มันจึงอาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากเกมเมอร์เด็กๆ หลายคนรู้สึกเก็บกดอยู่ในใจประหนึ่งกลายคล้ายเป็นเบี้ยล่างที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียงในการโต้แย้งแทนสิ่งที่ตัวเองชอบ ตามบริบทของสังคมไทยที่มักจะพรํ่าสอนว่าเด็กไม่ควรโต้เถียงผู้ใหญ่
ฉะนั้นเมื่อขั้วตรงข้ามกันอันถูกมองว่าเป็นอวตารของคำว่า "ผู้ใหญ่" ในสังคม เกิดพลาดขึ้นมาบ้าง ชาวเกมเมอร์ที่อดรนทนอยู่นานจึงพากันลุกฮือแสดงตัวและพยายามโชว์ "พลัง" ที่พวกตนมีเข้ารุมสกรัมนักข่าวสาวผ่านช่องทางหลักอย่างโลกโซเชี่ยลทันทีจนท้ายที่สุดผู้พลาดยอมขอโทษและทางช่องก็ออกแถลงการณ์มาเป็นลายลักษณ์อักษร
แต่ก็ดูเหมือนว่าจากความขุ่นเคืองอันคุกรุ่นเมื่อวันวานจะมีมากเกินไปหรือไม่อย่างไรทำให้เหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าเกมเมอร์ยังคงไม่ยอมหยุด การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบโลนรุนแรงยังคงมีมาเรื่อยๆ พร้อมคำเรียกร้องฝ่ายผิดให้ลงโทษ "คนผิด" กันในระดับที่ออกจะ "ลํ้าเส้น" เกินไปสักหน่อย
เรากำลังงัดความก้าวร้าวที่เรามักปฏิเสธออกมาใช้รึเปล่า?
เรากำลังเรียกร้องความจริงหรือล่าแม่มดอยู่กันแน่?
และที่สุดแล้วนอกจากคำขอโทษกับแถลงการณ์ สังคมคนเล่นเกมได้อะไรจากเหตุการณ์คราวนี้บ้าง?
สิ่งที่ได้รับ
เราต้องยอมรับครับว่าจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาและอีกหลายๆ เคสที่เคยเกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ทำให้ผู้ใหญ่และสังคมไทยมองเกมเปลี่ยนไปเลย เกมก็ยังถูกมองในด้านลบเหมือนเดิม คนที่ไม่ได้เล่นเกมก็ไม่ได้สนใจมันเหมือนเดิม ในทางกลับกันการรุกไล่แบบ "ได้ใจ" เกินไปของชาวเกมเมอร์ก็รังแต่จะสร้างภาพลักษณ์ด้านลบให้แก่สังคมเกมเท่านั้น
นอกจากความสะใจที่ได้ไล่กดอีกฝ่ายให้ปราชัยแล้วที่เหลือก็แลดูจะว่างเปล่าเหลือเกิน
จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ผู้ประกาศข่าวสาวก็ถือว่าผิดในแง่การนำเสนอข้อมูลและการใส่อารมณ์เกินพอดีซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนรู้สึกราวกับโดนสะกิดติ่งจนอยู่นิ่งไม่ได้ แต่เราเองก็ดันทำในสิ่งเดียวกันกลับไป ถ้าจะยึดหลัก "ทำมาทำกลับไม่โกง" เกมเมอร์อย่างเราเองก็มีแต่เสียเปรียบเท่านั้น
นอกจากนี้พวกเรารู้จักพลังของโซเชี่ยลดี แต่เราก็ไม่ได้ใช้มันให้ถูกทาง การท้วงติงสามารถเกิดขึ้นได้ แค่เลือกใช้วิธีการอันเป็นสุภาพชนและผู้มีอารยะบอกกล่าวกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องแรงใส่ก็สามารถกดดันอีกฝ่ายให้แก้ไขได้เช่นกัน
เขาแรงมาแต่เราหล่อกลับ วินๆ เห็นๆ ครับ
จะพูดให้สวยหรูหรือพลิกลิ้นยังไง GTA และเกมบางเกมก็ยังเต็มไปด้วยความรุนแรง
GTA ไม่ใช่มาริโอ้ที่แค่กระโดดเหยียบหัวศัตรูแล้วมันจะสลายร่างไป เรื่องที่จะต้องทำยังไงนั้นคิดว่าหลายๆ คนคงรู้กันอยู่ ไม่งั้นเกมคงไม่ได้รับ ESRB Rating ที่ เรต M 17+ หรอกครับ เรื่องเกมดีนั้นไม่มีใครเถียงครับ แต่ถ้าจะให้ปฏิเสธเลยว่าเกมนี้ไม่มีความรุนแรงและสิ่งเร้าอยู่ ก็คงไม่ใช่ล่ะครับ ถึงแม้มันอาจจะไม่ถึงขั้นไกปืนที่พอลั่นปุ๊บจะทำให้คนออกไปก่อเหตุเลยก็ตามที
ในสถานการณ์เช่นนี้เราควรทำอะไรบ้าง
สิ่งใดที่มาแบบฉาบฉวยก็มักจะไม่จีรัง เช่นเดียวก็พลุที่พอหมดเสียงดังมันก็จะค่อยๆ จางหายไป ถ้าไม่เมินเฉยให้เรื่องเงียบไป การโต้แย้งแบบสุภาพด้วยข้อมูลที่ถูกต้องก็จะทำให้วงการนี้ดูมืออาชีพและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นครับ
อย่างไรก็ตามทุกๆ สิ่งควรต้องเริ่มจากรากฐานที่มั่นคง การจะสร้างสังคมเกมคุณภาพและได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปนั้นจำเป็นต้องค่อยๆ สร้างจากวันนี้ เราไม่สามารถชี้นิ้วบังคับผู้ใหญ่หลายๆ คนให้ยอมรับเกมได้ หากสิ่งที่เขายังคงเห็นคือเด็กหัวเกรียนด่าทอหรือเล่นเกมซู๊ตติ้งยิงกบาลกันในร้านอินเตอร์เน็ต เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้ใหญ่เองก็ไม่สามารถบังคับเราให้ยอมรับหรือมานั่งดูละครหลังข่าวต่อยผัวแย่งเมีย ตบเมียแย่งผัว ข่มขืนคนชั่วแล้วจะกลายเป็นคนดีได้เช่นกัน
เกมและละครเท่าเทียมกันในฐานะสื่อบันเทิง เพียงแค่มันมากันคนละยุคเท่านั้น
เราชอบของเรา เขาก็ชอบของเขา โทษกันไปโทษกันมาสุดท้ายไม่ก่อเกิดความสร้างสรรค์อยู่ดี ฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ควรเริ่มจากตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ลองสำรวจตัวเราว่าเกมมีอิทธิพลขนาดไหน ถ้ามันทำให้เราถึงกับต้องโดดเรียนหรือโดดงานบ่อยๆ เพื่อไปเล่นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ เราต้องทำให้เกมเป็นเหมือนละคร เป็นสื่อบันเทิงชนิดหนึ่งที่มีไว้ผ่อนคลายและไม่ได้มีอิทธิพลด้านลบกับชีวิตมากมาย ให้พูดอย่างง่ายๆ เลยก็คือเล่นเกมโดยที่การงานและการเรียนไม่ได้รับผลกระทบหรือผลเสียครับ เพราะท้ายที่สุดสุดแล้วหากเราไม่ได้เป็นแคสเตอร์ หรือนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพ คุณค่าของเราก็จะถูกวัดด้วยการงานและการเรียนอันถือเป็นหน้าที่ "หลัก" ของเราอยู่ดี
แนะนำให้เข้าไปลองอ่านการทำตัวเป็นเกมเมอร์ที่ดีได้เพิ่มเติมจากบทความ "5 สิ่งที่เกมเมอร์ควรทำถ้าอยากให้ผู้ใหญ่เข้าใจคำว่า 'เกม'" ครับ
ยอมรับเพื่อจะเดินหน้าต่อไป
จะเห็นได้ว่าตลอดบทความนี้ผมใช้คำว่า "เรา" ในลักษณะเหมารวมคนทั้งวงการ ซึ่งก็จริงอยู่ว่าคนเล่นเกมแต่ละคนนั้นไม่ได้เหมือนกันสักทีเดียว บางคนอาจจะอยากให้แยกแยะในวันที่มีเรื่องแย่ๆ เข้ามา ทว่าก็อย่าลืมนะครับว่าทุกๆ ครั้งที่มีคนจากวงการเกมบ้านเราสร้างชื่อเสียงหรือคุณประโยชน์แก่ประเทศ เราก็มักจะเคลมกันอยู่ตลอดว่านี่แหละคือความสุดยอด "ของวงการเกมไทย" อะไรเทือกนั้น เราต้องยอมรับให้ได้ว่าเกมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และควรเก็บเกี่ยวประโยชน์จากข้อดีมาชูเพื่อหักล้างกับข้อเสีย ดีกว่าการปัดสวะทิ้่งไปวันๆ พร้อมชาบูว่าเกมนั้นดีเลิศทุกอย่างทั้งๆ ที่เราก็เห็นกันอยู่ทนโท่ว่ามันเป็นยังไงครับ
"ถ้าเกมเมอร์ไม่เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ สังคมก็ยังไม่มีอะไรต้องแคร์กลับเช่นกัน"