Review : Alice Madness Return การหวนคืนของความวิปลาสในวันเดอร์แลนด์

แชร์เรื่องนี้:
Review : Alice Madness Return การหวนคืนของความวิปลาสในวันเดอร์แลนด์

ห่างหายไปนานกับการรีวิวเกมนะครับ ซึ่งเมื่อครั้งกระโน้นล่าสุด ผมได้รีวิวเกมพระราชาเก็บเห็ด (ซิมยุคกลาง) ไปแล้ว และหลังจากเข้าทางสายมืดมิดมายาวนาน วันนี้ ผม Barrettez ก็จะกลับมารีวิวเกมอีกครั้งนึงครับ ^^
เกมที่ผมจะนำมารีวิวในครั้งนี้ คิดว่าเพื่อนๆ คงจะคุ้นๆ หรืออาจจะเห็นเจ๊ por_kk ของเราเข้ามาอวยอยู่เป็นครั้งคราว ซึ่งนั่นก็คือ Alice Madness Return นั่นเองครับ

ใครไม่รู้จักหนูอลิซ บ้างยกมือขึ้น ?
เกมนี้ ว่ากันตามตรงแล้ว ค่อนข้างดักแก่พอสมควรครับเพราะเกมนี้เป็นภาคต่อของเกม American McGee's Alice ที่เคยวางขายเป็น เกม PC เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2000 นั่นเอง เพื่อนๆ ที่เพิ่งเคยเห็น Madness Return ก็อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเกมที่เพิ่งสร้างนะครับ

สำหรับ Alice Madness Return เวอร์ชั่น PC นั้น ทางทีมงานได้ทำการเพิ่มเกม American McGee's Alice ลงไปด้วย เผื่อมีเพื่อนๆ คนไหนที่คิดถึงอยากกลับไปเล่น หรือแม้แต่เพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อน และอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดของภาคแรก
ส่วนเวอร์ชั่น XBOX360 และ PS3 เพื่อนๆ สามารถนำ Code ที่แถมมากับตัวเกมแผ่นแท้ ไปดาวน์โหลดภาคแรกมาเล่นได้เช่นกันครับ

เอาล่ะ มาเริ่ม Review กันเลยดีกว่าครับ
อย่างที่ผมพูดไปก่อนแล้ว ว่าเกม Alice Madness Return นี้ เป็นภาคต่อจาก American McGee's Alice ที่ทิ้งช่วงมากว่า 11 ปี ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมเอง ก็เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เธอได้เข้าไปรักษาตัวต่อในสถานบำบัดหลังจากภาคแรก 11 ปีเช่นกัน อาการภาพหลอนยังคงตามติดเธอมาตลอด ถึงแม้จะเข้ารักษามานานแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เธอดีขึ้นเลย จนเธอต้องกลับไปยังโลกวันเดอร์แลนด์อีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดี๋ยว ที่เธออยู่แล้วสบายใจได้และทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นได้

เนื้อเรื่องของเกมยังคงเป็นการผจญภัยในโลกวันเดอร์แลนด์ ที่กลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง เนื้อเรื่องของภาคนี้ จะมีปริศนาและความซับซ้อนของการผูกเนื้อเรื่องเพิ่มมากขึ้น ชวนให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญคือในภาคนี้ จะมีความทรงจำของอลิซที่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้เก็บเพื่อรับรู้ถึงเนื้อเรื่องและภูมิหลังต่างๆ ของอลิซ ทั้งในภาคแรก และภาค 2 อีกด้วยครับ แล้วขอบอกครับ ว่าเนื้อเรื่องภาคนี้ จัดว่ายาวมากเลยทีเดียว (Chapter 1 เล่น 5 ชั่วโมงยังไม่จบเลยล่ะครับ >_<)

ระบบเกมเพลย์
ภาคนี้ยังคงเลือดท่วมเหมือนเคยครับ แต่ดูดีขึ้นกว่าเก่าเยอะ (แหงละ เกือบ 11 ปีแล้วนี่หว่า) ไม่มีการถือมีดวิ่งไปฟันทหารไพ่แบบวืดๆ อีกต่อไปแล้วครับ (เย้ๆๆๆ) จำได้ว่าตอนเล่นภาคแรกนี่กว่าจะฟันทหารโดน เลือดผมก็เหลือครึ่งหลอดแล้วเพราะมันอาวุธยาวกว่า >_<

ในภาคนี้ ได้มีการเพิ่มระบบ Focus ลงไปด้วย ทำให้เราสามารถล็อคเป้าศัตรูได้อย่างแม่นยำ มั่นใจว่าเล็งแต่ศัตรูตัวนี้แบบชัวร์ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะดีนะครับ ข้อเสียมันก็มีเหมือนกัน แถมเป็นปัญหาหลักเลยด้วย เพราะกล้องจะบนบลง และจับภาพเน้นไปที่เรากับมอนสเตอร์ตัวนั้น ซึ่งยิ่งเราเข้าใกล้มาก ภาพก็ยิ่งซูมใกล้เข้าไปอีก เป็นปัญหาเวลาสู้กับแก๊งมอนสเตอร์ที่แห่มาสหบาทาเราเป็นอย่างมาก ยิ่งใช้อาวุธประชิดจะแทบไม่เห็นมอนสเตอร์ตัวอื่นเลยล่ะครับ (และสุดท้าย ผมก็รำคาญจนไม่ Focus แล้วหันมาโจมตีปกติแทนดีกว่า)

เล็งไปเล็งมา ตัวอื่น ที่ไม่ได้เล็งจะเข้ามาตีโดยไม่รู้่ตัว >_<

การบังคับตัวละครในภาคนี้ก็ดีขึ้นกว่าภาคก่อน ที่การเคลื่อนไหวไหลลื่นจัดจนลื่นตกขอบทางบ่อยมาก ปัญหาพวกนี้หมดไปครับ ส่วนเรื่องปุ่มบังคับ ผมค่อนข้างมีปัญหากับมันตรงที่ต้องกด Caps Lock เวลา Focus ศัตรู หากเดินๆ สู้ๆ ไปด้วย ผมต้องรวมพลังเกร็งไปที่ปลายนิ้วก้อยเพื่อไปกด Caps Lock ซึ่งมันทรมานมาก จึงตัดปัญหาโดยการเปลี่ยนปุ่มมันซะเลย นอกจากนี้ยังมีปุ่มหลบที่ต้องเกร็งนิ้วกด Shift เหมือนกันผมก็สลับกับปุ่ม Ctrl ซึ่งบังคับเวลาสู้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ นอกนั้นการบังคับตัวละครสำหรับผมก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่รู้ว่าบนเครื่อง Console จะมีปัญหาแบบนี้กันหรือเปล่า >_<

อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบมากเลยก็คือ ระบบฮิสทีเรีย (มันอ่านอย่างนี้จริงๆ นะ) ซึ่งจะใช้ได้เมื่ออลิซใกล้ตาย ใช้แล้วเหมือนระเบิดพลังคอสโม่ พลังโจมตีเพิ่มชึ้นมหาศาล แถมไม่เจ็บตัวอีกด้วย (โกงเป็นบ้าเลย) ซึ่งผมคาดว่าเป็นระบบที่เพิ่มเข้ามาเพื่อไม่ให้เกมยากจนเกินไปก็ได้ครับ

Shrink หรือที่ผมเรียกว่า อลิซสะอึกก็เป็นอีกโหมดของอลิซที่ช่วยไขปริศนา, หรือชี้ทางลับไปเก็บไอเทมลับต่างๆ และแม้แต่แป้นลอยล่องหน ก็สามารถมองเห็นได้ครับ

อาวุธ และอุปกรณ์ของภาคนี้ ครบเครื่องจริงๆ ครับ ตั้งแต่ระยะใกล้ กลาง ไกล บล็อค หลบ ทำให้การต่อสู้ดูหลากหลายและพลิกแพลงได้มากยิ่งขึ้นครับ ที่สำคัญคือการโจมตีของอลิซภาคนี้ ดูรุนแรงและหนักหน่วงมากเลยทีเดียว

 และที่เกมแนวแอคชั่นสมัยนี้นิยมมีกัน นั่นก็คือ การอัพเกรดอาวุํธครับ หากเพื่อนๆ อยากฟาดฟันด้วยเอฟเฟคอาวุธอลังการแบบด้านบน ต้องอัพเกรดอาวุธก่อนด้วยนะครับ ^^

นอกจากนี้ ในเกมยังมี Puzzle ท้าทายผู้เล่นอยู่บ้าง ซึ่งก็ทำให้เกมไม่ดูซ้ำซากจำเจจนเกินไป มีทางแยกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนชอบสำรวจ และไล่เก็บ Collection มากมาย ซึ่งผมคิดว่าเกมนี้เก็บพวก Collection ค่อนข้างง่ายนะครับ รวมไปถึงมินิเกม ที่สอดแทรกเข้ามาในเนื้อเรื่อง ก็เล่นเพลินดีครับ

คาแรคเตอร์ ภาพ และ เสียง
ยอมรับเลยครับว่าเห็นอลิซภาคนี้ แวบแรก ผมก็ชอบขึ้นมาทันที เพราะออกแบบได้สวยกว่าเดิมมาก (หรือเพราะอลิซโตขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้)

พวกมอนสเตอร์เองก็หลากหลายและละเอียดมากขึ้น รวมไปถึงฉากต่างๆ ที่สวยงามแฟนตาซีแบบสุดๆ จนบางครั้งผมต้องหยุดดูเป็นอาหารตาอยู่เรื่อย

แต่มีอยู่บ้างที่ผมไม่ชอบ อย่างเช่นช่อง หรือหลืบรูต่างๆ ในฉากที่มองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ แม้รูจะกว้างจนเหมือนกับเดินเข้าไปได้ แต่ก็ผ่านไม่ได้ แม้จะย่อตัวเล็กแล้วก็ตาม (น่าจะทำเป็นอะไรปิดๆ ไปเลยซะยังจะดีกว่า)

ฝั่งตรงข้ามก็มีทางไปต่อนะครับ แต่ทะลุไม่ได้ต้องเดินอ้อมเอา

 เพลงประกอบ ผมว่าดีนะครับ ทีมงานเลือกใช้ได้เข้ากับฉากและสถานการณ์ในเกมในระดับดีเลยล่ะครับ แต่ผมรู้สึกตะงิดๆ ใจกับเสียงเวลาใช้มีดฟันมาก เพราะมัน วิ้งๆ แบบเว่อๆ ชอบกล แต่มองในแง่ดี มันคือแฟนตาซี อะไรก็เกิดขึ้นได้เนอะ รวมไปถึงกำแพงที่มองไม่เห็นเมื่อกี๊ด้วย (ฮาๆ) >_<

ส่วนเสียงพากย์ของอลิซ บางทีก็ดี บางทีก็รู้สึกแปลก ไม่รู้เพื่อนๆ ที่เล่นแล้ว จะรู้สึกเหมือนผมไหม ว่าเหมือนนักพากย์ดัดเสียงเพี้ยนไปมา บางทีก็เสียงดูสาวๆ บางทีก็เสียงเข้มขึ้นน่ะครับ (จากประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับการมิกซ์เสียงพากย์มาก่อน)

สรุปแล้ว
ผมมองแล้วคิดว่าเกมนี้อยู่ในระดับค่อนข้างดีนะครับ (จะดีมาก หากเพื่อนๆ ไม่ซีเรียสกับปัญหาที่ผมพบเจอได้) และผมค่อนข้างชอบโลกแฟนตาซีในวันเดอร์แลนด์ที่สวยงาม ถึงเกมจะยาวและยืด + เนิบ จนอาจจะดูน่าเบื่อไปบ้าง แต่สำหรับผมนั้นเล่นได้เพลินๆ จนแทบไม่อยากให้มันจบลงเลยล่ะครับ

รีวิวเสร็จก็นั่งจิบชา

แถมท้ายด้วยภาพ Official Art Work สวยๆ เอามาฝากกันครับ ^^

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ