Sid Meier's Civilization IV Colonization : นี่จะไม่ใช่ Civilization IV ที่คุณคุ้นเคยแน่นอน

แชร์เรื่องนี้:
Sid Meier's Civilization IV Colonization : นี่จะไม่ใช่ Civilization IV ที่คุณคุ้นเคยแน่นอน

      ถ้าคุณคิดว่า Sid Meier's Civilization IV Colonization เป็นแค่ Mod เสริมตัวหนึ่งของ Civilization IV ละก็ คุณคิดผิดถนัดเลยครับ เพราะแม้จะใช้เอนจิ้นและอิงระบบการเล่นของ Civilization IV แต่ว่า Colonization มีระบบการบริหารจัดการที่แตกต่างและซับซ้อนจากภาคหลักของมันอยู่มากทีเดียว และไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าจะมีผู้เล่นมือเก๋าของ Civilization IV ที่ต้องกลับไปเริ่มเล่น Colonization ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเล่นไม่จบเกมสักรอบ แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราจะมานำเสนอ Tips & Tricks ที่ควรรู้ในการเล่นตั้งแต่เริ่มตั้งอาณานิคมไปจนถึงประกาศอิสรภาพเลยครับ

เป็น Civilization IV เหมือนกัน แต่นี่จะไม่ใช่ Civilization IV ที่คุณคุ้นเคยแน่นอน

การเลือกทำเลที่ตั้งอาณานิคมแห่งแรก

     ที่ตั้งเมืองอาณานิคมแห่งแรกของเรานั้นมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากใน Colonization นั้น เราจะสามารถบริหารเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้เพียง 8 ช่อง รอบเมืองของเราเท่านั้น และได้แค่ทรัพยากร 1 อย่างต่อ 1 ช่องอีกด้วย (คือถ้าเลือกตัดไม้ก็จะล่าสัตว์ไม่ได้ ถ้าล่าสัตว์ก็จะตัดไม้ไม่ได้) จึงต้องเสาะหาทำเลตั้งเมืองที่มีทรัพยากรสำคัญๆ ครบถ้วน มิเช่นนั้นจะประสบปัญหาขัดสนเรื่องทรัพยากร ทำให้เมืองเติบโตช้าได้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกทำเลตั้งเมือง ได้แก่

1. ต้องมีทางออกทะเล เพราะจะได้ใช้เรือในการค้าขายกับยุโรปได้ (สำคัญมาก)
2. มีโบนัสทรัพยากรประเภทอาหาร เช่น พื้นที่ทะเลที่มีปูหรือปลา หรือพื้นที่บนบกที่มีข้าวโพด จะให้อาหารมากกว่าปกติ ช่วยให้เมืองเราผลิตอาหารได้มากขึ้น รองรับประชากรได้มากขึ้นด้วย
3. มีป่า เพื่อให้ตัดไม้มาป้อนเข้าโรงเลื่อย เพิ่มค่าโปรดักชั่นให้สร้างสิ่งก่อสร้างและยูนิตได้ไวขึ้น

    สามอย่างนี้เป็นหัวใจหลักในการเลือกที่ตั้งเมือง หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะทำให้เมืองเราประสบปัญหาเติบโตช้าทันที ถ้าไม่มีทางออกทะเลจะทำให้ค้าขายกับยุโรปลำบาก ถ้าไม่มีโบนัสอาหาร เมืองจะผลิตอาหารได้น้อยและรองรับประชากรได้น้อย อัตราการเก็บเกี่ยวทรัพยากรอื่นๆ ก็จะน้อยตามไปด้วย และถ้าไม่มีป่าก็จะไม่มีไม้มาป้อนเข้าโรงงานเพื่อเพิ่มค่าโปรดักชั่น ซึ่งจะทำให้สร้างสิ่งก่อสร้างและยูนิตต่างๆ ได้ช้ามาก ดังนั้นสามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้ในการตั้งอาณานิคมแห่งแรก

เมื่อได้ทำเลที่ตรงสเป็กก็ตั้งเมืองได้เลย

ไม่ควรปล่อยเรือให้ว่าง

     ทันทีที่ส่งนักบุกเบิกดินแดนของเราลงบนแผ่นดินแล้ว ควรให้เรือของเรากลับไปยังยุโรป ด้วยคำสั่ง Sail to Europe ทันที เพื่อไปรับผู้อพยพคนใหม่ๆ มาช่วยทำงานในเมืองของเรา ซึ่งถ้าตั้งเมืองไว อาจยังไม่มีผู้อพยพที่สมัครใจจะมา แต่เราสามารถเร่งให้ผู้อพยพมาร่วมกับเราได้ทันที ด้วยคำสั่ง Hurry Immigration ในหน้าจอบริหารจัดการฝั่งยุโรปนั่นเอง ถ้าโชคดีจะมีพวกที่มีอาชีพเกี่ยวกับการเก็บทรัพยากรให้เลือกมาใช้ แต่ถ้าไม่มีก็ลองมองหาพวกอาชีพสายการผลิตแทน เพื่อรองรับอนาคต จากนั้นก็แล่นเรือกลับมาส่งคนที่อาณานิคม แล้วขนพวกทรัพยากรพื้นเมือง (Cotton, Tobacco, Sugar, Fur) กลับไปขายที่ยุโรป ได้เงินก็กด Hurry Immigration เลือกคนมาช่วยงานในเมืองอีก หรือจะซื้อสินค้าที่จำเป็นมาใช้สร้างเมืองหรือเอาไปขายต่อก็ได้ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ

การใช้เรือค้าขายกับยุโรปอย่างต่อเนื่องคือหัวใจหลักอีกอย่างหนึ่งในการเล่น

การใช้ Scout ติดต่อกับชนพื้นเมือง

     ควรหาทางติดต่อกับชนพื้นเมืองโดยรอบให้เร็วที่สุด วิธีที่ดีคือซื้อม้ามาแล้วเปลี่ยนชาวเมืองสักคนเป็น Scout เพื่อส่งออกไปสำรวจ ติดต่อกับพวกชนพื้นเมือง หรือถ้าโชคดีอาจมี Seasoned Scout (ได้สมบัติจากโบราณสถานมากกว่า Scout ปกติ) มาให้จ้างในส่วนของ Hurry Immigration ก็ควรรีบจ้างมาซะ ซึ่ง Scout จะสามารถใช้คำสั่ง Auto Explore แล้ววิ่งเก็บสมบัติตามสุสานหรือโบราณสถานต่างๆ เองได้ ซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นเงินจำนวนมาก และนอกจากนี้ยังวิ่งเข้าไปติดต่อกับหมู่บ้านของชนพื้นเมืองเองด้วย การเข้าไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านจะทำให้เรารู้ว่า เมืองเมืองนั้นของชนพื้นเมืองกำลังต้องการสินค้าอะไรและมีอาชีพอะไรสอนอยู่ นอกจากนี้ยังมีบ่อยครั้งที่หัวหน้าหมู่บ้านมอบสมบัติเป็นคันรถให้เรานำกลับมาเมืองด้วย สมบัติแต่ละคันรถนั้นมีมูลค่าสูงมาก ตั้งแต่ 1,000 ไปจนถึง 3,000 แต่ถ้าขายให้พระราชาของเราจะโดนหักค่าขนส่งครึ่งนึง และถ้าจะขนไปขายที่ยุโรปเองก็ต้องมีเรือชั้น Galleon ในการบรรทุกไปขายที่ยุโรป แนะนำว่าให้เก็บไว้ขายในเวลาที่ขัดสนเงินจริงๆ จะดีกว่า

บ่อยครั้งที่ Scout สำรวจแผนที่แล้วพบสมบัติเป็นจำนวนมาก

การค้าขายกับชนพื้นเมือง

     สำหรับช่วงต้นเกมนั้น การค้าขายที่ทำกำไรได้มากที่สุดก็คือ การค้าขายกับพวกชนพื้นเมือง โดยเราต้องรู้ก่อนว่าเมืองของชนพื้นเมืองที่เราจะค้าขายด้วยนั้นกำลังต้องการสินค้าอะไร (ทำได้ง่ายๆ โดยการส่งคนเข้าไปคุยกะหัวหน้าหมู่บ้าน) โดยมากพวกชนพื้นเมืองจะต้องการพวก เครื่องมือ, ม้า และอาวุธปืน ซึ่งจะรับซื้อในราคาที่สูงกว่าปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว เราจึงสามารถไปซื้อของพวกนี้จากยุโรป แล้วเอามาขายให้ชนพื้นเมืองได้ และทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว ถ้าเป็นเมืองที่อยู่ติดทะเลอยู่แล้ว เราก็สามารถใช้เรือของเราขนสินค้าเข้าไปขายได้เลย แต่ถ้าเป็นเมืองในแผ่นดินลึกเข้าไปก็ต้องสร้าง Wagon Train ขนสินค้าเข้าไปขายแทน ข้อสำคัญคือ ชนพื้นเมืองจะมีเงินจำกัด แค่ราวๆ 3,000 - 4,000 เท่านั้น แปลว่าเราจะกอบโกยเงินจากการค้าขายกับชนพื้นเมืองได้ไม่นานนัก เพราะเงินของพวกชนพื้นเมืองจะหมดลงอย่างรวดเร็ว และไม่มีเงินมาซื้อของจากเราอีก ดังนั้นถ้าเห็นว่าเงินของเผ่าที่เราค้าขายด้วยกำลังจะหมดแล้ว ก็ควรมองหาเผ่าอื่นเพื่อค้าขายด้วยต่อไป หรือหยุดการขนสินค้ามาค้าขายกับเผ่านั้นซะ เพราะจะขายไม่ได้เงินนั่นเอง

พวกชนพื้นเมืองจะซื้อสินค้าบางอย่างด้วยราคาสูงกว่าปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว

การเผยแพร่ศาสนาและ Converted Native

     เราสามารถใช้ Missionary (สร้างได้โดยเอาประชากรในเมืองออกมานอกเมืองแล้วเลือก Profession ให้เป็น Missionary หรือจะจ้าง Jesuit Missionary จาก Hurry Immigration ก็ได้) ในการเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้านของพวกชนพื้นเมืองได้ ด้วยการสั่ง Missionary เดินทางไปยังหมู่บ้านนั้นๆ แล้วสั่ง Establish Mission เพื่อเผยแพร่ศาสนา ซึ่งเราจะเสีย Missionary คนนั้นไป
การเผยแพร่ศาสนามีผลดีคือ ความสัมพันธ์กับชนเผ่านั้นจะดีขึ้น และหมู่บ้านนั้นจะมี Converted Native (ชนพื้นเมืองที่เปลี่ยนการนับถือศาสนา) มาเข้าร่วมเป็นประชากรของเราเรื่อยๆ เป็นวิธีเพิ่มจำนวนประชากรได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ Converted Native ยังมีโบนัสในการเก็บทรัพยากรทุกประเภทได้มากกว่าปกติหนึ่งหน่วยด้วย แต่จะทำงานในสิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้แย่กว่าประชากรปกติ คือมีผลผลิตน้อยกว่าปกติหนึ่งหน่วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังไม่สามารถติดอาวุธเพื่อใช้เป็น Soldier ได้ แต่เราก็สามารถส่ง Converted Native ไปเรียนในเมืองหรือเรียนตามหมู่บ้านเพื่อให้มีอาชีพติดตัวและกลายเป็น Colonist เต็มตัวได้ ซึ่งตอนนั้นเราก็จะใช้ติดอาวุธเพื่อเปลี่ยนเป็น Soldier ได้แล้ว

การเผยแพร่ศาสนามีผลดีทั้งด้านความสัมพันธ์และเพิ่มประชากรด้วย

การเรียนอาชีพกับชนพื้นเมือง

     การเรียนอาชีพกับชนพื้นเมืองนั้น แต่ละหมู่บ้านของชนพื้นเมืองจะสอนอาชีพแตกต่างกันไป ซึ่งจะเขียนบอกเอาไว้หลังจากเราได้คุยกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เราสามารถนำคนของเราที่ยังไม่มีอาชีพ (Criminal, Slave, Converted Native, Free Colonist) เดินทางไปยังหมู่บ้านนั้นเพื่อเรียนอาชีพโดยใช้คำสั่ง Live among Native ได้ ซึ่งจะใช้เวลาไม่กี่เทิร์นก็จะเรียนอาชีพที่ต้องการได้ (แต่จำนวนเทิร์นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนคนที่เราส่งไปเรียน ยิ่งคนที่สามคนที่สี่จะยิ่งใช้เวลาเรียนนานมาก) ข้อดีของการเรียนกับชนพื้นเมืองคือทำได้ตั้งแต่ต้นๆ เกม โดยไม่ต้องรอสร้าง School และนอกจากนี้ยังมีอาชีพที่เราไม่สามารถจ้างมาจากยุโรปด้วย เช่น Expert Cotton Planter, Expert Sugar Planter, Expert Tobacco Planter, Expert Trapper ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรพื้นเมืองได้มากกว่าปกติถึง 100%

หมู่บ้านของชนพื้นเมืองจะมีสอนอาชีพที่ไม่สามารถจ้างได้จากยุโรปด้วย

ลำดับชนชั้นกรรมาชีพที่ควรมองหา

     อาชีพที่ควรหามาทำงานอันดับแรกๆ คือ Expert Farmer และ Expert Fisherman แล้วแต่ว่าเมืองเรามีโบนัสทรัพยากรประเภทไหน ซึ่งการเก็บเกี่ยวอาหารได้เยอะก็ทำให้เมืองเรารองรับประชากรได้มาก ทำให้รับผู้อพยพใหม่ๆ เข้ามาทำงานในเมืองได้สะดวก ไม่ขัดสนเรื่องอาหาร ลำดับต่อมาคือ Expert Lumberjack สำหรับตัดไม้ และ Master Carpenter เพื่อเร่งค่า Production ของเมือง ตามด้วย Expert Ore Miner และ Master Blacksmith เพื่อผลิต Tools เอาไว้ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ต่อจากนี้ก็แล้วแต่ว่าเมืองของเรามีผลผลิตประเภทไหนให้แปรรูปบ้าง เช่น ถ้ามี Tobacco เป็นวัตถุดิบ ก็อาจจ้าง Master Tobacconist มาเร่งอัตราการผลิต Cigar หรือถ้ามี Cotton เป็นวัตถุดิบ ก็อาจจ้าง Master Weaver มาเร่งอัตราการผลิต Cloths แทน

การมีอาชีพเฉพาะทางมาทำงาน จะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดจำนวนคนที่ต้องใช้ลงได้อย่างมาก

อาชีพและสิ่งก่อสร้างที่ไม่ใช่สายการเก็บเกี่ยวหรือสายการผลิต

     จะมีอาชีพและสิ่งก่อสร้างที่ไม่ใช่กลุ่มสายการเก็บเกี่ยวหรือสายการผลิตอยู่หลายอาชีพ ซึ่งมีโบนัสอื่นๆ ที่ช่วยเสริมให้กับเมืองของเรา อย่างแรกคือ Town Hall ที่มีมาแต่แรก เมื่อนำคนเข้าไปทำงานจะเพิ่มค่า Liberty Bell ซึ่งค่านี้จะมีผลสามอย่างคือ

1. เพิ่มค่า Culture ของเมืองเรา ทำให้ดินแดนของเมืองเราขยายออกไปไกลขึ้น
2. ทำให้ประชาชนในเมืองของเรามีความรู้สึกรักในสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น และสนับสนุนการประกาศอิสรภาพจากประเทศแม่มากขึ้น (จำเป็นในการประกาศอิสรภาพ)
3. เร่งความเร็วในการที่ Founding Father (นักบุกเบิกในประวัติศาสตร์) จะเข้ามาร่วมกับอาณานิคมของเรา (จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป)

     อาชีพเฉพาะของ Town Hall คือ Elder Statesman ซึ่งเพิ่มอัตราผลิต Liberty Bell อีก 100% แนะนำว่าถ้าเจออยู่ในกลุ่ม Hurry Immigration ควรรีบจ้างมาประจำ Town Hall ซะ เพราะโบนัสจากการที่ได้นักบุกเบิกมาเข้าร่วมนั้นมีประโยชน์อย่างมาก

     สิ่งก่อสร้างต่อมาคือ Church ซึ่งเมื่อนำคนเข้าไปทำงานก็จะผลิต Crosses ซึ่งค่านี้จะช่วยเร่งอัตราที่จะมีผู้อพยพจากยุโรปสมัครใจมาร่วมกับอาณานิคมของเราไวขึ้น อาชีพเฉพาะของ Church ก็คือ Firebrand Preacher ซึ่งเพิ่มอัตราการผลิต Crosses อีก 100%

     สิ่งก่อสร้างอีกอันที่ขาดไม่ได้คือ School ซึ่งไม่มีอาชีพที่ทำงานเฉพาะที่นี่ แต่เราสามารถนำพวกประชากรไร้อาชีพ เช่น Petty Criminal, Indentured Servant, Converted Native และ Free Colonist เข้าไปเรียนอาชีพได้ที่นี่ ซึ่งอาชีพที่เรียนได้จะต้องเป็นอาชีพที่ทำงานอยู่ในเมืองนั้น เช่น ถ้าอยากให้เปลี่ยนอาชีพเป็น Expert Tobacco Planter ก็เอา Expert Tobacco Planter มาทำงานในเมือง เท่านี้ก็จะสามารถเรียนแล้วเปลี่ยนอาชีพเป็น Expert Tobacco Planter ได้ โดยไม่ต้องไปเรียนจากพวกชนพื้นเมือง การอัพเกรดโรงเรียนจะทำให้ใช้เวลาในการเรียนเพื่อเปลี่ยนอาชีพน้อยลง แต่ยิ่งเรียนไป นักเรียนรุ่นหลังๆ ก็จะยิ่งใช้เวลาเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ

นักบุกเบิกในประวัติศาสตร์ (Founding Father)

      นักบุกเบิกในประวัติศาสตร์นี้จะเข้ามาร่วมกับอาณานิคมของเราเมื่อเรามีค่า Liberty Bell ถึงระดับ ซึ่งนักบุกเบิกแต่ละคนก็จะให้โบนัสแตกต่างกันออกไปในหลายๆ ด้าน แต่ที่เป็นประโยชน์คือโบนัสด้านการค้าขาย เช่น ลดเวลาในการเดินทางไปยุโรป หรือลดค่าจ้างในการจ้างคนจากยุโรปให้มาทำงานกับเราลง 25% หรือบางคนก็ให้โบนัสเพิ่มอัตราการผลิตของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์มาก ข้อสำคัญคือ นักบุกเบิกแต่ละคน เมื่อเข้าร่วมกับอาณานิคมไหนๆ แล้ว ก็จะไม่มีอาณานิคมอื่นสามารถพาไปเข้าร่วมได้อีก การแข่งกันปั๊ม Liberty Bell เพื่อแย่งนักบุกเบิกที่มีโบนัสสำคัญๆ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการชิงความได้เปรียบ

     ทริกอีกอย่างคือแต้มสะสมเพื่อได้นักบุกเบิกนั้นจะสะสมไปเรื่อยๆ หากเราปฏิเสธการเข้าร่วมของนักบุกเบิกบางคน ดังนั้นถ้านักบุกเบิกคนไหนมีโบนัสที่ไม่น่าสนใจ เราก็อาจปฏิเสธไปก่อน เพื่อรอสะสมแต้มเอานักบุกเบิกที่ใช้แต้มสูงกว่าได้ ซึ่งสามารถดูได้ว่านักบุกเบิกคนต่อไปของสายนั้นจะให้โบนัสอะไรได้ที่ Let’s See Big Picture

นักบุกเบิกหลายคนจะให้โบนัสที่มีประโยชน์ต่อการเล่นมาก ควรเลือกให้ดี

Purchase

      ในหน้าจอของยุโรปนั้นจะมีคำสั่ง Purchase อยู่ ซึ่งสามารถใช้เงินซื้อคนงานอาชีพต่างๆ หรือแม้แต่เรือกับอาวุธมาได้ อาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็ตรงความต้องการมากกว่า เพราะเราไม่สามารถรอวัดดวงกับ Immigrant ที่สุ่มออกมาให้เลือกจ้างได้ เราควรจะเก็บเงินซื้อคนงานอาชีพที่สำคัญๆ มาให้ครบซะ เพื่อที่เมื่อเราสร้างโรงเรียนแล้วจะได้ให้นักเรียนที่จบออกมาเปลี่ยนอาชีพเป็นอาชีพเหล่านั้นได้
สิ่งจำเป็นอีกอย่างคือเรือ ซึ่งช่วงกลางๆ เกม การมีเรือแค่ลำเดียวนั้นจะไม่ค่อยพอใช้ โดยเฉพาะชนชาติส่วนใหญ่จะมีแค่ Caravel ซึ่งเป็นเรือบรรทุกขนาดเล็ก มีช่องเก็บของแค่สองช่อง แนะนำว่าช่วงกลางเกมควรเก็บเงินซื้อเรือ Merchantman มาใช้ด้วย เพราะมีความเร็วสูงกว่าและน้ำหนักบรรทุกก็มากกว่าด้วย ช่วยให้เราขนสินค้าไปขายได้สะดวกขึ้นมาก

ควรพยายามเก็บเงินจ้างอาชีพสำคัญๆ และซื้อเรือด้วย

การสร้าง Improvement

     ในพื้นที่รอบๆ เมืองนั้น เราสามารถนำชาวเมืองติด Tools เพื่อแปลงเป็น Pioneer ออกไปสร้าง Improvement เพื่อเสริมโบนัสการเก็บเกี่ยวให้แก่พื้นที่นั้นๆ ได้ ซึ่งโบนัสที่ได้จาก Improvement นี้จะไม่มากนัก คือเพิ่มแค่ 1 หน่วยต่อเทิร์น แต่ที่สำคัญคือการสร้าง Improvement จะเคลียร์สิ่งที่เกะกะอยู่ออกไป ทำให้ค่าการเก็บเกี่ยวที่แท้จริงของพื้นที่นั้นแสดงออกมา เช่น Grass Land ปกติจะให้ 3 Food 3 Tobacco แต่ถ้ามี Forest อยู่ข้างบน จะเหลือ 1 Food 1 Tobacco และได้ 6 Lumber 3 Fur จาก Forest มาเสริมแทน ถ้าเราไม่ต้องการไม้หรือขนสัตว์ แต่จะใช้พื้นที่นั้นทำฟาร์มข้าวหรือยาสูบ ก็จัดการถางป่าออกไปซะ แล้วทำฟาร์มแทน เมื่อป่าถูกถางออกไป โบนัสของ Grass Land ก็จะกลับมาเท่าค่าปกติ และได้โบนัสจากฟาร์มมาแทน กลายเป็น 4 Food 4 Tobacco แบบนี้ เป็นต้น (สามารถดูค่าการเก็บเกี่ยวตั้งแต่ต้นของภูมิประเทศต่างๆ ได้ใน Civilopedia โดยกด F12)

      ดังนั้นการสร้าง Improvement จึงควรดูพื้นที่ให้ดีด้วย เพื่อให้สร้างแล้วได้โบนัสรับกับค่าพื้นฐานของสภาพภูมิประเทศได้มากที่สุด อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือถนน หรือ Roads ซึ่งช่วยให้เดินทางผ่านพื้นที่นั้นๆ ได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า จำเป็นมากสำหรับการลำเลียงขนส่งทรัพยากรและสินค้าจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง

การขยายดินแดนเพื่อสร้างเมืองใหม่

     เมื่อเมืองหลักของเราเริ่มอยู่ตัวแล้ว ก็ควรเริ่มมองหาทางขยับขยายเมืองลูกไปยังแหล่งทรัพยากรที่จำเป็น อาจเป็นพื้นที่ภูเขาจำนวนมากเพื่อเน้นเหมืองแร่ จะได้ทำเป็นเมืองผลิต Tools และ Guns หรือหาพื้นที่สำหรับปลูก Cotton หรือ Tobacco เพื่อส่งวัตถุดิบกลับมาแปรรูปขายที่เมืองหลัก เพื่อเร่งอัตราการผลิตสินค้าไปขายก็ได้

     ปัญหาแรกที่เราจะพบในการขยายเมืองก็คือ เรามักจะถูกรายล้อมไปด้วยพวกชนพื้นเมือง และถ้าเราจะตั้งเมืองโดยพื้นที่เมืองใหม่ของเราไปทับเขตพื้นที่เมืองของชนพื้นเมือง เราก็จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าที่ดินให้กับชนพื้นเมืองด้วย ยิ่งซ้อนทับกันมากก็ยิ่งต้องจ่ายเงินมาก บางครั้งก็แพงจนจ่ายไม่ไหว ทางแก้คือผลักดันหมู่บ้านของชนพื้นเมืองออกไปก่อน โดยการหา Elder Statesman มาประจำ Town Hall เพื่อขยาย Culture ของเราออกไปทับหมู่บ้านของพวกชนพื้นเมือง แนะนำว่าก่อนหน้านั้นควรติดต่อค้าขายและเผยแพร่ศาสนากับหมู่บ้านนั้นด้วย เพื่อไม่ให้ชนพื้นเมืองเกิดความไม่พอใจและโจมตีเรา

     เมื่อเราขยาย Culture ไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็จะมาคุยกับเราเอง โดยบอกว่าขอยกหมู่บ้านนั้นให้กับเรา (จริงๆ คือแค่รื้อถอนหมู่บ้านออกไป) เท่านี้พื้นที่บริเวณนั้นก็จะปลอดโปร่ง สะดวกต่อการตั้งเมืองใหม่โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อที่ดินจากพวกชนพื้นเมือง ข้อสำคัญคือควรจะแน่ใจว่าเราไม่มีอะไรที่ต้องการจากหมู่บ้านนั้นแล้ว (เช่นอาชีพเฉพาะของชนพื้นเมือง) และความสัมพันธ์ของเรากับชนเผ่านั้นต้องอยู่ในสภาพดี ไม่งั้นอาจโดนประกาศสงครามเอาได้

ขยาย Culture เพื่อยึดดินแดนเอาแบบสันติ จะประหยัดเงินกว่ามาก

การสร้าง Trade Routes

      ตัวช่วยที่สำคัญมากในการบริหารจัดการหลายๆ เมืองพร้อมกัน นั่นก็คือการสร้าง Trade Routes เพื่อใช้ขนย้ายวัตถุดิบหรือสินค้าจากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่งโดยอัตโนมัติ จะช่วยทุ่นแรงในการบริหารทรัพยากรของเราลงไปได้มาก การสร้าง Trade Routes ทำได้โดย ขั้นแรกเราต้องมีเมืองสองเมืองก่อน จากนั้นก็เข้าไปที่หัวข้อ Governor ของแต่ละเมือง แล้วเลือกทรัพยากรที่เราต้องการจะ Import หรือ Export ซึ่งหัวข้อ Import คือ เมืองนี้จะเปิดรับการขนส่งทรัพยากรชนิดนี้เข้ามาในเมือง ส่วนหัวข้อ Export คือ เมืองนี้จะส่งทรัพยากรชนิดนี้ออกไปยังเมืองอื่น โดยตัวเลขที่เราสามารถใส่ค่าได้คือ ค่าจำนวนน้อยสุดที่เราจะให้เหลือทรัพยากรนี้เอาไว้ในเมือง เช่น ตั้ง Fur ไว้ที่ Export และเซ็ตค่าไว้ที่ 100 เมืองนี้ก็จะส่ง Fur ไปยังเมืองอื่นเฉพาะจำนวนที่เกินจากที่เราสั่งให้สต็อกเอาไว้ 100 นั่นเอง (คือจำนวน Fur ในเมืองจะไม่ถูกส่งออกจนลดลงต่ำกว่า 100 หน่วยนั่นเอง)

     กำหนดการรับส่งทรัพยากรตามที่เราต้องการ เช่น เราอยากจะให้เมือง A ส่ง Ore ไปให้เมือง B ก็จัดการเข้าไปในหัวข้อ Export ของเมือง A แล้วติ๊กที่ Ore ซะ เพื่อให้ส่งออก Ore จากนั้นก็เข้าไปในหัวข้อ Import ของเมือง B แล้วติ๊กที่ Ore เช่นกันเพื่อให้รับ Ore จากเมืองอื่น เท่านี้เราก็จะสามารถสร้าง Trade Routes ระหว่างสองเมืองได้แล้ว

     ขั้นต่อมาคือเราต้องมี Wagon Train (สร้างได้ในหมวดการสร้างของเมือง เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้าง) สำหรับใช้ขนย้ายทรัพยากรจากแต่ละเมือง ซึ่งถ้าเราได้ทำการสร้าง Trade Routes ตามหัวข้อด้านบนแล้ว ที่ตัว Wagon Train ก็จะมีคำสั่ง Assign Trade Routes ขึ้นมาให้เห็น เมื่อคลิกเข้าไปก็จะแสดงหน้าต่างบอกเส้นทาง Trade Routes ที่มีอยู่ ว่าสามารถส่งของอะไร จากเมืองไหนไปเมืองไหนได้บ้าง เราก็เลือกข้อที่ส่ง Ore จากเมือง A ไปเมือง B แล้วกด OK เพียงเท่านี้ Wagon Train คันนั้นก็จะวิ่งรับส่ง Ore ระหว่างสองเมืองไปเรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ

Trade Routes เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการบริหารจัดการหลายๆ เมืองพร้อมกัน

การเตรียมการเพื่อประกาศอิสรภาพ

     การจบเกมแบบที่ยากที่สุดของเกมนี้ก็คือการประกาศอิสรภาพ ดังนั้นหากคิดจะจบแบบประกาศอิสรภาพ จะต้องเตรียมใจพบกับสงครามชนิดที่โหดนรกแตกไว้ได้เลย เพราะเมื่อประกาศอิสรภาพ เราจะต้องรบกับทัพหลวงจากประเทศแม่ ที่ส่งมาโดยพระราชาของเรา ซึ่งขนาดของกองทัพนั้นจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และถ้าเราขัดใจพระราชาบ่อยๆ (ไม่จ่ายส่วย หรือไม่ยอมให้ขึ้นภาษี) กองทัพก็จะใหญ่ขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ขนาดของทัพหลวงยังมีปัจจัยอื่นๆ ให้ขยายขนาดได้อีก เช่น ค่า Liberty Bell ของเรา, ค่า Rebel Sentiment หรือแม้แต่การติดต่อค้าขายกับยุโรปบ่อยๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีผลให้เกิดการเพิ่มขนาดของทัพหลวงทั้งสิ้น (เอาเข้าไป...)

     ดังนั้นทัพหลวงจะมีขนาดใหญ่กว่าเราเสมอ และขนขึ้นเรือ Man-O-War มา (มี Str 12 ซึ่งมากกว่าเรือที่แข็งแกร่งที่สุดของเราคือ Ship of the Line ที่มี Str แค่ 8) และมีเรือเป็นจำนวนมาก การดักจมเรือก่อนจะส่งทหารขึ้นฝั่งจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ก็จะมีทหารราบ ทหารม้า และพลปืนใหญ่จำนวนมากถูกลำเลียงมาบนเรือ ซึ่งทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นทหารผ่านศึกทั้งสิ้น (มีโปรโมชั่นแล้ว 2-3 อย่าง) จึงเหนือกว่าทั้งด้านจำนวนและคุณภาพ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราจะเอาชนะได้อย่างไรล่ะ?

ทัพหลวงของประเทศแม่จะมีขนาดที่ใหญ่มาก

     สารภาพตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่เคยเอาชนะทัพหลวงจากประเทศแม่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำได้ดีที่สุดก็แค่ตั้งรับยื้อเวลาไปเรื่อยๆ รอจนครบเทิร์นเพื่อชนะเท่านั้น เนื่องจากความแตกต่างทั้งด้านกำลังพลและคุณภาพของยูนิตที่สู้กันไม่ได้เลย ความได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเราก็คือ เราเป็นเจ้าบ้าน ทำให้สามารถเลือกพื้นที่ในการตั้งรับได้ จึงสามารถยื้อการรบได้โดยการนำทหารขึ้นไปยืน Fortify บนภูเขาหรือตามป่า เพื่อเอา Defense Bonus ไว้ตั้งรับการโจมตีเท่านั้น ถ้าวิ่งตีสวนกันแทบไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย

     ตรงนี้จากการได้ลองสำรวจประสบการณ์ของผู้เล่นตามบอร์ดต่างประเทศแล้วพบว่า ทุกคนก็ประสบปัญหากับความยากมหาหินของการประกาศอิสรภาพนี้เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นความยากที่สูงเกินไปของตัวเกมเอง นี่อาจเป็นความตั้งใจของ Sid Meier's เองที่อยากจะสอนให้เหล่าเกมเมอร์ทั้งชาวอเมริกันและทั่วโลกได้รับรู้ว่า กว่าที่ประเทศประเทศหนึ่งจะประกาศอิสรภาพและก่อตั้งประเทศได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแค่ไหนและมีค่าเพียงใด...

     ถึงอย่างนั้นหากยังมีคนต้องการจะเอาชนะในการประกาศอิสรภาพ ก็สามารถลองท้าทายกับความยากนี้ดูได้ สำหรับการยื้อเพื่อให้ครบเวลานั้นจะง่ายกว่าหน่อย (ย้ำ! ว่าหน่อยเดียวจริงๆ) โดยสะสมกำลังทหารแล้วนำขึ้นไปตั้งรับบนพื้นที่ที่มี Defense Bonus เยอะๆ ก็ช่วยในการถ่วงเวลาได้มาก นอกจากนี้เมื่อถูกยึดเมืองบางเมืองไป เราอาจติดต่อขอให้พวกชนพื้นเมืองช่วยเข้าโจมตีเมืองที่ถูกยึดไป แบบนี้จะสามารถดึงพวกชนพื้นเมืองมาเข้าร่วมสงครามได้ แม้ชนพื้นเมืองจะช่วยไม่ได้มาก แต่ก็สามารถตัดกำลังและซื้อเวลาให้เราได้อีกเยอะทีเดียว

     นอกจากนี้ควรสร้างเมืองไว้ลึกๆ เข้าไปในแผ่นดินสักเมืองหนึ่ง เพื่อเป็นเมืองสุดท้ายในการตั้งรับและถ่วงเวลาของทัพหลวงในการบุกเข้ามายึดเมืองสุดท้าย หากเราสามารถยื้อได้ครบ 100 เทิร์น เราก็จะเป็นฝ่ายชนะในการจบแบบประกาศอิสรภาพ ไม่ว่าจะสะบักสะบอมแค่ไหนก็ตาม...

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ