Dragon Quest มาแล้ว! อดีต อนาคต และการรีเมคของซีรีส์ RPG สุดคลาสสิก

แชร์เรื่องนี้:
Dragon Quest มาแล้ว! อดีต อนาคต และการรีเมคของซีรีส์ RPG สุดคลาสสิก

ย้อนรอยเกมในความทรงจำ

Dragon Quest มาแล้ว! 

อดีต อนาคต และการรีเมคของซีรีส์ RPG สุดคลาสสิก

โดย Jeremy Parish แปลและเรียบเรียง O'JaZzY

     ก่อนที่พวกเขาจะมาเป็นพี่น้องกัน Final Fantasy และ Dragon Quest เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน ความรู้สึกอันน่ากระอักกระอ่วนนี้เพิ่งจะบรรเทาลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง แต่หลักการพื้นฐานที่ต่างกันของทั้งสองเกมก็ยังคงอยู่เช่นเดิม FF มีจุดเด่นอยู่ที่ความฉูดฉาด ซีรีส์ที่เปรียบดั่งหนังชั้นยอดซึ่งรากฐานของความเป็น RPG ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปเสมอ แต่สำหรับ DQ แล้ว จุดเด่นคือความสงบ เรียบง่าย และระบบที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้



Dragon Quest IV

      และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกมเมอร์ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบเกมนี้ เมื่อ Square Enix เปิดตัว Dragon Quest IX: Protectors of the Starry Sky บน DS เป็นครั้งแรก เกมเมอร์ชาวอเมริกันแทบคลั่งกับแนวคิดของภาคต่อไปในซีรีส์นี้ที่กำลังจะเดินถอยหลังในแง่ของเทคโนโลยี หลังจาก Dragon Quest VIII อันแสนยอดเยี่ยมของระบบ PlayStation 2 แล้ว กราฟิก 3D เบื้องต้นของ DQ9 นั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แม้ว่านักเล่นเกมชาวญี่ปุ่นจะไม่แคร์ก็เถอะ ยิ่งไปกว่านั้น DS ก็เป็นที่แพร่หลายสำหรับชาวญี่ปุ่นอยู่แล้วด้วย จริงๆ แล้วสิ่งที่ชวนให้นักเล่นเกมชาวญี่ปุ่นตกใจจริงๆ ก็คือการที่ DQ ภาคใหม่ดูเหมือนกับเกมแนวแอ็กชั่น RPG กรณีนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ถ้าหากเป็น Final Fantasy XII ที่มีระบบการเล่นเหมือนกับกำลังเล่น MMO คนเดียวอยู่ เพราะ FF มักจะปรับเปลี่ยนระบบการเล่นเสมออยู่แล้ว แต่นี่คือ Dragon Quest พวกเขากำลังจะเปลี่ยนรูปแบบที่สืบทอดกันมานานของประเทศ! เรื่องที่ Square Enix ทำก่อให้เกิดความตื่นตระหนกมากกว่าถ้าญี่ปุ่นจะขาย Tokyo Tower ให้กับเกาหลีด้วยซ้ำ



Dragon Quest (ญี่ปุ่น)

      คุณ Yuji Horii ผู้สร้าง DQ ได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เมื่อเราเปิดตัว DQ9 เป็นครั้งแรก เราต้องการที่จะแสดงความสนุกของระบบมัลติเพลเยอร์ให้ได้เห็นกัน” เขากล่าว “ในเวลานั้นระบบต่อสู้ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและสิ่งที่คุณได้เห็นนั้นเป็นเพียงตัวต้นแบบ หลังจากที่เราพัฒนาตัวเกมไปได้อีกระยะหนึ่ง เราตัดสินใจที่จะยึดติดกับระบบต่อสู้แบบดั้งเดิมในฐานะที่เป็นระบบที่ทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุดสำหรับผู้เล่น” ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีการปฏิเสธคำเรียกร้องจากบรรดานักเล่นเกม แบบสำรวจออนไลน์ถูกจัดทำขึ้นมาอย่างเร่งด่วนและบรรดาสาวกส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นว่า “DraQue” ที่พวกเขารักได้ตายไปแล้ว ดังนั้น Square Enix จึงรีบปล่อยเทรลเลอร์ใหม่ของ DQ9 ซึ่งมีระบบการต่อสู้แบบดั้งเดิมออกมา ความผิดพลาดทุกอย่างจึงได้รับการให้อภัย ในช่วงที่มีการเปิดตัวรูปแบบใหม่นี้ ยอดขายของ DQ5 นั้นเกือบจะถึงล้านแล้วหลังจากวางขายได้เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น



Dragon Quest III (ญี่ปุ่น)

       พลังที่ซีรีส์นี้มีอยู่นั้นไม่ธรรมดาเลยโดยเฉพาะความสนใจที่ชาวญี่ปุ่นมีให้เกมนี้ คุณ Horii ให้เหตุผลว่า “อาจเป็นเพราะผู้เล่นรับรู้ถึงเสน่ห์อันไร้ซึ่งขีดจำกัดไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดของ DQ ลองดูภาพยนตร์การ์ตูนเก่าๆ ของดิสนีย์สิ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเทียบไม่ได้กับเทคโนโลยีในวันนี้ แต่การ์ตูนเหล่านั้นก็ยังคงสนุกทุกครั้งที่ได้ดู ผมคิดว่า DQ ก็คล้ายๆ กันในเรื่องนี้ ซีรีส์นี้มักจะผลักดันให้ผู้เล่นได้ใช้จินตนาการและพาพวกเขาให้เพลิดเพลินไปกับบรรดาตัวละครจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเกม”

     ในหลายๆ แง่ DQ นั้นแทบจะเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาเกมญี่ปุ่นที่ชวนให้หวนระลึกถึงความหลังเกี่ยวกับเครื่องเกม 8 บิทอย่างฟามิคอม (ถ้าไม่นับเกมของนินเทนโดเอง) ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ NES ในอเมริกา ระบบนี้เป็นคอนโซลระบบแรกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและทำให้เกิดสินค้าหรืองานศิลป์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฟามิคอมเกิดขึ้นให้เห็นทั่วไป และ DQ ก็เป็น RPG เกมแรกๆ ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องจับจ้อง ในขณะที่เกม RPG จากฝั่งอเมริกาอย่าง Wizardry หรือ Ultima ได้รับความนิยมอยู่เพียงแค่กลุ่มเฉพาะเท่านั้น สถานการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น จนกระทั่ง DQ เป็นที่รู้จักและตราตรึงใจนักเล่นเกมชาวญี่ปุ่นทั่วไป มันเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย และระดับความยากไม่สูงเหมือนกับเกมที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ คุณ Horii อธิบายว่า “รูปแบบการต่อสู้โดยใช้เมนูคำสั่งของเกมนี้ทำให้ผู้เล่นที่เล่นเกมแอ็กชั่นไม่เก่งได้สนุกกับมันอย่างเต็มที่”



Dragon Warrior IV

      ด้วยความแตกต่างจาก RPG ฝั่งตะวันตก DQ นั้นมาพร้อมกับตัวละครที่สดใสและมีชีวิตชีวาและมอนสเตอร์ที่ออกแบบโดยนักเขียนการ์ตูนชื่อดังอย่าง อากิระ โทริยามะ ควบคู่ไปกับเรื่องราวของผู้กล้าผู้เด็ดเดี่ยวที่ออกเดินทางไปในโลกกว้าง ระบบของเกมนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานก่อนหน้านี้ของคุณ Horii นั่นก็คือเกมผจญภัยที่มีชื่อว่า Portopia Mysteries การเล่นในมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่อนุญาตให้ผู้เล่นได้สำรวจและค้นหาสิ่งต่างๆ เป็นที่มาของมุมมองในฉากต่อสู้ของ DQ และนอกจากนี้เนื้อเรื่องยังมีจุดพลิกผันที่น่าสนใจอีกด้วย หลังจากที่คุณช่วยเหลือเจ้าหญิงที่ถูกจับตัวไปกลับมาได้ คุณจะได้รู้ว่าภารกิจที่แท้จริงของคุณเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง

      คุณ Horii กล่าวว่า “DQ นั้นเป็นเกม RPG ที่ผลิตโดยญี่ปุ่นเกมแรก ดังนั้นผู้คนจึงเกิดอาการลังเลที่จะลองเล่นในช่วงแรก” เขาเสริมต่อว่า “แต่กิตติศัพท์ของเกมนี้ก็ขจรขจายไปอย่างรวดเร็วด้วยการบอกต่อแบบปากต่อปาก และผลลัพธ์ก็คือเราขายได้กว่า 1.5 ล้านตลับ ถึงอย่างนั้นเอง ณ เวลานั้นก็มีเกมหลายๆ เกมของฟามิคอมที่มียอดขายอยู่ราวๆ ล้านตลับ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ามันได้รับความนิยมล้นหลามมากนัก จากนั้นการวางจำหน่ายของ Dragon Quest II ก็เป็นที่ร่ำลือกัน และเริ่มมีผู้คนออกมาต่อแถวรอซื้ออยู่หน้าร้านเกมในวันจำหน่าย ต่อมาเมื่อ Dragon Quest III ออกมา หนังสือพิมพ์ก็ได้ลงข่าวเกี่ยวกับผู้คนจำนวนมากที่ออกมาเข้าแถวเพื่อเป็นเจ้าของเกมนี้ ในวันที่เกมนี้วางจำหน่ายผมได้ออกไปดูการต่อแถวของผู้คนด้วยตนเอง และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกได้แล้วว่าเรากำลังเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม”



Dragon Quest II

      แนวทางการออกแบบที่ยังคงเดิมของคุณ Horii นั้นมีความหมายว่าซีรีส์นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายปีก่อนมากนัก รูปแบบการต่อสู้ยังคงเดิมจนมาถึงช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนในภาคที่แปดซึ่งดูเหมือนว่าจะมีงบประมาณในการพัฒนามาก ถ้าไม่มองในส่วนของระบบที่คงเดิมมาตลอดของซีรีส์แล้วสังเกตดีๆ จะพบว่าเกมนี้ก็มีส่วนที่พัฒนาไปอย่างเงียบๆ เหมือนกัน DQ2 มีการเพิ่มตัวละครสองตัวเข้าไปในกลุ่มของผู้กล้า DQ3 เพิ่มระบบเปลี่ยนอาชีพที่ FFIII ยืมไปใช้จนโด่งดังในอีกสองปีถัดมา จากนั้นเรื่องราวของ DQ4 ในช่วงแรกก็เป็นเรื่องราวที่มุ่งเน้นไปที่ตัวละครแต่ละตัวก่อนที่พวกเขาจะมารวมตัวกันเพื่อเป็นกำลังให้ผู้กล้าในภายหลัง และเรื่องราวที่เกี่ยวกับผู้สืบทอดรุ่นต่อรุ่นของ DQ5 ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเนื้อเรื่องของ Phantasy Star III แต่ทำได้ดีกว่า DQ9 ก็กำลังจะสืบทอดการพัฒนาอันแสนเรียบง่ายของซีรีส์นี้ด้วยการใส่ระบบการเล่นแบบมัลติเพลเยอร์เข้าไปในสภาพแวดล้อมแบบ RPG ต้นตำรับ

      คุณ Horii พูดถึงแนวคิดการสร้างเกมว่า “เมื่อผมสร้างเกม ผมจะไม่คิดมากในเรื่องของศักยภาพของตัวระบบเครื่อง ผมต้องการสร้างเกมที่ใช้ระบบไวร์เลสของ DS และหลังจากที่ได้ไตร่ตรองแล้วผมก็ตัดสินใจเลือก DQ มาลองแนวความคิดนี้ DQ9 นำเสนอพัฒนาการในด้านของการเล่นแบบมัลติเพลเยอร์ ผมมั่นใจว่าในภาคที่ผ่านๆ มาผู้เล่นมีวิธีการแบ่งปันประสบการณ์การผจญภัยในแบบของพวกเขาเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ DQ9 จะทำให้พวกเขาสามารถร่วมในการผจญภัยเดียวกันได้”

       คำถามที่แท้จริงคือการพัฒนาด้านมัลติเพลเยอร์จะช่วยให้ซีรีส์นี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในฝั่งอเมริกาหรือไม่ ซีรีส์นี้เปิดตัวในสื่อของ U.S. Square Enix แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควรนอกจากเสียงตอบรับของบรรดาสาวกประจำ ตัวเกมที่ช้าและภาพที่ล้าสมัยของ Dragon Quest VII ไม่เป็นที่ประทับใจของนักเล่นเกมชาวอเมริกันสักเท่าไรนักในช่วงปี 2544 ยิ่งไปกว่านั้น DQ8 เมื่อเทียบกับ Final Fantasy X แล้วกราฟิกอันงดงามของ DQ8 ก็ดูไร้ค่าไปเลย Square Enix ถึงกับปรับปรุงเสียงประกอบและอินเตอร์เฟสใหม่เพื่อการวางจำหน่ายในอเมริกาแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก การรีเมคภาคเก่าๆ เป็นภาษาอังกฤษใน DS ก่อนที่ DQ9 จะออกอาจเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังไม่ยอมแพ้ หรือบางทีพวกเขาอาจเพียงต้องการจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมในฝั่งตะวันตกเอาไว้ก็ได้ อย่างไรก็ดีซีรีส์นี้ก็ยังคงทรงพลังในบ้านเกิดของมันอยู่เช่นเคย ในเวลาที่นักพัฒนาเกมชาวญี่ปุ่นมักจะปรับปรุงเกมของพวกเขาให้ดึงดูดนักเล่นเกมชาวอเมริกันเช่นเวลานี้ บางทีทางเลือกที่ดีที่สุดที่ Dragon Quest สามารถทำได้ก็คือคงอยู่ในรูปแบบเดิม



คุณ Yuji Horii ผู้สร้าง Dragon Quest คู่กับ Slime

       คุณ Horii ให้ความเห็นปิดท้ายว่า “ผมไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุที่ DQ ทำได้ดีอย่างที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ แต่สิ่งที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากก็คือผมตั้งใจทำให้ทุกภาคของซีรีส์เป็นเกมที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับมันได้ นี่อาจส่งผลให้กับซีรีส์ในทุกวันนี้ เมื่อก่อนเมื่อพูดถึงคอมพิวเตอร์ ทุกคนจะนึกถึงความเย็นชาและยุ่งยาก ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้โลกของ DQ สดใสและน่าตื่นเต้นมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ”
 

 

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ