ประเภท: ROLE-PLAYING GAME
ผู้พัฒนา BIOWARE
ผู้ผลิต: EA
ผู้จัดจำหน่าย: EA
เว็บไซต์: WWW.DRAGONAGE.COM
ไม่ว่าจะเรื่องไหน หรือการกระทำใดๆ ของคนเราทุกคน ย่อมต้องมี ‘จุดเริ่มต้น’ เสมอ… จุดนั้นๆ จะนำพาชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่การผจญภัยที่ไม่ว่าจะมีสีสัน โหดร้าย หนาวเหน็บ สนุกสนาน หรือเปี่ยมประสบการณ์อยู่เสมอ เชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้ สำหรับ BioWare กลุ่มนักพัฒนาเกมสวมบทบาท (RPG) ระดับหัวกะทิ คงซาบซึ้งและตราตรึงในความทรงจำเป็นอย่างดี จากจุดเริ่มในปี 1998 รวมตัวกันเพียงไม่กี่สิบคน จากหลากหลายสาขาวิชาชีพ ที่มาผูกใจกันเป็นหนึ่งด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว “ความรักในเกม RPG”
สำหรับ Dragon Age: Origins คุณสามารถเล่นเกมได้ในมุมมองแบบ Isometric ที่คุ้นเคย…
และจากจุดเริ่มต้น กับผลงานชิ้นแรกอย่าง Buldur’s Gate ในปีนั้นเอง ที่พาพวกเขาออกเดินทางสู่โลกแห่งการผจญภัยครั้งใหม่ไม่ต่างอะไรกับการเดินทางของเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าในปกรณัม ด้วยการสร้างสรรค์ระดับคุณภาพในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่โลกแห่งดาบและมังกรของ Dungeons and Dragons ,นิทานปรัมปราเอเชียอย่าง Jade Empire สู่มหากาพย์จักรวาลอย่างซีรีส์ KOTOR และล่าสุด มือปราบอวกาศ Sheperd ใน Mass Effect ที่ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในยอดขาย มันยังช่วยพลิกฟื้นแนวเกมที่แทบจะตายไปจากสารบบให้กลับคืนมา ส่งทีมงานไม่กี่สิบชีวิต สู่จำนวนนับร้อย และจากเสียงเล็กๆ ในสตูดิโอไร้ชื่อ สู่อีกหนึ่ง Key Player ของแวดวงที่ทุกคนต้องจับตา จนถึงขั้นที่ว่า EA ยักษ์ใหญ่ของวงการต้องประเคนเงินตราเพื่อคว้าเอาคนหนุ่มสาวเปี่ยมฝันกลุ่มนี้ไว้ในครอบครอง
หรือจะใช้มุมมองผ่านหัวไหล่ แบบเดียวกับเกมอย่าง KOTOR หรือ The Witcher ก็ได้ด้วยเช่นกัน
มาในวันนี้ สิบปีที่ผันผ่านสำหรับ BioWare นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ Mass Effect 2 ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาแล้วนั้น คำถามสำคัญที่ตามมาคือ… พวกเขาจะไปไหนต่อ?
และโดยไม่มีใครคาดคิด ในวาระครบรอบ 10 ปี หลังจากสั่งสมประสบการณ์ในฐานะผู้พัฒนาแถวหน้าแห่งแวดวง RPG มายาวนาน พวกเขาเหล่าทีมงาน BioWare เลือกที่จะขีดร่างทุกสิ่งจากผืนกระดาษว่างเปล่า ต่อยอดด้วยความรัก และกลับไปสู่เส้นทางแห่งมหากาพย์แฟนตาซีที่เป็นดั่ง ‘จุดเริ่มต้น’ ของทุกสิ่ง เพื่อเบิกทางสู่เรื่องราวครั้งใหม่ ไม่มีตำรวจอวกาศ ไม่มีโลกแห่ง Dungeons and Dragons เพราะมันคือเวลาของพวกเขา ยุคทอง ยุคแห่งมังกรที่แท้จริง… Dragon Age: Origins
หมดสิ้นยุคสมัยแห่งสีสันฉูดฉาด เพราะ Dragon Age: Origins
มีธีมที่หม่นมืดและเป็นผู้ใหญ่กว่ากันมากนัก
“นี่ถือได้ว่าเป็นการกลับสู่จุดเริ่มต้นของพวกเราอย่างแท้จริงครับ…” นี่คือคำกล่าวของ Dan Tudge โปรดิวเซอร์หลักของ Dragon Age ที่กล่าวถึงที่มาที่ไปสำหรับโครงการนี้ แน่นอน นอกเหนือไปจากการกลับไปหารากเหง้าแห่งความเป็นมหากาพย์แฟนตาซีของทีม BioWare แล้วนั้น อาจจะเรียกได้ว่า เกมเกมนี้คือเกมที่เป็น ‘พวกเขา’ อย่างแท้จริงและชัดเจนที่สุด มันไม่ได้ใช้กฏเกณฑ์เดียวกันกับ D&D แต่เป็นกติกาของพวกเขา กฏของพวกเขา โลกของพวกเขา เรื่องราวที่พวกเขาอยากบอกเล่า อยากให้ผู้เล่นได้สัมผัส อาจจะถือได้ว่าเป็น ‘ผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณ’ จากซีรีส์ Buldur’s Gate เลยด้วยซ้ำ
“ทีมนักเขียนของพวกเราเป็นแฟนๆ ของซีรีส์แฟนตาซีตัวยงเลยล่ะครับ ทั้ง D&D ทั้ง LotR หรือแม้แต่ตัวผมเองก็เป็นแฟนของซีรีส์ Conan อย่างงอมแงมเลย” Dan Tudge กล่าวเสริมเมื่อถูกถามถึงความพร้อมในการรังสรรค์เรื่องราวของ Dragon Age ซึ่งทาง BioWare เองก็ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะโลกแห่งนี้ จะเป็นมหากาพย์แห่งแฟนตาซีที่สดใหม่ แต่เต็มไปด้วยความวิจิตร สมจริง และอึมครึมสัมผัสได้ถึงภยันตรายรอบด้าน ประหนึ่งซีรีส์แฟนตาซีของ George R.R Martin หรือภาพเขียนเชิงแฟนตาซีของ Frank Frazetta อย่างที่ซีรีส์แฟนตาซีที่ดีพึงจะเป็น ด้วยประสบการณ์และความทุ่มเทอย่างเต็มเปี่ยมของพวกเขา จึงค่อนข้างเป็นที่แน่ใจว่า เนื้อหาที่เป็นจุดขายและเอกลักษณ์สำคัญของ BioWare จะยังมีอยู่อย่างครบถ้วนไม่ขาดตกหล่นหายไปไหน
แม้จะเป็นเกม RPG แต่เอฟเฟ็กต์มนตราแห่ง Dragon Age นี้จะสวยงามล้ำสมัย
ติดตราตรึงในใจผู้เล่นได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ดี ในส่วนของเกมการเล่น แม้จะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Dragon Age จะมีรูปแบบการบังคับสั่งการแบบกลุ่มเช่นเดียวกับเกมอย่าง Buldur’s Gate หรือ Neverwinter Night 2 ที่มาพร้อมกับระบบหยุดออกคำสั่งระหว่างทาง รวมถึงเอนจิ้นกราฟิกสดใหม่ และเอฟเฟ็กต์เวทมนตร์ที่สามารถมีผลสะท้อนสืบเนื่องซึ่งกันและกัน (เวทย์ไฟสามารถจุดแอ่งน้ำมันให้กลายเป็นทะเลเพลิง หรือเวทย์หิมะใช้ดับไฟได้) แต่ที่ผ่านๆ มา อย่างที่เราทราบ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักของผู้เล่นกับโลกของเกมที่เป็นไปโดยรอบนั้น น้อยจนน่าใจหาย (จนถึงขั้นไร้ความสำคัญอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ได้รับการกำกับจากเนื้อหาหลัก) และนี่เองคือสิ่งที่ BioWare พยายามที่จะแทรกเข้าเติมเต็มในช่องว่าง เพราะในคราวนี้ ในฐานะผู้เล่น เราจะได้สัมผัสกับ ‘จุดเริ่มต้น’ ของตัวละครที่สวมบทบาทอยู่อย่างเต็มอิ่ม ปั้นแต่งจากศูนย์ รับรู้การตอบสนองของโลกที่อยู่รอบตัวและเรื่องราวที่ผูกโยงเข้าเป็นหนึ่งอย่างชนิดที่แยกไม่ออก
ไฟประลัยกัลป์เผาผลาญ ที่เสริมด้วยลูกเล่น Magic Interaction
สามารถปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง และ ‘เวทมนตร์’ อื่นๆ ได้อย่างน่าประทับใจ
“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเล่นเรื่องราวของตัวละครหลัก ผมมีเพื่อนสนิทที่ตามกันมา พอถึงจุดที่ผมได้รับการเกณฑ์เข้าสังกัดทหารแห่งกลุ่ม Grey Warden ผมต้องละทิ้งเพื่อนไว้เบื้องหลังด้วยสถานการณ์บังคับ หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมออกผจญภัยกับกลุ่ม ลงสู่คุกใต้ดินและได้พบเจอกับเขาอีกครั้งในฐานะนักโทษที่ถูกคุมขัง อารมณ์ความรู้สึกในตอนเริ่มต้นนั่นล่ะครับ ที่กลั่นออกมาเป็นความปั่นป่วน ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า ต้องช่วยเขาเพื่อชดใช้กับการทอดทิ้งที่ผมได้กระทำลงไป…” Dan Tudge กล่าวโดยคร่าวๆ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระบบการสร้างตัวละครของ Dragon Age เพราะในคราวนี้ผู้เล่นไม่ได้สักแต่สร้างตัวละครตามกำหนดของค่าสถิติ แล้วถูกโยนไปสู่โลกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ โดยสิ้นเชิง เพราะในช่วงสองชั่วโมงแรกของเกมการเล่น นอกจากจะได้เรียนรู้ระบบหลักๆ (การเคลื่อนที่ มุมกล้อง การต่อสู้ เวทมนตร์) แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่กำหนดความเป็นไป และสานเรื่องราวที่เป็นดั่ง ‘จุดเริ่มต้น’ ของแต่ละคนที่จะนำไปสู่การปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยฐานะอัศวินเผ่าพันธุ์มนุษย์ทายาทศักดินา ผู้ได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง หรือจะมาในฐานะเอลฟ์สาวนักเวทย์ผู้คงแก่เรียน ที่ไม่มีใครเห็นค่าด้วยฐานะประชากรชั้นสอง จะมีก็เพียงเหล่าจอมเวทย์และอาจารย์ที่ยังคงรักและเข้าใจถึงศักยภาพในตัว ซึ่งทั้งหมดจะขมวดเป็นความเกี่ยวข้องซึ่งจะส่งผลกับโลกของเกมที่ผู้เล่นจะได้พบเจอในตลอดทั้งเกม อีกทั้งภารกิจและเรื่องราวปลีกย่อยที่จะเข้ามาก็ยังรักษาเอกลักษณ์ของ BioWare ที่ไม่มีผิดถูกขาวดำที่ชัดเจน (แบบเดียวกันกับ Mass Effect) ที่ช่วยให้ประสบการณ์การเล่น หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งทาง Dan Tudge ก็ออกมายืนยันว่า แม้ตัวเกมจะมีตอบจบที่แน่นอน แต่ความหลากหลายของเรื่องราวระหว่างทางต่างหาก ที่เป็นเสน่ห์ที่ผู้เล่นจะต้องพึงพอใจ
‘จุดเริ่มต้น’ เป็นตัวกำหนดและบ่งชี้ถึงชะตากรรมที่เราจะได้พบเจอในการผจญภัยเบื้องหน้า
จงเลือกและอ้าแขนรับมันด้วยความยินดี หนทางนี้เป็นของคุณ
(ถ้าทุกสิ่งเป็นไปตามที่ BioWare บอกไว้น่ะนะ)
ทั้งหมดที่กล่าวไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทาง BioWare เตรียมไว้ให้กับผู้เล่นเพียงอย่างเดียว เพราะในส่วนของ Tool-Set หรืออุปกรณ์สร้างฉาก ที่ให้ผู้เล่นได้รังสรรค์การผจญภัยของตนเองภายใต้กฏเกณฑ์ของ Dragon Age ก็อยู่ในระหว่างการพิจารณา และยังคงถูกเก็บรายละเอียดไว้อย่างดี (แต่ยืนยันว่าจะมีอะไรที่มากกว่าที่เคยแน่นอน) รวมถึงการที่พวกเขาจะนำเอาเกมนี้พอร์ตไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Xbox 360 และ PS3 ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีหน้า (หลังจากการวางจำหน่ายของเวอร์ชั่นพีซีไปแล้ว)
แต่กระนั้นหลังการสาธิตตัวอย่างเดโมที่สามารถเล่นได้จริงในงาน Leipzig Game Convention 2008 ที่ผ่านมา เสียงตอบรับจากเหล่าแฟนๆ ก็เป็นไปในทางบวกแบบติดลมบนไม่น้อย เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญว่าทุกคนต่างถวิลหาการกลับสู่ ‘จุดเริ่มต้น’ แห่งมหากาพย์แฟนตาซีมากน้อยเพียงใด
อย่างที่เรียนให้ทราบ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้น…
และในวาระครบรอบหนึ่งทศวรรษแห่งการเดินทางของ BioWare พวกเขาพร้อมแล้วสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่ ในความฝันใฝ่ที่เติมเอาวัย ประสบการณ์ และระยะทางมาเป็นเชื้อไฟเพื่อขับเคลื่อนแนวเกม RPG ให้เดินหน้าต่อไป และเราจะได้สัมผัสกับมันเต็มๆ ในช่วงต้นปี 2009 ที่จะถึงนี้