เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้คำว่า ”ดราม่า” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมและผู้คนปัจจุบันแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะหลบหนีไปที่ไหนก็จะต้องพบเจอกับดราม่าอย่างน้อยเรื่องสองเรื่อง และไอ้เจ้าดราม่านี่ก็ดันแฝงตัวอยู่คู่กับทุกวงการซะด้วยสิ ซึ่งวงการเกมเองก็ใช่ว่าจะหนีพ้นซะที่ไหน...
แต่เดี๋ยวก่อน... เนื้อหาในบทความนี้ไม่ได้จะกล่าวถึงดราม่าตีกันเล่นๆ ในวงการเกมแต่อย่างใด แต่เราจะมาพูดถึงดราม่ายักษ์ใหญ่ระหว่างค่ายเกมต่างๆ ที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสซะจนต้องขึ้นไปฟัดกันต่อบนชั้นศาล และเดิมพันกันด้วยเงินเป็นนับสิบหลักเลยทีเดียว
ว่าแล้วก็หยิบกล่องป็อบคอร์นมาตั้งไว้ข้างๆ แล้วพลิกหน้าหนังสืออ่านต่อกันเลยดีกว่า
คดีที่ 1 Universal vs. นินเทนโด – สงครามชิงลิงคิงคอง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1984 ในขณะที่ Nintendo กำลังนอนกินขนมอยู่ดีๆ จู่ๆ ทาง Universal ค่ายหนังตัวเป้งก็โทรสายด่วนเข้ามาพร้อมกับหมายศาล หาว่าเจ้าลิง ”Donkey Kong” ของนินเทนโดดันไปลอกเลียนแบบเจ้าลิงยักษ์ “คิงคอง” ภาพยนตร์ที่ Universal ถือลิขสิทธิ์อยู่ซะงั้นแต่แทนที่ศาลจะเข้าข้าง Universal กลายเป็นว่าชัยชนะในการรบในครั้งนี้กลับตกเป็นของนินเทนโดไปซะนี่ เนื่องจากแม้ตัวละครทั้งคู่จะดูคล้ายกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ในหลายๆ ด้าน ซ้ำร้าย Nintendo ยังตอกกลับ Universal ไปเจ็บๆ ด้วยว่า ไอ้เจ้าคิงคองอะไรนั่นน่ะถือว่าเป็นทรัพย์สินสาธารณะไปตั้งนานแล้วตะหาก(โว้ย!)
สุดท้าย Universal จึงต้องคอตกกลับบ้านไปตามระเบียบ แถมนินเทนโดยังเก็บเอาความประทับใจในตัวทนายความฝ่ายตนเองมาตั้งเป็นชื่อตัวละครตัวหนึ่งในเกมด้วย โดยชื่อของทนายคนนั้นก็คือ John Kirby นั่นเอง
โฉมหน้าลิงเจ้าปัญหา
คดีที่ 2 Silicon Knight vs. Epic Games – เอนจิ้นใคร ใครก็หวง
หลังจากทุกข์ระทมกับยอดขายของเกม Too Human ค่ายเกม Silicon Knights ที่ไม่รู้จะโทษใคร จึงตัดสินใจป้ายความผิดทั้งหมดให้กับ Epic Games สตูดิโอเจ้าของเอนจิ้นนามกระฉ่อนอย่าง Unreal Engine โดยหาว่า Epic Games ดันกั๊กของ ไม่ยอมส่ง Unreal Engine ที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาเกม Too Human มาให้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งถือเป็นการละเมิดสัญญาอย่างร้ายแรง ส่งผลให้เกม Too Human ออกวางจำหน่ายได้ช้ากว่าเดิม แถมยังทำให้บริษัท Silicon Knights เกิดงบประมาณบานปลายจากการที่ต้องสร้างเอนจิ้นใช้เองอีกด้วย เท่านั้นไม่พอ Silicon Knights ยังอ้างเพิ่มเติมด้วยว่าทาง Epic Games ดันเก็บลูกเล่นเด็ดๆ ของ Unreal Engine เอาไว้ใช้แต่กับเกมของค่ายตัวเองอีกตะหาก!
เมื่อโดนจู่โจมเป็นชุดแบบนั้น Epic Games ก็ใช่ว่าจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ได้ เจ้าตัวเลยโต้ Silicon Knights กลับในทันทีว่าทาง Silicon Knights เองนั่นแหละที่ละเมิดกฎการใช้ Unreal Engine ตามที่ระบุไว้ในสัญญา!
และแล้ว หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่นาน ผลการตัดสินของศาลก็ระบุให้ Epic Games เป็นฝ่ายชนะคดีในที่สุด และมีคำสั่งให้ Silicon Knights เรียกแผ่นเกมที่มีการใช้ Unreal Engine คืนจากแผงทั้งหมดและทำลายทิ้งเสียให้ราบ รวมไปถึง Too Human, X-Men Destiny และเกมใหม่ๆ ที่สิ้นชื่อตั้งแต่ยังไม่ทันประกาศ นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งให้ทางค่าย Silicon Knights ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินมหาศาล ส่งผลให้ค่ายนี้ถึงกับล้มละลายเลยทีเดียว
คดีที่ 3 Immersion vs. โซนี่ - ศึกนี้มีสั่น
ศึกสั่นสะเทือนปฐพีในครั้งนี้เริ่มจากที่ Immersion เจ้าของลิขสิทธิ์ลูกเล่นการ “สั่น” ยื่นเรื่องฟ้องศาลว่าทั้งโซนี่กับไมโครซอฟท์ได้ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ในข้อนี้ โดยนำลูกเล่นการสั่นไปใช้ในจอยของตัวเองโดยไม่ได้ขออนุญาต (ส่วนนินเทนโดรอดตัวไปได้เนื่องจากอ้างว่าระบบการสั่นของตนนั้นเป็นคนละแบบกัน)
ไมโครซอฟท์ตัดสินใจยอมแพ้คดีง่ายๆ และยอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับ Immersion เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่ทว่าโซนี่ตัดสินใจที่จะสู้ต่อ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะแพ้คดีและต้องยอมชดใช้ค่าเสียหายก็ตาม
ทว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี ทาง Immersion กับโซนี่ก็ได้ตัดสินใจร่วมงานกัน ส่งผลให้จอยเครื่อง PlayStation สั่นสะท้านมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
คดีที่ 4 Los Angeles vs. Take-Two Interactive - Mod ตัวร้ายกับนาย Rockstar
เป็นเรื่องราวใหญ่โต หลังจากที่มีนัก Mod มือดีได้ทำการปล่อย Mod ปลดล็อคมินิเกมสุดโจ๋งครึ่มภายในเกม Grand Theft Auto: San Andreas ซึ่งเป็นมินิเกมที่ให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปเล่นบทรักอันร้อนแรงของพ่อหนุ่ม CJ ได้ ร้อนไปถึงเหล่าสมาคมผู้ปกครอง องค์กรและสถาบันต่างๆ มากมายใน LA ที่แทบจะกระโดดออกมาเรียกร้องให้ ESRB (หน่วยงานที่คอยจัดเรตของเกมต่างๆ) พิจารณาจัดเรทของตัวเกมใหม่แทบไม่ทัน
ทาง Rockstar ผู้พัฒนาเกมซีรีส์ GTA ถูกรุมเข้าไปแบบนี้ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กล่าวเสียงอ่อยๆ ว่าพวกเขาได้ใส่ฉากร่วมเพศดังกล่าวเข้าไปในตัวเกมจริง แต่จะให้ผู้เล่นได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น ซึ่งพอทางคณะกรรมการควบคุมการค้าของสหรัฐอเมริกา (FTC) ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็จัดการออกคำสั่งให้ทาง Take-Two และ Rockstar สร้างตัวอัพเดทใหม่เพื่อลบข้อมูลในส่วนดังกล่าวออกทันที และให้ทำการล็อคโค้ดเกมไม่ให้มีใครเข้ามาเล่นอะไรแผลงๆ ได้อีก นอกจากนี้ทาง Take-Two ยังต้องเรียกแผ่นเกมที่กำลังวางขายและอยู่ในขั้นตอนการผลิตคืนทั้งหมด และปล่อยตัวเกมเวอร์ชั่นใหม่ออกมาให้เล่นกันแทน และยังโดนขู่อีกว่า ถ้าหากพบตัวเกมไหนที่ยังมีฉากดังกล่าวอยู่อีก ก็จะถูกเปลี่ยนเรตจาก M ไปเป็น Adult Only ทันที แถมยังต้องจ่ายค่าปรับอีกบานเบอะ งานนี้พูดได้เลยว่า Take-Two ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ
คดีที่ 5 Keller & Hart vs. Electronic Arts - เมื่อเกมกีฬาไม่ใช่ยาวิเศษ
หากพูดถึงเกมในเครือ NCAA ก็คงพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นเกมกีฬาที่ถือเป็นตัวกอบโกยกำไรสำหรับค่าย EA เลยทีเดียวซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือเหล่านักกีฬาหล่อล่ำทั้งหลายที่มีส่วนช่วยโปรโมตเกมไปด้วยในตัวนั่นเอง
แต่เกมดังก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งอุปสรรคขวากหนาม เนื่องมาจาก EA นั้นสร้างตัวละครในเกมทุกตัวขึ้นมาจากนักกีฬาที่ ”มีชีวิต” อยู่จริงๆ ดังนั้นเหล่านักกีฬาหลายคนอาทิเช่น Sam Keller หนึ่งในกองหลังทีมอเมริกันฟุตบอล หรือแม้แต่ Ryan Hart เอง จึงพากันลุกขึ้นโจมตี EA ในข้อหาเดียวกันว่า “ไหงจู่ๆ ถึงเอาชื่อกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขาไปใช้โดยไม่ขออนุญาตก่อนล่ะเฮ้ย!”
ศึกในครั้งนี้จบลงด้วยความเสียหาย (ไม่) เล็กน้อยของ EA เนื่องจากพี่แกต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าตัวให้กับนักกีฬาที่มีชื่ออยู่ในเกมทั้งหมดตามที่ได้ตกลงไว้บนชั้นศาล แถมความซวยยังมาเยือนซ้ำ เมื่อลิขสิทธิ์ที่ได้ทำไว้กับทาง NCAA ก็กำลังจะหมดเอาในปีนั้นเช่นกัน แถมพี่ท่านเล่นปิดปากสนิทไม่ยอมพูดถึงเรื่องต่อสัญญากับ EA เลยเนี่ยสิ... ก็ถือว่าฟาดเคราะห์กันไปแล้วกันนะ EA
คดีที่ 6 State Council of California vs. Entertainment Merchants Association - ถ้าเกมมันแรงฉันจะแบนนะยะ!
สำหรับคดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่เกือบพลิกโฉมวงการเกมได้เลยทีเดียว เมื่อจู่ๆ รัฐแคลิฟอร์เนียก็เกิดนึกครึ้มเสนอร่างกฎหมายควบคุมการขายวิดีโอเกมซะเฉยๆ โดยเนื้อหาของตัวกฎหมายนั้นระบุไว้ว่า ต้องการให้จำกัดการขายเกมที่มีความรุนแรงกับเด็กและเยาวชนอย่างเคร่งครัด หากอายุไม่ถึงห้ามเล่นเด็ดขาด ซึ่งต่างจากวิธีเดิมที่เหล่าค่ายเกมต่างๆ พากันส่งเกมให้ ESBR เป็นฝ่ายจัดเรตติ้งที่เหมาะสมให้
คนที่เดือดร้อนในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เหล่าเด็กๆ แต่อย่างใด แต่เป็นเหล่าอุตสาหกรรมผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเกมและซอฟท์แวร์เพื่อความบันเทิงทั้งหลาย ที่ต่างออกมายื่นเรื่องค้านกฎหมาย ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเต็มที่จนเรื่องไปถึงหูของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ เลยทีเดียว
เรื่องราวดูท่าจะไม่จบง่ายๆ ศาลเลยต้องตัดสินใจใช้วิธีการลงคะแนนโหวต ซึ่งชัยชนะก็ตกเป็นของฝ่ายคัดค้านด้วยคะแนน 7 ต่อ 2 โดยศาลให้เหตุผลมาว่า วิดีโอเกมเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากสื่อภาพยนตร์หรือวรรณกรรมอื่นๆ ดังนั้นเกมเองจึงควรได้รับสิทธิเสรีภาพทางด้านการแสดงออกเหมือนกัน แถมหลักฐานที่จะใช้บ่งชี้ว่า “การเล่นเกมนั้นมีผลทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น” ก็ยังไม่หนักแน่นพอจะใช้อ้างได้ด้วย
งานนี้ทางอุตสาหกรรมเกมและผู้เล่นเลยเฮไปตามๆ กัน
คดีที่ 7 Atari vs. นินเทนโด – แผนปล้น NES
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นินเทนโดยังเป็นเจ้าพ่อเกมตลับอยู่ หลายๆ คนอาจยังจำเจ้าเครื่องฟามิคอม (NES) กันได้อยู่ ซึ่งทางปู่นินก็ดันหวงเจ้าเครื่อง NES นี้มาก ถึงขั้นที่ว่าทุกๆ เกมที่จะได้ปรากฏโฉมบนเครื่อง NES จะต้องได้รับคำอนุมัติ และต้องได้รับโค้ดปลดล็อคจากนินเทนโดซะก่อน ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้เล่นนะตัวเธอว์
เรื่องมันมาเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ บริษัท Atari ที่เคยเป็นพันธมิตรกับนินเทนโดอย่างดีมาโดยตลอด เกิดนึกอยากลองผลิตเกมออกมาขายเองโดยไม่ผ่านนินเทนโดบ้าง แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องโค้ดปลดล็อคที่ว่าอยู่ดี สุดท้ายก็คิดไม่ตก ทาง Atari เลยจัดการ Reverse Engineering แยกชิ้นส่วนเครื่อง NES เพื่อค้นหาฟังก์ชั่นการทำงานของเจ้าโค้ดตัวปัญหานี้และดัดแปลงซะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการ “แฮ็ค” นั่นเอง จากนั้นก็ฟ้องนินเทนโดในข้อหาผูกขาดทางการค้าซะเลย
แต่ท่าทางศาลจะรู้ทันกลโกงของ Atari เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ศาลก็ตัดสินให้ Atari แพ้คดีทันที โดยให้เหตุผลว่า Atari นั้นใช้วิธีการต่อสู้โดยไม่ชอบธรรม แถมยังหลอกสำนักงานลิขสิทธิ์เรื่องโค้ดดังกล่าวซะด้วย (ก็แหงล่ะ ไปฉกของเขามานี่นา)
คดีนี้สอนให้รู้ว่า “เล่นกับใครก็เล่นไป แต่อย่ามาแหยมกับปู่นิน”
คดีที่ 8 นินเทนโด vs. Blockbuster ถึงคราวเศร้าร้านเช่าเกม
เรื่องนี้เริ่มจากร้านเช่าเกมนาม Blockbuster ที่ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกนินเทนโดยื่นฟ้องในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ซะงั้น เหตุก็เพราะร้านเช่าเกมดังกล่าวได้จัดทำคู่มือการเล่นเกมและแจกจ่ายให้กับผู้เช่าด้วยเท่านั้นทาง Blockbuster ที่ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ด้วยจึงยอมรับผิดอย่างง่ายดาย และต้องหยุดแจกจ่ายคู่มือการเล่นทั้งหมดทันที
หลายๆ คนอาจจะเริ่มคิดแล้วว่า “กับแค่คู่มือประกอบการเล่น มันจะอะไรกันนักหนา!” แต่ช้าก่อน การที่นินเทนโดออกตัวขึ้นโรงขึ้นศาลถึงขั้นนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามถึงขั้นก็อปแผ่นผีเล่นกัน เพราะจะเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลังแน่นอน
บทความโดย Darkereus จากหนังสือ Play ฉบับที่ 64 เดือนตุลาคม ปี 2557