สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ก็เจอกันอีกแล้วนะครับ กับผม Barrettez วันนี้จะเปลี่ยนจากการรีวิวเกมมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องประเด็นน่าสนใจกันดูดีกว่านะครับ
วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องเกม และ ภาพยนตร์กันบ้าง เพื่อนๆ เคยรู้สึกไหมครับว่าเกมต่างๆ ที่สร้างมาจากภาพยนตร์ หรือภาพยนตร์บางเรื่องที่สร้างมาจากเกม มักไม่ค่อยถูกใจเพื่อนๆ เองสักเท่าไร ผมก็เป็นเหมือนกันครับ อย่างเกมบางเกมที่ผมชอบมากๆ แต่พอสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์แล้วรับไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น Alone in the Dark, House of the Dead, Blood Rayne เป็นต้น แต่ก็มีภาพยนตร์จากเกม ที่ดูดีอยู่หลายเรื่องเหมือนกันนะครับ อย่าง Silent Hill กับ Final Fantasy : Advent Children นี่ผมก็ชอบมากๆ ซึ่งจากที่ผมสังเกตและติดตามดูจากหลายๆ เรื่องแล้วผมก็เลยลองคิดสรุปดูเล่นๆ ถึงปัจจัยว่าทำไมส่วนใหญ่ถึงได้ FAIL กัน
*หมายเหตุ - ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ ผมบรรยายความ FAIL ในฐานะของเกมเมอร์คนนึง ด้วยความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งหนังบางเรื่องอาจจะเป็นหนังดีสำหรับเพื่อนๆ หรือคนทั่วไปก็ได้นะครับ
1.การคัดนักแสดง
แน่นอนครับ หากเพื่อนๆ เล่นเกมไหนๆ ก็ต้องมีตัวละครในเกมที่เพื่อนๆ ชอบฝังใจอยู่แล้วแน่นอน และส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นตัวเอกของเรื่อง อย่างพระเอกมาดเข้ม, กล้ามโต กับนางเอกสวย, เซ็กซี่, น่ารักน่าหยิก จากในเกม หรือตัวละครที่เพื่่อนๆ ติดตากับคาแรคเตอร์ตายตัวของมันไปแล้ว อย่างเช่น Mario เป็นต้น
ซึ่งเพื่อนๆ ก็คงจะหวังว่า "มันต้องเหมือนเกมสิ ถึงจะใช่" แต่พอคัดนักแสดงออกมาแล้วหน้าตาไม่โดนใจบ้างล่ะ หรือเปลี่ยนบุคลิกของคาแรคเตอร์นั้นๆ ไปเลย ซะจนรู้สึกเหมือนกับว่า มันไม่ใช่เกมที่เคยรู้จัก ยังกับเอาชื่อเกมที่พล็อตเรื่องคล้ายๆ กันมาใช้เพื่อส่งเสริมการขาย อันนี้ก็พอเข้าใจทางทีมงานโปรดิวเซอร์อยู่บ้าง เพราะหากเหมือนไปซะทุกกระเบียดนิ้ว มันก็กลายเป็นหนังคอสเพลย์ไปแน่ๆ
แต่พอเทียบกับหนังตัวแรกของ Street Fighter เมื่อปี 1994 ผมค่อนข้างชอบนะครับ (เฉพาะคาแรคเตอร์เท่านั้น ด้านพล็อตเรื่องก็ห่วยอยู่ดี) เพราะแต่งชุดกันเหมือนเกือบทุกตัวละครเลย (แต่หน้าตาบางคนก็ไม่ใช่)
หรืออย่าง Final Fantasy : Advent Children ที่แก้ปัญหาโดยการทำมันออกมาเป็น CG ไปซะเลย เหมือนเด๊ะจนติเรื่องคาแรคเตอร์ไม่ได้ มันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้น เหมือนดูตัวละครมีชีวิตออกมาจากเกมจริงเลยมากกว่า เพื่อนๆ ว่าไหมครับ ?
2.บทบาท และการแสดงของนักแสดง
บทบาท กับการแสดงออกของนักแสดงก็เป็นอีกส่วนนึงเช่นกัน ไม่ว่าจะกิริยาท่าทาง, นิสัย หรือแม้แต่การแอคท่าของตัวละึคร ซึ่งหากนักแสดงเล่นได้ไม่ถึงนิสัยของตัวละครจริงๆ ก็เป็นธรรมดาครับ ที่คนดู หรือแฟนๆ เกมจะ FAIL กัน หรือแม้แต่การวางบทของตัวผู้กำกับเองก็มีส่วนครับ หากตัวละครในเกมแสดงออกอย่างหนึ่ง แต่บทบาทที่ต้องแสดงกลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของผู้ชมเองด้วยว่าพอใจกับมันมาก - น้อยแค่ไหน
3.พล็อตเรื่อง
เป็นธรรมดา ที่เกมเมอร์และผู้ชมอย่างเราๆ ต้องการชมหนังจากเกมที่มีพล็อตเรื่องน่าสนใจ โดยส่วนใหญ่ที่หวังกันไว้ก็เป็นเนื้อเรื่องที่เหมือนกับเกมเด๊ะๆ นั่นแหละครับ หรือไม่ใช่ก็ขอให้มันเป็นอะไรที่เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักในเกมก็ยังดี และเหตุผลส่วนใหญ่ที่คน FAIL กับหนัง รองจากการคัดนักแสดงกันแล้วก็คือพล็อตเรื่องนี่แหละครับ การจะทำพล็อตเรื่องให้ต่างออกไป ก็จำเป็นต้องคำนึงของ ธีมหลักของเกมด้วย
ยกตัวอย่างเรื่อง Resident Evil ที่ชักจะหมดความสยองขวัญซึ่งเป็นจุดขายสำคัญ มาตั้งแต่ตัวเกมภาค 1 ไปแล้ว ไม่ว่าจะหนังหรือเกมในตอนนี้ กลับเน้นไปที่การแอคชั่นมากกว่าจนหมดความน่ากลัว หรือการเปลี่ยนพล็อตเรื่อง หรือภูมิหลังของตัวละครในหนังซะจนเหมือนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน จนทุกวันนี้ ผมคิดว่าหนังเรื่อง Resident Evil กับเกม เป็นคนละเนื้อเรื่องกันไปแล้ว
4.ฉาก, มุมกล้องและเอฟเฟคต่างๆ
อันนี้มักจะเป็นปัญหาสำหรับหนังจากเกมแนวแฟนตาซี และไซไฟทั้งหลาย หรือจากเกมที่ปล่อยพลังได้ ซึ่งจากที่ผมเห็นๆ มาเรื่องไหนๆ ที่ในเกมตัวเองปล่อยพลังได้เป็นว่าเล่น ในหนังกลับไม่ได้ใช้เลย หรือใช้เพียงท่ากระจอก กี้ๆ อยู่ท่าเดียวครั้งเดียวในการปิดฉาก แม้ในเกมบอสบางตัวโดนท่า กี้ๆ นั้นแล้วเหมือนโดนเต้าหู้ปาใส่ แต่ในหนังนี่โดนแล้วกระเด็นทะลุกำแพงไป 4-5 ชั้น ซึ่งเป็นอะไรที่เกมเมอร์สายแฟนตาซีและไซไฟรับไม่ค่อยได้ ตัวผมเองก็ชอบสายแฟนตาซีเช่นกัน และทุกครั้ง ก็มักหวังว่าจะได้เห็นท่าไม้ตายอลังการ หรือพลังเหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซะอีก
5.การนำลูกเล่นจากเกมมาใช้
หนังบางเรื่อง ก็มีการแฝงลูกเล่นเด่นของเกมนั้นๆ เข้าไปในตัวหนังด้วย ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับคนดูมากเลยทีเดียว อย่างเช่นเรื่อง DOOM ที่มีฉาก First Person Shooting ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว (ถึงศัตรูจะง่ายยังกับ Easy Mode ก็เถอะ) หรืออย่าง Prince of Persia ก็มีฉากปีนป่ายตะกายกำแพงที่เป็นลุกเล่นเฉพาะที่น่าสนใจของเกม มาให้ลุ้นตามไปด้วย ก็สร้างความน่าสนใจให้กับเกมได้อีกเช่นกัน
และในปีถัดๆ ไป จะมีหนังที่สร้างจากเกมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Halo, Gear of Wars, God of Wars, Devil May Cry, Bio Shock, WarCraft, Metal Gear และ อื่นๆ อีกมากมาย (เกมที่ผมชอบทั้งนั้นเลยด้วยสิ) แต่หลังจากที่ผมได้ชม Prince of Persia ที่เป็นหนังจากเกมเรื่องล่าสุดแล้ว ก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรครับ และหวังว่าเกมอื่นๆ ที่จะเอามาทำเป็นหนังต่อๆ ไปนั้นจะทำออกมาได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
และสำหรับโอกาสหน้า ผมจะมาพูดถึง เกมที่สร้างจากหนังกันบ้าง (เพื่อความเท่าเทียม) รอชมกันด้วยนะครับ ^^