Assassin’s Creed 2 วิหคเหินแห่งเพลิงแค้น กับความขัดแย้งครั้งใหม่ในมหาสงครามพันปี...

แชร์เรื่องนี้:
Assassin’s Creed 2 วิหคเหินแห่งเพลิงแค้น กับความขัดแย้งครั้งใหม่ในมหาสงครามพันปี...

ประเภท: Action

ผู้พัฒนา: Ubisoft Montreal

 ผู้ผลิต: Ubisoft

ผู้จัดจำหน่าย: New Era

เว็บไซต์: assassinscreed.uk.ubi.com

กำหนดวางตลาด: ปลายปี 2552

“ชีวิตของเราก่อกำเนิดขึ้นได้ เพราะมันได้จากความตายของผู้อื่น...”

นี่คือหนึ่งในวาทะที่สุดยอดศิลปิน นักประดิษฐ์ และนักคิดแห่งประเทศอิตาลีอย่างลีโอนาโด ดาวินซี ได้กล่าวไว้เมื่อประมาณหกร้อยปีมาแล้ว มันอาจจะฟังดูเข้าใจยากในเบื้องแรก แต่มันก็เป็นหลักการที่ธรรมดาสามัญและปรากฏให้เห็นในทุกๆ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ความเสื่อมสลายตามติดมาด้วยการสร้างสรรค์ ความงดงามที่ผุกร่อนลงสู่จุดต่ำ ดี ชั่ว ดำ ขาว ราวกับจะเป็นสองหน้าของเหรียญหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้

และในความเป็นจริงข้อนี้เอง ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันในชิ้นงานสร้างสรรค์ของแวดวงต่างๆ มาในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยวงการเพลง ภาพยนตร์ หรือนวนิยาย (ไม่ว่าจะด้วยเจไดกับซิธใน Star Wars หรือความชั่วร้ายในผืนผ้าใบของโดเรียน เกรย์) และที่ขาดไปเสียไม่ได้ก็คือ... วิดีโอเกม
แต่ทั้งนี้ แม้สื่อที่ชื่อว่าวิดีโอเกมจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และมีศักยภาพที่สูงพอที่จะก้าวต่อไปได้ แต่ชิ้นงานที่โดดเด่นในการรังสรรค์นาฏกรรมแห่งเหรียญสองด้านก็กลับมีให้เห็นเพียงแค่ประปราย ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ก้าวตามไม่ทันกันแน่ ระหว่างเทคโนโลยี รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา หรือระบบการเล่นโดยรวม

ในปี 2007 กับทีม Ubisoft Montreal พวกเขาก็ได้ส่งชิ้นงานอย่าง Assassin’s Creed เกมแอ็กชั่นลอบสังหารระดับ Next-Gen ที่ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทของอัลแทร์ (Altair) นักฆ่าวิหคเหินแห่งกลุ่ม Hasshashin ฝ่าอุปสรรคเพื่อปลิดชีพเป้าหมาย ภายใต้ไฟสงครามครูเสด ที่เส้นแบ่งแห่งความถูกผิดและศีลธรรมนั้นรางเลือนยากจะหาจุดลง และด้วยเนื้อหาที่ผสานเข้ากับความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ล้ำสมัย พันเกี่ยวกันอย่างลุ่มลึก ทำให้ตัวเกมประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายได้อย่างสวยงาม แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากสื่อสำนักต่างๆ ถึงความซ้ำซากในเกมการเล่นหลักๆ ของมัน

และสำหรับใครที่ได้เล่นเกมนี้จนถึงตอนสุดท้าย ก็จะพบว่า... มหาสงครามครั้งนี้ยังไม่จบ...
ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนี่คือความตั้งใจแต่แรกเริ่มของทีมพัฒนา ที่หมายจะทำซีรีส์นี้ให้เป็นมหากาพย์ไตรภาคสมบูรณ์แบบ ดังนั้นคำถามสำคัญที่ตามมาคือ... พวกเขาจะสานต่อมันอย่างไร?
คำตอบ? ในหน้าบทความถัดจากนี้ไป ผมจะขอเชิญผู้อ่านทุกท่าน ร่วมเดินทางย้อนเวลากลับไปยังอิตาลียุคศตวรรษที่ 15 ที่ที่ความงดงามแห่งยุคเรเนซองส์ เป็นยุคสมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ถูกขับเคลื่อนด้วยกลเกมทางการเมือง ความขัดแย้ง และความตายที่เจือผ่านกลิ่นอายของการฆาตกรรม ที่ที่เหล่ามือสังหารและอัศวินเทมพลาร์จะมาประหัตประหารในสงครามลับที่อยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์กันอีกวาระหนึ่ง และเหนือสิ่งอื่นใด...

ตัวเอกคนใหม่...หาใช่มือสังหารศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอดีตชนชั้นสูงที่ดำเนินการณ์ทุกอย่างด้วยเหตุผลส่วนตัว และถูกม้วนเข้าสู่วังวนที่ตัวตนของเขากลายเป็นตัวแปรสำคัญของประวัติศาสตร์ ที่จะไม่ถูกเอ่ยถึง หรือบันทึกจดจารใดๆ

ขัดแย้งกันไหม? นั่นไง ความงดงามและความตายที่ยั่วล้อกันภายใต้สองหน้าแห่งหนึ่งเหรียญล่ะ...

 ยอดรักนักฆ่า

แน่นอนว่าใครที่ได้เห็นภาพของเอสซิโอ ตัวละครเอกคนใหม่ของ AC 2 คงอดไม่ได้ที่จะนำเขาไปเปรียบเทียบกับอัลแทร์มือสังหารวิหคเหินแห่งกลุ่ม Hasshashin ในภาคแรก แต่ลืมไปได้เลย เพราะเอสซิโอ อดีตชายหนุ่มตระกูลสูงคนนี้ แม้จะมือใหม่ในโลกของมือสังหาร แต่ก็ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนในศาสตร์ของบุรุษที่ดีแห่งยุคเรอเนสซองส์พึงเป็น ทั้งการฟันดาบ การฝึกฝนร่างกาย และแน่นอน บทกวีและศิลปะ พ่วงด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ และเหนือสิ่งอื่นใด...
เขาว่ายน้ำเป็น...

“คือมันเป็นมุกตลกของพวกกลุ่มคนเล่นน่ะครับ แต่ขึ้นชื่อว่าในภาคสองแล้ว เราก็คงต้องเพิ่มลูกเล่นนี้เข้าไปอยู่ดี” เดซิเลต์หัวหน้าฝ่ายออกแบบกล่าวทั้งเสียงหัวเราะ ใช่แล้ว น้ำที่เคยเป็นอุปสรรคระดับถึงตายในภาคแรก คือม่านกำบัง และเส้นทางด่วนสำคัญของเอสซิโอในภาคสองนี้ (ก็ในเวนิซกับฟลอเรนซ์คือเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องคูคลองอยู่แล้ว) เขาสามารถกระโดดดิ่งลงจากยอดตึก สิ่งก่อสร้าง ประภาคาร หรือหอคอย เพื่อหลบหนีการจับกุมได้ทันท่วงที หรือจะใช้การดำน้ำเพื่อหลบซ่อน และกระชากศัตรูชะตาขาดมาสังหารในคลองก็สามารถทำได้ (ตราบเท่าเขาที่ไม่ได้ดำนานจนขาดใจตายเสียก่อน)

ระบบ Free-Running ที่เป็นจุดเด่นของเกมในภาคแรก ก็จะได้รับการปรับปรุงให้ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งจากระบบ ‘ผ้าสีขาว’ ที่เป็นตัวบอกใบ้ถึงเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด (แบบเดียวกับแถบสีแดงใน Mirror’s Edge) หรือระบบสับเปลี่ยนตำแหน่งขณะปีนป่ายเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนทิศทางทำได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเอสซิโอคนนี้ มีดีไม่แพ้บรรพบุรุษอย่างอัลแทร์เลยแม้แต่น้อย แต่อย่าชะล่าใจ เพราะศัตรูในภาคนี้ก็เพิ่มเขี้ยวเล็บขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะหลังคา ระเบียง หรือท่อนไม้ทางเชื่อม ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป (อ่านได้ในกรอบย่อย “เพราะศัตรูในภาคนี้ไม่ธรรมดา”)


สองมีดย่อมดีกว่ามีดเดียว

แต่ดูเหมือนว่าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนที่สุด คือระบบต่อสู้หลักของเกม เพราะนี่คืออีกจุดหนึ่งที่ AC ถูกติติงอย่างหนักว่าทำออกมาได้ไม่คล่องตัวเอามากๆ ทั้งการออกอาวุธจนถึงการปัดป้องฝ่ายตรงข้าม แต่ในภาคนี้ทางทีมงานสัญญาว่าระบบการต่อสู้จะดั้บการปรับปรุงให้มีความคล่องตัวมากกว่าเดิม
อาวุธที่สำคัญที่สุดของเอสซิโอก็ยังคงเป็นมีดลับที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ซึ่งคราวนี้ นอกจากเขาจะไม่ต้องเสียนิ้วนางซ้ายอย่างเช่นอัลแทร์ (ฮา) แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของลีโอนาโด ดาวินซี เขาจะได้มีดลับไว้ใช้งาน ‘ทั้งสองข้าง’ กันเลยทีเดียว “ก็ในเมื่อมันเป็น Assassin’s Creed 2 นี่ครับ เราก็ใส่มีดไปสองเล่มซะเลย” เดซิเลต์หัวหน้าฝ่ายออกแบบกล่าวเจือรอยยิ้ม แน่นอนว่านอกเหนือจากความเท่แล้ว ยังสามารถช่วยให้ผู้เล่นกำจัดศัตรูได้สองคนพร้อมกันในเวลาเดียว “และถ้าคุณเก๋าจริงๆ คุณคงสู้โดยใช้แค่มีดลับเท่านั้น เพราะสุดท้ายนี่ก็คือวีรกรรมของมือสังหารสุดแสบ ที่อาวุธชนิดใดๆ ก็ไม่จำเป็นจริงๆ หรอก”

แต่ถ้าคุณต้องการอื่นๆ จริงๆ คุณ... ต้องไปหากันข้างหน้าเอาเอง...

นั่นเพราะอาวุธทั้งหลายอย่างดาบ ฆ้อน หอก หรือกริช ผู้เล่นจะได้จากการ ‘ปลด’ จากมือของศัตรูในระหว่างการต่อสู้เท่านั้น ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีอนิเมชันและรูปแบบท่วงท่าทำลายล้างแตกต่างกันไป แต่จะผสานรวมกันได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวอย่างน่าประหลาด ผู้เล่นอาจจะแย่งหอกจากทหารเกณฑ์ กวาดไปให้ทั่ว วิ่งไปคว้ากริชจากทหารยาม และซัดปักคอหอยอีกคนที่อยู่ข้างหลัง เป็นต้น หรือถ้าสู้ด้วยมือเปล่า เอสซิโอก็จะใช้ทุกวิธีสกปรกในการต่อสู้ที่นึกออกเพื่อเอาตัวรอดอย่างการคว้าทรายมาสาดใส่หน้าศัตรู “ก็ในเมื่อเอสซิโอไม่สามารถพกอาวุธอะไรได้นอกจากมีดกลและมีดขว้าง เขาก็ต้องใช้ทุกวิธีนั่นล่ะครับ” เซบาสเตียนหัวหน้าผู้ดูแลโปรเจ็กต์กล่าวเสริม “แต่กับการต่อสู้ธรรมดาก็ยังทำได้อยู่นะครับ ทั้งหมัด เท้า เข่า หรือหัวลุ่นๆ โหม่งเข้าไปเลย”

นาฏกรรมการล้างแค้นที่ยอกย้อนราวบทละคร...

จากที่อ่านในวรรคก่อนๆ คงจะเห็นว่าทางทีมพัฒนาได้อำนวยความสะดวกในเรื่องระบบควบคุมและระบบต่อสู้ไปพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบเพียงแค่นั้น เพราะระบบภารกิจของเกมภาคแรกเองก็ได้รับเสียงติงมาไม่ใช่น้อย (ไปๆ มาๆ เกมภาคแรกโดนติงหลายข้อเหมือนกันนะเนี่ย...) แต่มาในคราวนี้ บอกลารูปแบบภารกิจดักฟัง ซ้อมรีดข้อมูล และขโมยของให้กับสำนักงานก่อนไปลอบสังหารซ้ำไปซ้ำมาได้เลย เพราะทีมพัฒนาได้แก้ไขอย่างจริงจังจนก่อให้เกิดทางสายใหม่ขึ้น..

.“เรามานั่งทบทวนแล้วลงความเห็นว่า เราควรจะลืมรูปแบบภารกิจเก่าไปให้หมด แล้วทำมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แน่นอนว่า AC 2 จะไม่มีภารกิจสำเร็จรูปแบบภาคที่แล้วแน่ๆ ครับ” เดซิเลต์กล่าวย้ำ เพราะในคราวนี้นอกเหนือจากรูปแบบภารกิจที่เพิ่มขึ้นมาถึง 16 แบบแล้ว แต่ละแบบจะมีลักษณะการปรากฏที่เป็นพลวัตรกันโดยสิ้นเชิงผ่านการเลือกพูดคุยหรือรับงานจาก ‘เส้นสาย’ ซึ่งจะไม่ปรากฏซ้ำกัน ครอบคลุมทั้งในหัวเมืองใหญ่ ชนบท และเมืองรอบนอกรายทาง ที่เอสซิโอจะต้องพบเจอเพื่อสะสมเบาะแสก่อนจะโยงใยไปถึงเป้าหมายหลักที่ต้องกำจัด ตัวอย่างเช่น เอสซิโออาจจะได้รับข้อมูลว่ามีหญิงชั้นสูงคนหนึ่งมีข้อมูลสำคัญสำหรับเป้าหมายของเขา ในขณะที่เข้าพบ เธอขอร้องให้เขาช่วยคุ้มครองจากมือสังหารอีกกลุ่มที่ถูกส่งมา และเมื่อนำเธอไปส่งยังท่าเรือแล้ว เอสซิโอก็ต้องช่วยคุ้มกันเพื่อไปให้ถึงปลายทางโดยตลอดรอดฝั่ง เป็นต้น หรือแม้แต่ภารกิจชวนง่วงอย่างการดักฟังหรือขโมยของ ก็ถูกแทนที่ด้วยภารกิจที่เร้าใจกว่าอย่างการวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่หนีออกนอกเมืองไปสู่เขตชนบท
“ถ้าเราใส่การบอกเล่าเนื้อหาลงไปในภารกิจ มันก็จะได้เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง เดซิเลต์ให้ความเห็น
“ลองดูตัวอย่างจากใน GTA ก็ได้ครับ ในทุกภารกิจที่คุณทำ ให้ความรู้สึกที่ไม่ซ้ำกันเลย ในกรณีของเรา เรามองว่าจะเป็นยังไงถ้าให้มันกลับหัวกลับหางผสมผสานมีความเชื่อมโยงกัน คุณอาจจะเริ่มด้วยภารกิจติดตามเป้าหมาย ก่อนจะกลายเป็นภารกิจไล่ล่า และเลยเถิดจบด้วยภารกิจสังหารมันทุกคนที่ขวางหน้าก็ได้”

ในตอนนี้ คาดการณ์กันว่าจำนวนภารกิจใน AC 2 จะมีถึง 200 ภารกิจที่ผู้เล่นสามารถเลือกทำก่อนหลังเชื่อมโยงไปมาได้โดยอิสระ ซึ่งแต่ละเส้นสายติดต่อจะมีเป้าหมายและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป

ทั้งหมดคือรูปแบบโดยภาพรวม แต่รายละเอียดปลีกย่อยของการ ‘ปฏิบัติ’ ภารกิจก็ได้รับการยกเครื่องให้สมจริงยิ่งขึ้น อย่างเช่น สถานที่หลบหนีของเอสซิโอก็ไม่ได้จำกัดแค่กองฟาง กลุ่มนักบวช หรือเพิงเดี่ยวๆ อีกต่อไป ไม่ว่าจะรถเข็นปลาสดหรือแถบผ้าก็ใช้เป็นเบาะรองรับได้ แม้แต่กลุ่มคนธรรมดาทั่วไปก็กลายเป็นเงากำบังให้เอสซิโอในยามคับขัน หรือแม้แต่ภารกิจโหดๆ อย่างการลอบสังหารที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ผู้เล่นก็สามารถออกสำรวจเส้นทางรวมถึง ‘เก็บ’ ยามรักษาการณ์โดยรอบไปพลางๆ เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

แต่ความสะดวกสบายที่ผู้เล่นได้รับ ก็ตามมาด้วยเงื่อนไขที่โหดไม่ใช่น้อยๆ เพราะในภาคนี้ ระบบรักษาการณ์ของเหล่าศัตรูจะเข้มงวดขึ้นในอีกหลายระดับ ทั้งการตรวจค้นตามจุดซ่อนต่างๆ ไปจนถึงการแปะป้ายประกาศจับที่เกี่ยวกับระบบ ‘ค่าหัว’ ที่จะยิ่งทำให้การหลบหนีแบบเดิมๆ ไม่สามารถทำได้ และต้องใช้ทักษะและไหวพริบมากขึ้น ซึ่งจะมาพร้อมกับภารกิจใหม่ๆ อย่างการตามสังหารพยานปากสว่าง หรือเดินไล่ฉีกป้ายประกาศเพื่อลดความระแวดระวังภัยของยามรักษาการณ์ แม้แต่ระบบพลังชีวิตที่เคยนั่งพักหายใจเฉยๆ ก็ฟื้นคืน ก็อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะบรรดาบาดแผลใหญ่ๆ เอสซิโอก็ต้องออกตามหาหมอเพื่อรักษาอาการด้วยเช่นกัน

และสุดท้ายบรรดาสิ่งของลับที่ให้เก็บตามจุดต่างๆ ที่ไม่เคยก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ (ยกเว้นแต่ Archivement บนระบบ Xbox 360) ก็จะให้ประโยชน์ที่มากขึ้น แต่ทางทีมพัฒนาก็ยังไม่ได้แง้มไต๋หรือบอกใบ้ถึง ‘ประโยชน์’ ดังกล่าวนี้ ว่าจะมาในรูปแบบใด

ฉากหน้าแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเปลี่ยน

อย่างไรก็ดี แม้จะเปลี่ยนฉากหลัง และปรับปรุงรูปแบบการเล่นให้สะดวกทันสมัยมากขึ้น แต่ความถูกต้องสมจริงทางประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เนื้อหาในเกมมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งทาง Ubisoft Montreal เองก็ได้เชิญศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Notre Darme มาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องข้อมูลและเกร็ดสำคัญ อย่างเช่นเหตุการณ์ลอบสังหารโลเรนโซ เดอ เมดิซี ศักดินาใหญ่แห่งฟลอเรนเซียในงานอีสเตอร์ของตระกูลปาซซี (อ่านรายละเอียดได้ในกรอบย่อย ‘นักปราชญ์ คนกล้า และศักดินาสำคัญในชีวิตของเอสซิโอ’) ที่จะปรากฏในเกมนี้เช่นเดียวกัน แต่กระนั้น แม้ความขัดแย้งของมือสังหารกับเทมพลาร์จะยังคงดำเนินไป แต่ทางผู้พัฒนาได้กล่าวไว้ว่า พวกเขาจะปรากฏตัวน้อยลง “คุณแทบจะไม่เจอพวกเขาหรอกครับ แต่คุณจะรู้สึกได้ว่าพวกเขายังคงอยู่ ที่ใดที่หนึ่งภายใต้ความขัดแย้งของตระกูลพ่อค้าและศาสนจักร พวกเขาต่างมีองค์กรลับที่คอยชักใยเหตุการณ์ต่างๆ มาตั้งแต่ต้น...”

ท้ายที่สุดนี้ เมื่อพิจารณาจากหนทางเริ่มแรกของ Assassin’s Creed ในตอนเปิดตัวเมื่อสองปีก่อน มันช่างเป็นความเสี่ยงอย่างเหลือล้น ในการที่จะนำเสนอซีรีส์ใหม่ท่ามกลางตลาดอันคลาคล่ำ แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ได้พิสูจน์แล้วว่า มันมีศักยภาพในตัวเองที่สูงพอ และการที่พวกเขาตัดสินใจยกเครื่องใหม่ทั้งชุด ก็ถือได้ว่าเป็นหนทางลำบากอีกครั้ง มันไม่ง่าย และผลร้ายจากความผิดพลาดที่ตามมาก็มากจนน่าใจหาย... แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้... คงจะเพราะวิธีการ แนวคิด และความตั้งมั่นที่จะทิ้งรูปแบบเก่าที่ผิดพลาด และปรับปรุงเพื่อให้ได้รูปแบบใหม่ที่สมบูรณ์กว่ามาไว้ในชิ้นงานที่ทำให้ Assassin’s Creed 2 ดูน่าตื่นตาตื่นใจ และตอกย้ำว่าทีมพัฒนามีศรัทธากับซีรีส์มากเพียงใด

มันคงจะจริงอย่างที่ลีโอนาโด ดาวินชีได้กล่าวไว้ ถ้าชีวิตเกิดขึ้นจากความตายของสิ่งอื่น ประหนึ่งสองด้านของเหรียญ มันก็น่าลุ้นว่าการ ‘กำเนิดใหม่’ ของมือสังหารวิหคเหินผ่าน ‘ความตาย’ ในครั้งนี้ จะสามารถต่อยอดไปสู่ความ ‘งดงาม’ ได้อีกครั้งหรือไม่

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ