หลังจากคราวก่อนที่ผมนำเสนอประวัติของเครื่อง Famicom และ NES ไปแล้วที่ http://www.online-station.net/entertainment/hobby-toys/14 วันนี้ ผม Barrettez ก็กลับมาอีกครั้งตามสัญญา ซึ่งคราวนี้ ผมจะพาเพื่อนๆ มาชมโปรเจ็กต์ปลีกย่อยของทาง Nintendoที่มีทั้ง Win บ้าง Fail บ้าง แต่ผมก็ยอมรับที่ไม่ว่าจะก้าวพลาดกี่ครั้ง Nintendo ก็ยังพยายามสู้ต่อไปจนเป็นบริษัทเกมชั้นนำของโลกได้ เพราะอะไรเขาถึงทำได้ มาชมกันเลยครับ
ในปี 1983 หลังจากบริษัท Nintendo เริ่มวางขายเครื่อง Famicom ได้ใหม่ๆ ทาง Sharp Corporation ให้ความสนใจกับเครื่องเกม Famicom มาก จึงเกิดการจับมือกันระหว่าง Nintendo และ Sharp Corporation ผลิตเครื่อง C1 NES TV ซึ่งเป็นการเอา TV จาก Sharp มารวมร่างกับเครื่อง Famicom วางขายในนามลิขสิทธิ์ของ Nintendo เนื่องจากตัว TV เป็นแบบที่สร้างมารวมร่างกับเครื่อง Famicom โดยเฉพาะ ทำให้ภาพที่ออกมาคมชัดกว่าเครื่อง Famicom ปกติที่ต้องผ่านสายแปลงสัญญาณอีกที ซึ่งตามนิตยสารเกมต่างๆ ก็ใช้ภาพจาก C1 NES TV ไปลงหนังสือเป็นส่วนใหญ่ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 145,000 เยน สำหรับ 19 นิ้ว และ 93,000 สำหรับ 14 นิ้ว แต่ก็ขายไม่ดีอย่างที่ตั้งเป้าไว้ Nintendo ก็พยายามต่อไปจนถึงปี 1989 จึงย้ายตลาดจาก ญี่ปุ่น ไปที่อเมริกา และประสบความสำเร็จ ทำกำไรได้มากมาย โดยเวอร์ชั่นสำหรับอเมริกา เรียกว่า Sharp Nintendo Television
ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1984 Nintendo ได้ออกอุปกรณ์เสริมตัวแรกของเครื่อง Famicom ซึ่งก็คือ Light Gun (ซ้าย) เป็นอุปกรณ์สำหรับยิงที่ภาพของเกมบนหน้าจอ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าไฮเทคเอามากๆ และใน เดือนมิถุนายน 1984 Nintendo ก็ได้ผลิตอุปกรณ์เสริมขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเรียกว่า Famicom Basic และ Data Recorder (รูปขวา) ออกมา จากการร่วมมือกันของ Nintendo, Sharp Corporation และ Hudson Soft หน้าตาคุ้นๆ ใช่ไหมครับเพื่อนๆ เพราะมันเป็นตัวต้นแบบของ AVS ที่ส่งไปเจ๊งที่อเมริกานั่นเอง อุปกรณ์เสริมตัวนี้ สามารถตั้งโปรแกรมภาษา และสร้างเกมแบบง่ายๆ ให้กับเครื่อง Famicom ได้ และในเดือนตุลาคม 1984 เมื่อเครื่อง NES จำหน่ายที่ประเทศอเมริกา Nintendo ก็ผลิตปืน NES Zapper (สำหรับเล่นกับเครื่อง NES) จำหน่ายตามมาทันที และประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วน Famicom Basic เองก็ได้พัฒนาจนถึง Famicom Basic V3 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1985 โดยมีการเพิ่มหน่วยความจำ และลูกเล่นใหม่ๆเข้าไป จนสามารถใช้เครื่อง Famicom Basic สร้างเกม Mario หรือ Donky Kong เองได้เลยทีเดียว
วันที่ 26 กรกฎาคม ปี 1985 Nintendo เริ่มผลิตอุปกรณ์เสริมที่ล้ำยุคขึ้นไปอีกขั้น เรียกว่า R.O.B. (Robotic Operating Buddy) แต่แล้วก็เจ๊งไปในเวลาไม่ถึงปีเพราะเกมที่ซัพพอร์ตมีเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น แถมกินถ่านค่อนข้างมากอยู่ (ใช้ถ่าน AA 4 ก้อน) เพื่อนๆ สามารถชมตัวอย่างการทำงานของ R.O.B. ได้จาก http://www.youtube.com/watch?v=1kqr_HFaPeI ครับ
ในปี 1986 เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความมุทะลุของทาง Nintendo เลยก็ว่าได้ครับ เพราะทาง Nintendo เข็นโปรเจ็กต์ต่างๆ ออกมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมขอแยกเป็นหัวข้อไปนะครับ
Famicom Disk System
เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงกับเครื่อง Famicom เพื่อเล่นแผ่น Floppy Disk เริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1986 โดยสวม RAM Adapter กับช่องเสียบตลับของเกม และมีไดรฟ์สำหรับใส่แผ่น Floppy Disk และถึงแม้จะมีการประกาศจำหน่ายสำหรับเครื่อง NES ด้วย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกโครงการไป เหลือแต่จำหน่ายเพียงแค่ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น และเป็นอุปกรณ์เสริมของ Famicom ที่ขายดีที่สุดแล้วก็ว่าได้ครับ เพราะขายได้เรื่อยๆ จนถึงปี 2003 เลยทีเดียว โดยยอดขายรวมอยู่ที่ 4.5 ล้านชุด
Famicom Box
กล่องขนาดใหญ่ดูเกะกะระรานตา ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะไปรอดนี้ เป็นเครื่องเกม Famicom รุ่นหนึ่งที่พัฒนาโดยบริษัท Nintendo และ JTB Traveland โดยในแพคเกจ จะแถมเกมมาให้ฟรีๆ 15 เกมด้วยกัน พร้อมด้วยจอย 2 อัน กับ NES Zapper ส่วนทางฝั่งอเมริกาจะใช้ชื่อว่า Famicom Station และจะแตกต่างกันตรงที่ Famicom Station จะมีขาตั้ง ด้วยดีไซน์พิลึกพิลั่น, ตัวเครื่องหนัก(มาก), เกมออกมาน้อย แถมหน้าปกเกมทุกเกมก็มีแต่รูป Mario ขาดความน่าสนใจ วิธีใช้ยุ่งยาก จึงขายได้ไม่ดีนัก และมักใช้ในห้องพักตามโรงแรม หรือในร้านเกมมากกว่า โดยการติดเครื่องหยอดเหรียญ 100 เยนต่อการเล่นเกม 1 ครั้ง
Famicom Four-way Adaptor
อีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมสำหรับเครื่อง Famicom เพื่อใช้ต่อจอยพ่วง หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น Zapper หรือ Basic ทำให้รองรับได้ถึง 4 Player ส่วนทางเวอร์ชั่น NES ก็ออกเป็นอุปกรณ์ NES Satellite ในปี 1989 เพื่อรองรับการเล่น 4 Player แต่ก็ไปได้ไม่ดีนัก เพราะระบบอินฟาเรท wireless ไม่เสถียรพอ จึงต้องออก NES Four Score มาแก้ไขในปี 1990
Twin Famicom
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ทาง Sharp ก็ได้วางจำหน่ายเครื่อง Famicom รูปแบบใหม่ออกมาบ้าง ซึ่งเรียกว่า Twin Famicom โดยการร่วมมือกันอีกครั้งของ Nintendo และ Sharp Corporation โดยการนำเครื่องเกม Famicom กับ Disk System มารวมร่างกันเป็นเครื่องเดียว (อีกแล้ว) ซึ่งสามารถเล่นได้ทั้งแบบตลับ และแผ่น Floppy Disk แต่ไม่สามารถเล่นพร้อมกันทั้ง 2 แบบได้ครับ เพราะต้อง เปิด - ปิด สวิทซ์บริเวณช่องเสียบตลับก่อน (เมื่อเป็นโหมด Floppy Disk จะไม่สามารถใส่ตลับได้) และมีช่องสำหรับใส่จอยพ่วงเสริมทางด้านข้างของตัวเครื่อง
เป็นยังไงกันบ้างครับในช่วงเวลาของเครื่องเกม Famicom นั้น Nintendo ก็มีอุปกรณ์เสริม และเครื่องเกม Famicom รูปแบบต่างๆ มากมาย ขอบอกว่ายังไม่หมดนะครับ เพราะนี่มีเพียงแค่ปี 1983 - 1986 เท่านั้น ที่จริงแล้วยังมีอีกเยอะแยะมากมายเลยล่ะครับ ซึ่งผมขอพักไว้ต่อวันอังคารหน้านะครับ สำหรับวันนี้ผมขอพักแต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ