ปีศาจร้ายตนหนึ่งได้รุกรานโลกของเรา มันทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างไม่ปรานีปราศรัย ไม่สามารถต่อรองใดๆ กับมันได้ และมันจะไม่หยุดจนกว่าจะสามารถบดขยี้บี้แนวเกมที่แสนดีจนราพนาสูร และมันมาในรูปแบบของเกมบนระบบ Windows ที่ชื่อ Alone in the Dark...เตรียมวิ่งให้สุดฝีเท้าได้เลย
โอเค จะว่าไปจริงๆ มันก็ดูมีภาษีดีอยู่หรอกนะ ด้วยเนื้อหาที่แสนหม่นมืดและลงตัวที่นำพา Edward Carnby มาโลดแล่นในมหานครนิวยอร์กที่ถูกถล่มโดยเจ้าสัตว์ประหลาดสามขาสี่หัวตัวเท่าตึก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ Atari นำเสนอออกมา กลับกลายเป็นความล้มเหลวระดับมหากาพย์ด้วยระบบควบคุมและมุมกล้องอันแสนโหดอำมหิตที่เปลี่ยนกิจกรรมแสนธรรมดาให้กลายเป็นทรมานบันเทิงในทุกย่างก้าวของการเล่น ถ้าคุณคนไหนคิดว่าผมร้องแรกแหกกระเชอจนเกินเหตุแล้วละก็ผมจะบอกอะไรให้ แม้แต่โทรศัพท์มือถือของ Carnby ยังเป็นแบบหมุนเลย!
ที่กล่าวไปมันยังแค่ปัญหาขนมๆ ที่คุณจะได้เจอในขณะ 'เล่น' (ไม่รู้สมควรจะใช้คำนี้ดีรึเปล่า) เกม Alone in the Dark ก่อนจะตามมาด้วยความยุ่งยากอย่างระบบกลับตัวทันทีที่ถูกยกเลิกขณะต่อสู้กับศัตรู หรือระบบชักอาวุธอย่างรวดเร็วที่ต้อง 'ใช้สองมือช่วยกด' (ถอดมาจาก Xbox 360 เป๊ะ) แถมคุณต้องมาค้นพบว่าการที่จะสร้างระเบิดขวด ทำได้ด้วยการใช้เทปสองหน้าสถานเดียว ไม่มีหนทางอื่น....แถมคุณต้องมาเปิดเสื้อแจ็คเกตเพื่อหยิบปืนมายิงซ้ำหลังจากโยนระเบิดไปแบบเวลาจริงขณะที่ศัตรูก็ฟาดคุณจนคางเหลือง และนี่ล่ะ คือวิธีการที่ทุกสิ่งดำเนินไป ขอพระเจ้าทรงโปรดเถิด
แต่มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เพราะเกมนี้ไม่สู้จะ 'โปรด' คุณเท่าไหร่เลย ในช่วงเวลาอันแสนน่าตื่นเต้นหนึ่งที่ผมพยายามจะพาตัวเองออกจากหุบเหวซังกะบ๊วยนี้ ผมเสียการควบคุมรถยนต์ที่กำลังขับไปตามถนนนิวยอร์กก่อนจะหมุนตัวไปแบบ 180 องศาจนกระทั่งผมมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านเหตุการณ์ ที่จู่ๆ รถของผมก็ม้วนถอยหลังแบบบ้าคลั่งหลายวินาที ก่อนที่มันจะหยุด และผมถูกถนนสูบหายไปอย่างหน้าตาเฉย
อนึ่งตัวเกมมีลูกเล่นของการลุกไหม้ของเปลวไฟในแบบเวลาจริงที่น่าสนใจใช่เล่น ซึ่งในความเป็นจริง สองสามครั้งเลยที่เกมพรากเอามุมกล้องของผมไปเพื่อแสดงแอนิเมชั่นสุดสวยนี้ในขณะที่พ่อยอดชาย Carnby กำลังยืนให้ไฟมันเลียผิวจนเป็นสีขาวอมชมพู จนเมื่อแอนิเมชั่นประทับใจจบลง และผมกลับมาควบคุมได้อีกครั้ง ก็พบว่าตัวเอกสุดเก่งของผมลุกไหม้เป็นลูกไฟขนาดยักษ์ไปแล้ว ไชโย!!
และด้วยความที่ตัวเกมเป็นเช่นนี้ อุดมไปด้วยความเงอะงะงุ่มง่าม ผิดพังไปตลอดทางตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่นับรวมช่วงท้ายของเกมที่ให้คุณหัวปั่นกับงานระดับมหาหิน ที่สภาพแวดล้อมบิดเบี้ยวราวกับคุณตกอยู่ในถังน้ำกรดขนาดยักษ์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม AITD ถึงมีลูกเล่นให้คุณข้าม 'ตอน' (หรืออีกนัยหนึ่งคือ 'ฉาก') ได้ทุกเวลาที่ต้องการ แต่ก็อย่างว่า ถ้าผู้พัฒนาสามารถใส่ลูกเล่นข้ามฉากได้ ผมก็ขอนำเสนอทางเลือกที่ประหยัดกว่าซึ่งก็คือ... ข้ามเกมนี้ไปเลยก็แล้วกัน