โรควุ้นในลูกตาเสื่อม
ในปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆเพิ่มขึ้นมามากมาย รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆด้วยสาเหตุอะไร เช่น ทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต หรือ เล่นเกมส์ โรควุ้นในตาเสื่อม ก็เป็นอีกหนึ่งโรค ที่เป็นผลพวงมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งในขณะนี้ มีผลสำรวจจากทางหนังสือพิมพ์มาแล้วว่า มีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคนในประเทศไทย และ 14 ล้านคนนี้เป็นแ่ค่ผู้ที่มีข้อมูลบันทึกไว้เท่านั้น ยังมีคนอีกมากที่เป็นอย่างไม่รู้ตัว
• ลักษณะอาการของโรคนี้เป็นอย่างไร
สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้ให้ลองสังเกตุจากตัวเองได้เลยว่าลักษณะการมองเห็นของเราเป็นอย่างไร โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะเห็นเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆเป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งอาการที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือประสาทของลูกตาฉีกขาด จะทำให้คุณได้เห็นกับแสงแฟลซในที่มืด ไม่ว่าจะลืมตา หรือหลับตา ก็สามารถมองเห็นได้ ลักษณะนี้เข้าขั้นอันตราย ควรไปปรึกษาจักษุแพทย์ เป็นการด่วน
• แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรหล่ะ ?
โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และ ไม่จำกัดช่วงอายุวัย แล้วเสียด้วย เพราะในปัจจุบันผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการดูโทรทัศน์ และ อ่านหนังสือในที่ๆแสงสว่างไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน การอ่านตัวหนังสือที่อยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะอ่าน นิยาย ไดอารี่ บทความ สามารถทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะถ้าการอ่านหนังสือจากกระดาษธรรมดา ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และ จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ) ทำให้การปรับระยะโฟกัสนั้นไม่แน่นอน บวกกับลักษณะของการอ่านหนังสือบนคอมพิวเตอร์ เราจะต้องใช้เมาส์เลื่อนลงอยู่เรื่อยๆ ทำให้การมองเห็นจะดูกระตุกๆ และการพิมพ์ตัวหนังสือก็เช่นเดียวกัน ทำให้คุณต้องก้มๆเงยๆ อยู่ตลอดเวลา (ในกรณีของคนที่พิมพ์แล้วต้องมองแป้น) ซึ่งหลังจากทำกิจเหล่านี้ไปนานๆ จะทำให้คุณเกิดอาการปวดลูกตา
• ข้อสรุปโดยรวม ที่ทำให้เกิดโรคนี้
1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"
2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา
4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)
• มาตรวจเช็คการมองเห็นของเรากันแบบง่ายๆกันดีกว่า
ก่อนอื่นลอง สั่งพริ้นท์ Amsler Chart รูปนี้แล้วมาลองตรวจสอบสายตาของเรากันดูดีกว่า
วิธีใช้
1. ให้ลองเช็คสายตาทีละข้าง ด้วยสายตาปกติหรือจากแว่นสายตาของคุณ
2. ถือ Amsler Chart ในระยะอ่านหนังสือ
3.ให้เพ่งมองที่ จุดดำกลาง Chart โดยให้สังเกต ตารางใน Chart ว่า มีช่องไหน เส้นไหน ตำแหน่งไหน ผิดปรกติ ไหม ถ้า มี อาการ ภาพตาราง แหว่ง หาย นูน เป็นคลื่น ให้จดตำแหน่งต่างๆ ไว้ แล้วนำไปแจ้ง จักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที
หลายๆคนอาจคิดไม่ถึงว่าการเล่นคอมพิวเตอร์หรือการใช้สายตาเป็นระยะเวลานานๆนั้น เป้นสาเหตุนึ่งของการตาบอดได้ ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นอาการที่ไม่รุณแรง แต่ถ้ารู้ไว้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง คงจะดีกว่าการที่เราเดินไปพบหมอ แล้วเขาให้คำตอบว่า " อาการนี้รักษาธรรมดาไม่หายแล้ว ต้องผ่าตัดอย่างเดียว "