Alone in The Dark : คุณลืมมันไปหรือยัง... กับเสียงเรียกหาจากความมืดเหล่านั้น...

แชร์เรื่องนี้:
Alone in The Dark : คุณลืมมันไปหรือยัง... กับเสียงเรียกหาจากความมืดเหล่านั้น...

      มันเคยถูกทิ้งร้างไว้มาแล้วถึงสิบหกปี สำหรับตำนานเกมสยองขวัญกระตุกจิต Alone in the Dark จากค่าย Infogrames ที่เคยสร้างที่ทางและความตื่นตาตื่นใจให้กับเหล่านักเล่นเกมพีซีในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ด้วยคุณภาพกราฟิกระดับสามมิติเต็มรูปแบบ เกมการเล่นที่แสนลึกลับอึมครึม เพลงประกอบชวนขนลุก การแก้ปริศนาท้าสมอง และความสยองในทุกจังหวะที่พร้อม ฉีกหัวใจและทุกขนบที่เคยมีมา รวมถึงสร้างสารัตถะใหม่ๆ ให้กับแนวเกม ก่อให้เกิดความสำเร็จและผลงานระดับคลาสสิกตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ Resident Evil, Silent Hill ไปจนถึง Fatal Frame

     แน่นอนว่ามันถูกสร้างภาคต่อตามเนื้อหามาอีกสามภาค (ที่ได้รับความนิยมในหมู่แฟนๆ แต่ไม่อาจตะกายไปสู่ความสำเร็จด้านยอดขายได้เท่าเทียมกับภาคแรก) รวมถึงถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ระดับโยนทิ้งกระบะลดราคาได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังซ้ำสอง (จากฝีมือการกำกับของ... ต้องให้ผมพูดชื่อออกมาจริงๆ เหรอครับ?) ไปอีกหนึ่งเรื่อง ทั้งหมด ดูราวกับว่าจะเป็นคำสาปจากความสุดยอดที่ภาคแรกต้นตำรับดั้งเดิมแห่งความสยองได้เหลือทิ้งท้ายไว้ ที่เหมือนจะบอกเป็นนัยกลายๆ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลังนั้น ไม่คู่ควร และไม่สมควรแก่การกลับมาแห่งความมืดมิดอนธกาลที่แสนจะชั่วร้ายและลึกลับนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เปลวเพลิงและสภาพแวดล้อมที่สามารถลุกไหม้ แตกสลาย และผุพังได้ตามจริง
(ดังนั้นจงอย่าอ้อยอิ่งนานเกินไปนัก)

     มันคงจะต้องเป็นเช่นนั้น... จนกระทั่งกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวชาวฝรั่งเศส ภายใต้สังกัด Eden Games ผู้ที่ผ่านงานเกมแข่งรถมามากมาย (รวมถึงผลงานล่าสุดอย่าง Test Drive Unlimited) ออกท้าทายความลึกลับและคำสาปอาถรรพ์แห่งตำนานเกมผจญภัยด้วยความรักอย่างสุดหัวใจที่มีต่อซีรีส์นี้เป็นที่ตั้งเมื่อปี 2006 ที่ผ่านมา กับ Alone in the Dark: Near Death Investigation ที่พร้อมจะปฏิรูปยกเครื่องความเป็น AitD เสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดท้าย ภายใต้แนวคิดเปิดกว้างกึ่ง Free-Roam และระบบฟิสิกส์สุดเฉียบที่จะช่วยรีดเร้นความตื่นระทึกและความลึกลับแห่งสวนสาธารณะ Central Park อันเป็นฉากหลังของเกมให้พุ่งสูงทะยานติดเพดานบิน

     เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก AitD5 ผ่านการปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติม ฝ่าฟันกับทั้งเสียงครหา ข่าวลือ และตบแต่งเสียจนเข้าใกล้ความสมบูรณ์เข้าไปทุกขณะ และสำหรับใครที่ยังคงลังเล รวมถึงหวาดกลัวกับการอยู่ในเงามืดแต่เพียงลำพังนั้น...

      ข่าวร้ายคือคุณไม่มีทางเลี่ยงมันได้...

     เพราะในขณะที่คุณกำลังอ่านหน้าบทความมาจนถึงวรรคนี้ ประตูแห่งความมืดมิดอนธกาลคงพร้อมเปิดออกและอาละวาด ฉุกกระชากผู้หลงผิดเข้าสู่ห้วงหุบเหวแห่งความลับตาม Harddisk ของทุกท่านไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

      ส่วนข่าวดีน่ะหรือ... ก็เราไม่คิดจะปล่อยคุณโยนใส่ปากหลุมแต่เพียงลำพังน่ะสิ เพราะในหน้าบทความถัดจากนี้ไป เราจะขอขันอาสานำคุณสำรวจเก็บตกทุกความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้น (และกำลังจะเกิด) ในการผจญภัยในห้วงมืดครั้งที่ห้าในช่วงสองปีที่ผ่านมา และช่วยให้คุณย่างก้าวต่อไปด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น (แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง) แทนที่จะคลำไปแบบหนวกบอดใบ้กับทุกสิ่ง...

ชายที่เยื้องย่างกรายภายใต้เงามืดเพียงลำพัง...

       เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร... สายตาพร่ามัว อาการปวดที่หัวบีบคั้นจนถึงขีดสุด เขาค่อยๆ ขยับตัวไปอย่างเชื่องช้าพลางนึกสงสัยว่า เขากำลังอยู่ที่ไหนกันแน่...

Edward Carnby กับคู่หูสาว Sarah กับภารกิจตามล่าความลับแห่งสถานการณ์โกลาหล

      ความกังขายังคงวนเวียนต่อไปไร้ทางออก ทุกสิ่งยังคงนิ่งงัน มีเพียงภาพของห้องสไตล์ Victorian โบราณที่จัดสร้างเป็นห้องพักชั่วคราว และชายที่เรียกตนเองว่า Theo ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มลัทธิลึกลับในชุดเสื้อโค้ทสีดำ ที่ประดังคำถามเพิ่มเติมเข้ามาในห้วงแห่งความสับสน และสิ่งเดียวที่เขาได้รู้ในวินาทีนั้น คือชื่อของตัวเอง... Edward Carnby...

     หลังการสนทนา เรื่องราวทั้งหลายเริ่มปะติดปะต่อไปได้บางส่วน และ Edward พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางมหานครนิวยอร์ก ที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปสู่ความผิดปกติจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความมืดลึกลับย่างกราย ตึกรามบ้านช่องพังพินาศ สัตว์ร้ายสุดประหลาด และประวัติศาสตร์ที่บิดผัน ทั้งหมด มีจุดร่วมอยู่ที่ Central Park สวนสาธารณะประจำเมืองที่ใหญ่ที่สุด นั่นทำให้เขาต้องร่วมมือกับ Sarah ผู้ติดตามสาวของกลุ่ม เพื่อจัดการกับปัญหาและไขปริศนาว่าเพราะสิ่งใด (หรือเพราะใคร) ที่เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์เหนือธรรมชาติดังกล่าวก่อนที่มันจะสายเกินแก้ พร้อมกับค้นหาความทรงจำที่ขาดหายของตนเองไปในคราวเดียวกัน

หยิบของผมผสมกันเพื่อสร้างเป็นอาวุธ

     แต่ดูราวกับทุกอย่างจะยังไม่ทวีความซับซ้อนมากพอ เพราะในระหว่างการผจญภัย เขาต้องรับฟังคำแนะนำที่เป็นดั่งปริศนาผ่านสายโทรศัพท์จากชายที่เรียกตนเองว่า ‘Crowley’ ที่ทั้งคอยช่วยเหลือและขัดขวาง Edward ไปในเวลาเดียวกัน และดูเหมือนว่าชายลึกลับผู้นี้ จะรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดและชะตากรรมของ Edward มากกว่าที่ใครจะคาดคิด

     ขอต้อนรับทุกท่าน... สู่โลกแห่ง Alone in the Dark

คิดใหม่ แก้ใหม่
กับระบบการเล่นที่หนุนส่งเกมแนว Horror Adventure ไปอีกระดับขั้น

เมื่อศัตรูอันตรายและว่องไวขึ้น
ระบบการกวัดแกว่งอาวุธแบบใหม่ที่ตอบสนองได้ทันต่อสถานการณ์จึงขาดไปเสียไม่ได้ 

     ถ้าจะกล่าวถึงระบบการเล่นโดยรวมๆ ของ Alone in the Dark ภาคล่าสุด เราคงหนีไม่พ้นเรื่องของความสมจริงทางระบบฟิสิกส์ และความเปิดกว้างทางเนื้อหาและเกมการเล่น แต่เกมเดี๋ยวนี้ก็ชูความสมจริงและโลกที่เปิดกว้างว่าเป็นจุดเด่นของตนทั้งนั้น มันจึงเกิดความกังขาในหมู่นักเล่นที่ติดตามอยู่ไม่น้อย ว่าแนวความคิดที่แสนจะทะเยอทะยานดังกล่าว จะสามารถประยุกต์เข้ากับเกมการเล่นจริงๆ ได้มากน้อยเพียงใด และมันจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน และย่อหน้าถัดจากนี้ เราก็จะไปทำความรู้จักกับรูปแบบของสิ่งที่สามารถเล่นได้ และเป็นหัวใจหลักสำคัญของ AitD5 ในครั้งนี้กัน

      อย่างแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดคือหน้าจอสั่งการของตัวเกม อย่างที่ทาง Eden Games ได้เคยกล่าวเอาไว้ในช่วงแรกๆ เพราะในเกมนี้ จะไม่มีสิ่งใดมารบกวนอยู่ในคลองสายตาและหน้าจอเลยแม้แต่อย่างเดียว ตัวอย่างง่ายๆ ในเบื้องต้นคือ จะไม่มีแถบบอกพลังชีวิตและจำนวนกระสุนเฉกเช่นเกมอื่นๆ รวมไปถึงช่องเก็บของที่ไม่ได้แบ่งออกเป็นหน้าจอตายตัว (แบบเกมสูตรสำเร็จอย่าง Resident Evil หรือแม้แต่ Alone in the Dark: The New Nightmare ที่ถอดสูตรดังกล่าวมาทั้งดุ้น) แต่จะใช้การก้มลงมองที่ช่องเก็บอันแสนจำกัดในเสื้อแจ็คเกตหนังของ Edward (รวมถึงการรักษาพยาบาลบาดแผลซึ่งใช้รูปแบบเดียวกัน) ซึ่งรูปแบบดังกล่าว นอกจากจะไม่ตัดอารมณ์ของผู้เล่นออกจากเกมโดยไม่จำเป็นแล้ว มันยังเป็นปัจจัยสำคัญในระบบการเล่นกับ ‘สิ่งของ’ ของเกมนี้ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เช่น ถ้าในช่องเก็บของมีขวดเหล้าและเศษผ้า เราก็สามารถนำมาผสานกันจนกลายเป็นระเบิดขวด Molotov Cocktail เพื่อใช้เป็นอาวุธสังหาร และการมีช่องเก็บของที่สามารถก้มมองและรู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถือว่าช่วยให้เกิดประโยชน์ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหนึ่งๆ ได้มาก อีกทั้งผู้เล่นสามารถกำหนดปุ่ม Shotkey สำหรับการผสานไอเทมประเภทหนึ่งเอาไว้ตายตัว ขอเพียงแค่มีไอเทมที่จำเป็นสำหรับสิ่งของอยู่ในช่องเก็บ แค่กดปุ่มเดียว ทุกอย่างก็เสร็จสรรพพร้อมใช้งาน ยังไม่นับรวมถึงบรรดาสิ่งของอื่นๆ ที่ Edward สามารถหยิบฉวยมาเป็นอาวุธสังหาร ตั้งแต่ประแจ ชะแลง ค้อน ท่อนไม้ จนถึงดาบเหล็กที่ผสานรวมกับระบบการออกอาวุธแบบใหม่ ที่ผสานมุมมองเหนือหัวไหล่ (มุมมองแบบเดียวกับ Resident Evil 4) เข้ากับมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (แบบเกม First Person Shooting ทั่วไป) ที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถกำหนดทิศทางการโจมตีได้โดยอิสระและสมจริง ตั้งแต่การเหวี่ยงสวิงของค้อน ไปจนถึงการกะจังหวะเล็งยิงระเบิดขวดด้วยกระสุนปืน (แน่นอน เกมนี้มีปืนให้ใช้ แต่ถ้าหวังจะพบกระสุนทุกหัวมุมคงดูจะฝันหวานเกินไป)

ระบบช่องเก็บของของ AitD5 นี้ เน้นความเข้าใจและใช้ง่าย
รวมถึงต้องไม่ทำให้อารมณ์ของผู้เล่นขาดช่วง

     ผู้พัฒนาตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะปรับปรุงรูปแบบดังกล่าวเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน ไม่ติดอยู่ในกับดักของมุมกล้องที่แสนเทอะทะและงุ่มง่ามแบบที่เกมแนวนี้พึงประสบมาโดยตลอดอย่างที่เคยเป็นมา ยิ่งกับศัตรูหลักๆ ในเกมภาคนี้ที่ทวีความโหดอำมหิต วิปริต และประสานงานกันอย่างเป็นระบบ ทั้งซอมบี้ ปีศาจจากเงามืด และของเหลวสีดำลึกลับด้วยแล้วนั้น การตอบสนองให้ทันท่วงทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็นับว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และถ้าขืนมัวใช้รูปแบบเก่าๆ ก็คงไม่ทันกินเป็นแน่

Free-Roaming… เทรนด์เก่าเล่าใหม่ที่ไปกันได้ดี

ระบบแผนที่ GPS ของเกม บอกทิศทาง สถานที่ และตำแหน่งภารกิจตามสไตล์ Free-Roaming

     แต่ระบบสั่งการ ช่องเก็บของ และการโจมตีก็ใช่ว่าจะเป็นจุดหลักเพียงหนึ่งเดียวที่ทาง Eden Games พร้อมใจนำเสนอ เพราะในคราวนี้ ตัวเกมจะทวีความกว้างขวางมากกว่าที่เคย ด้วยทีมพัฒนาที่เลือกใช้ระบบ Free-Roaming อันเป็นสูตรจากเกมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น GTA มาประยุกต์ใช้ซึ่งน่าจะเหมาะสมเพราะธีมหลักของตัวเกมเองก็อยู่ในพื้นที่ของ Central Park อันแสนกว้างขวางที่ถูกบรรจงเรนเดอร์ทุกรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้เล่นสามารถเลือกในสถานการณ์หนึ่งๆ ว่าจะไป หรือทำสิ่งใดก่อน รวมไปถึงการจัดการกับปัญหาและปริศนาที่เน้นแนวคิด ‘สมจริง ถูกต้องตามหลักเหตุผล และลื่นไหลมากที่สุด’ ประตูที่ปิดตาย กำแพงไม้ ผนังห้อง ถ้ามันสามารถทุบ ทำลาย และเผาได้ตามที่มันควร มันก็จะต้องเป็นเช่นนั้น ท่อนไม้และทางน้ำมันสามารถติดไฟเพื่อไล่ให้ปิศาจร้ายหลีกหนี สายไฟฟ้าแรงสูงสามารถจับและเหวี่ยงไปที่รั้วเหล็กให้กลายเป็นรั้วไฟฟ้า ขาโต๊ะที่ลุกไหม้เพื่อใช้เป็นอาวุธ ไฟฉายใช้เบี่ยงเบนความสนใจ สายสลิงเพื่อเกี่ยวโหน ไปจนถึงซากรถที่นอกจากจะติดเครื่องเป็นยานพาหนะ (ผ่านระบบจั๊มป์สตาร์ทเชื่อมสายไฟ หนึ่งในหลายๆ มินิเกม จำนวนมากที่มีอยู่ในเกมนี้) ที่ใช้ขับเคลื่อนไปในพื้นที่อันแสนกว้างขวางของ Central Park ได้แล้วนั้น น้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เพื่อ ‘ก่อกองเพลิง’ และกลายสภาพเป็นลูกระเบิดขนาดย่อมๆ ในการทำลายล้างวงกว้างได้อีกทางหนึ่งด้วย

อาจเป็นครั้งแรกในเกมผจญภัยสยองขวัญ ที่มีอาวุธสุดแนว อย่างเช่น เก้าอี้ติดไฟตัวนี้

     แต่ก็ใช่ว่าตัวเกมจะปราศจากปริศนาสูตรสำเร็จเดิมๆ เพียงแต่สิ่งที่ไร้ซึ่งเหตุผลมากๆ อย่างวิ่งไปอีกสุดขอบของพื้นที่หนึ่ง เพื่อเก็บเหรียญมาเปิดประตูในอีกสุดขอบของอีกพื้นที่จะถูกตัดออกไป (หลายคนที่ผ่านเกมแนวนี้มาก่อน คงรับรู้ได้ว่ามันน่าเบื่อมากมายแค่ไหน) อย่างเช่น ประตูนิรภัยที่มีแป้นกดรหัส ถ้าสังเกตดีๆ จะพบคราบเลือดรอยนิ้วมืออยู่สามปุ่ม ซึ่งมันก็ไม่เป็นการยากในการเดาตัวเลขชุดดังกล่าว แต่ถ้าใครคิดว่ามันชักช้าไม่ทันใจ จะใช้ไขควงเปิดกล่องและลัดวงจรก็ทำได้

ไต่ระทึกตึกระฟ้า หนึ่งใน Sequence สุดแสนตื่นเต้นที่ตัวเกมพร้อมนำเสนอผู้เล่นไม่ได้ขาด

      ทุกองค์ประกอบที่ได้กล่าวมาจะถูกนำมาผสานรวมกันเพื่อให้แน่ใจว่าการเล่นของ AitD5 นั้นจะลื่นไหลไร้รอยสะดุด และคงความเป็นเกม Action-Adventure ความเร็วสูงที่เร้าทุกสัมผัสของผู้เล่นให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา (ทางผู้พัฒนาก็แน่ใจว่า ความเปิดกว้างดังกล่าว จะไม่ทำให้เกมเสียสมดุลอย่างแน่นอน) และน่าจะทำให้ AitD5 กลายเป็นความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด ที่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจ และความน่านำกลับมาเล่นซ้ำอย่างที่เกมแนวนี้อาจจะยังไม่สามารถทำได้ในช่วงที่ผ่านมา
แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบ Free-Roaming ที่ปรากฏให้เห็นนั้น มันอดไม่ได้ที่จะต้องมีหนึ่งคำถามสำคัญเกี่ยวกับความเป็นไปต่างๆ ว่า มันจะยังรักษาความน่าสนใจและตรึงผู้เล่นโดยไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางไปก่อนได้หรือไม่ และนั่น นำไปสู่คำตอบและองค์ประกอบสุดท้ายที่ทาง Eden Games ภูมิใจนำเสนออย่างถึงที่สุดและน่ากังขาไม่แพ้กัน

ความตอนที่แล้วมีอยู่ว่า...

      และนี่คือหัวใจหลักอย่างสุดท้ายของ AitD5 ที่สำคัญที่สุด เพราะตัวเกมจะฉีกแนวการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา จาก 1-2-3-4 ไปสู่การดำเนินเนื้อหาที่ซับซ้อน มีลูกล่อลูกชน ตั้งแต่รู้จักผ่อนหนักเป็นเบา เร้าอารมณ์ผู้เล่นให้ตรึงกับสถานการณ์ชวนหวาดเสียวและลุ้นให้ติดตาม (อย่างเช่น ฉากไต่เชือกขึ้นตึกระฟ้า หรือฉากหนีตายบนรถแท็กซี่ท่ามกลางซากเมืองพินาศ) ไปจนถึงแทงกั๊กเรื่องราวและเผยความลับเบื้องลึกผ่านการวางสคริปต์และบทที่รัดกุมในการดูแลของ Lorenzo Carcaterra นักเขียนมือฉมังที่ประพันธ์ผลงานสยองอย่าง Sleepers (ที่แปลงเป็นภาพยนตร์จอเงิน นำแสดงโดย Robert De Niro , Brad Pitt และ Dustin Hoffman) และคลอด้วยเสียงเพลงโหยไห้ลึกลับสไตล์บัลกาเรียนจากอัลบั้ม Mystery of Bulgarian Voices Choir ที่ขึ้นแท่นรับรางวัล Grammy Award และผ่านการรีคัฟเวอร์โดย Olivier Deriviere ที่เคยฝากผลงานไว้แล้วกับเกมผจญภัยสยองขวัญวัยรุ่นอย่าง Obscure ทั้งสองภาค และเมื่อผสานทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผลที่ได้ก็ประหนึ่งทีวีซีรีส์ยอดฮิตอย่าง 24 , CSI หรือ Lost ที่มีผู้ชมตามติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง รวมถึงจะใช้รูปแบบเดียวกันกับที่มีอยู่ในแผ่นภาพยนตร์ DVD คือผู้เล่นสามารถ ‘เลือก’ ได้ว่าจะเข้าเล่นในจังหวะใดของตัวเกมก็ได้ หรือจะกดข้ามในสถานการณ์ที่ยากลำบากเกินกว่าจะแก้ไขไปได้ก็สามารถทำได้ตามที่ต้องการทุกเวลา

ฉีกทุกขนบการเล่าเรื่องของเกมกับระบบเลือกฉาก! อยากเล่นจุดไหนก็ไปจุดนั้น
(แต่ถ้าอยากดูฉากสุดท้าย ต้องเล่นให้จบสถานเดียว)

      แต่ David Nadal โปรดิวเซอร์หลักของเกมก็ดักทางผลข้างเคียงจากระบบดังกล่าวเอาไว้เสร็จสรรพ เพราะทั้ง Archievement รวมถึง ‘ภาพยนตร์คั่นฉาก’ และ ‘ฉากจบ’ ของตัวเกมนั้น ผู้เล่นต้องสัมผัสและเล่นให้ครบทุกเรื่องราวในเกมแต่เพียงสถานเดียวจึงจะได้มา (แบบที่เป็นใน Scene Selection ของภาพยนตร์ ที่แบ่งออกเป็นช่วงๆ แต่ผู้ดูไม่สามารถรับชมรายละเอียดปลีกย่อยที่ขาดช่วงไปได้) ถือเป็นการป้องกันอาการขี้เกียจของผู้เล่นบางคนที่คิดจะกดๆๆๆๆ ระบบดังกล่าวไปสู่ฉากจบสถานเดียวได้ดีไม่ใช่เล่น และเป็นการกำหนดกรอบถึงการใช้ระบบดังกล่าวเพื่อให้มีไว้แค่ ‘อรรถรส’ ในการรับชมแต่เพียงเท่านั้น

เมื่อความมืดมิดสูญสลาย สู่แสงสุดท้ายอันเรืองรอง

      แต่กระนั้น แม้ทุกองค์ประกอบที่กล่าวมาในความเป็นตัวเกมจะดูดีมีสไตล์ ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม และเน้นทุกส่วนเพื่อรีดเร้นเอาประสบการณ์อันสุดยอดของผู้เล่นทุกคนออกมาให้ได้มากที่สุด แต่ความสำเร็จระดับ Cult ของ Alone in the Dark ภาคต้นตำรับก็ยังคงทิ้งความน่ากังขาไว้ว่า กับบรรดาทีม Eden Games ที่ผ่านผลงานหลักๆ ก็มีแต่เกมแข่งรถ จะสามารถพลิกฟื้นตำนาน และทลายคำสาปความล้มเหลวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นลงได้หรือไม่?

ตอนต่อสัปดาห์หน้าใน Alone in the Dark :: ฉากขับรถหนีตาย

      “จะมีก็แค่เกมภาคแรกต้นตำรับเท่านั้นครับ ที่เราอ้างอิงถึง เพราะนั่นคือภาคที่พวกเรา (ทีม Eden Games) รักและเราอยากจะให้ผลงานชิ้นใหม่ คือมรดกตกทอดในเรื่องความล้ำหน้าแห่งยุคสมัยที่มันเคยเป็นมา... ” นี่คือคำกล่าวของ Nour Polloni หนึ่งในโปรดิวเซอร์ และทีมงานหลักที่ร่วมพัฒนา AitD5 ซึ่งมันบ่งบอกถึงความรักและศรัทธาที่มีต่อซีรีส์สยองกระตุกขวัญเต็มหัวใจ และเขากับทีมงาน พร้อมที่จะสืบสานตำนานดังกล่าวไปสู่ยุคสมัยหน้า อย่างมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความมืดมิดราวกับไม่มีที่สิ้นสุด...

      แต่ก็คงเป็นดังเช่นในฉากจบของ Alone in the Dark ในทุกภาคที่ผ่านมา ที่ปลายทางแห่งอุโมงค์ มีแสงสว่างฉายสาดส่องลงมาอยู่เสมอ และถ้านั่น คือสิ่งที่พวกเรานักเล่นเกมทั้งหลายต่างรอคอยมาเป็นเวลาช้านานแล้วละก็...

      “มันก็คงจะถึงเวลาที่เสียงเพรียกหาแห่งความมืดมิดจากอดีตกาล จะกลับมาสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเองกันเสียที...”

  

แชร์เรื่องนี้: