รีวิวหนัง Jurassic World Rebirth - เกิดใหม่อีกสักที กลับไม่ดีขึ้นเลย

แชร์เรื่องนี้:
รีวิวหนัง Jurassic World Rebirth - เกิดใหม่อีกสักที กลับไม่ดีขึ้นเลย

ตอนที่ชมภาพยนตร์ Jurassic World Rebirth จบผมรู้สึกว่าเหนื่อยล้าอยู่สักหน่อยไม่ต่างจากเหล่าตัวละครในเรื่อง แน่นอนว่าการได้รับชมตัวละครออกตะลุยโลกเร้นลับต้องเผชิญอันตรายมากมาย มันก็มีเอเลเมนต์ชวนให้สนุกประมาณหนึ่งอยู่แล้ว แต่ความเหนื่อยล้าที่ผมว่ามานั้นกลับไม่ได้มาจากอารามลุ้นของการผจญภัยใดๆ แต่มันคืออารมณ์ในภาพรวมต่อหนังมากกว่า เพราะแม้ว่าตัวหนังจะมาพร้อมความพยายามจะฉีกจากกรอบเพื่อความสดใหม่ แต่ผลลัพท์ที่ได้มันกลับกลายเป็นอารามถอนหายใจ จนรู้สึกไปว่าภาค Dominion ที่หลายคนสาปส่ง ผมยังรู้สึกว่ามันเดินเรื่องได้สนุกกว่านี้อีก

ทั้งนี้ Jurassic World Rebirth เป็นประหนึ่ง Soft Reboot ของแฟรนไชส์ ที่พยายามจะแก้กรรมจากภาคก่อนหน้า รวมไปถึงนำเสนอไอเดียใหม่ๆ ที่ฉีกจากกรอบของความเป็นจริงไปเลยด้วยการนำเสนอไดโนเสาร์ที่มาจากการทดสองที่ผิดพลาดของมนุษย์จนมีรูปลักษณ์ออกไปในทรงนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่า ทำให้ตัวเรื่องเลือกจะดำเนินไทม์ไลน์ต่อจากภาคล่าสุดของมันและพาตัวละครกลับไปผจญภัยในเกาะเร้นลับกันอีกครั้ง โดยที่เรื่องได้บอกเราไว้ตั้งแต่ในตัวอย่างว่าที่เกาะนี้มีแต่ไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุดเท่านั้น

Jurassic World Rebirth

ซึ่งด้วยเมสเสจดังกล่าวผนวกกับคอนเซปต์ไดโนเสาร์ทดลองผิดพลาด อดไม่ได้ที่จะคาดหวังความตื่นเต้นเน้นบันเทิงเป็นสำคัญ ชนิดที่แม้เนื้อเรื่องจะแผลเหวอะขนาดไหน ก็พร้อมจะให้อภัยหากมีซีนไดโนเสาร์เจ๋งๆ เยอะๆ และ Jurassic World Rebirth ในแง่หนึ่งก็อาจจะไม่ได้ชวนผิดหวังนัก เพราะตัวหนังมาพร้อมกับการนำเสนอไดโนเสาร์หลากสายพันธุ์ ทั้งที่เคยปรากฎตัวมาแล้ว, ตัวใหม่ๆ ที่ได้เดบิวต์ครั้งแรก หรือตัวเดิมในร่างใหม่ ต่างพาเหรดมาโชว์สกรีนไทม์กันบนจอเพื่อมีซีนของตัวเอง ซึ่งก็ค่อนข้างทั่วถึงอยู่เหมือนกัน แต่เพราะความหลายสายพันธุ์และมีซีนกันแทบทุกตัวนี่แหละ ที่ทำให้ภาคนี้ขาดซีนไอคอนิคหรือดาวเด่นไปเลย อย่างสไปโนซอรัสที่ส่วนตัวอยากเห็นรูปลักษณ์ในภาคนี้ แม้จะเด่นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ผู้ชมกลับไม่มีช่วงได้ยลรูปร่างมันชัดๆ เต็มๆ หรือไอคอนของแฟรนไชส์อย่างทีเร็กซ์ โอเคว่าบทเด่นประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีโพเทนเชี่ยลกว่านี้ ขณะที่ตัวขายของภาคอย่างดีเร็กซ์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ มีซีนแค่ท้ายเรื่องแถมไม่ได้โชว์ความน่าเกรงขามอะไร แม้หน้าตาจะน่ากลัว แต่ตัวหนังไม่ได้โชว์ฟังก์ชั่นอะไรของมันเลย เทียบไม่ได้กับอินโดมินัสเร็กซ์ในภาค 4 ที่เรารู้สึกว่ามันคุกคามผู้ชมสุดๆ จากศักยภาพที่มันโชว์ให้เห็นตลอดเรื่อง แล้วกับคำโปรยที่ว่า "ดุร้ายที่สุด" จะไม่ให้ผิดหวังได้ยังไง

Jurassic World Rebirth

ปัญหาใหญ่ของ Jurassic World Rebirth คือการออกแบบซีนไดโนเสาร์ไล่ล่าได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะมีซีนของมิวทาดอนกับซีนของทีเร็กซ์ที่พอโอเค แต่ในภาพรวมคืออัตราความระทึกมันน้อยเอามากๆ ไดโนเสาร์แทบทุกตัวไม่ได้แสดง "ความมุ่ง" จะเอาชีวิตคนให้มากพอ ความคุกคามของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเน้นย้ำในเรื่องว่า "ที่สุดของความโหด" กลับไปไม่ถึงครึ่งของทีเร็กซ์หรือยิ่งไม่ต้องเทียบกับฝูงแร็ปเตอร์ในภาคแรกกับภาคที่ 2 เลย มันคนละระดับเอามากๆ

Jurassic World Rebirth

พาร์ทของคนก็เป็นอีกส่วนที่ทำได้แย่ โอเคแหละว่าหนังพวกนี้การจะมีคนทำตัวโง่ๆ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และผมเองก็ไม่สนใจด้วยว่ามนุษย์จะทำตัวไร้ปัญญาขนาดไหนในหนังประเภทนี้ ตราบใดที่หนังสามารถนำเสนอจุดแข็งในพาร์ทที่ควรแข็งได้อย่างดี แต่ในหนังที่จุดแข็งยังยวบขนาดนี้ จุดอ่อนมันเลยกลายเป็นตัวลดทอนความสนุกลงไปอีก เรารู้แหละว่าหนังใส่ครอบครัวโชคร้ายมาเป็นวัตถุดิบหลักของการบุลลี่โดยเหล่าไดโนเสาร์ และจริงๆ คาแรคเตอร์ของครอบครัวนี้ก็เหมือนจะไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่ดันขาดไร้เรื่องของเซนส์ในการเอาตัวรอดอย่างร้ายแรง คือจะเกิดโง่เพราะความแพนิคก็เรื่องหนึ่ง แต่ดันไม่มีความระมัดระวังตัวเลยในพื้นที่ที่ไม่รู้จักก็เกินไปหน่อย ช็อตติดประมาทมีให้เห็นตลอดเรื่อง แม้บางครั้งจะนำไปสู่ซีนเจ๋งๆ อยู่บ้างแต่ภาพรวมคืออดรำคาญไม่ได้เลย

Jurassic World Rebirth

นอกจากนี้หนังยังวางลำดับเรื่องได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะครึ่งแรกก่อนเข้าเกาะที่พยายามอัดการปูเรื่องทุกอย่างเข้ามาจนผู้ชมที่อ่อนล้าบางท่านถึงกับหาวหวอดๆ แถมจะคุยกันก็คุยกันไม่สนุกอีก ช่วงก่อนถึงเกาะจึงกลายเป็นวัดพลังความอดทนของผู้ชมไปโดยปริยาย แม้พอช่วงเข้าเกาะแล้วก็ยังกระเตื้องขึ้่นไม่มากก็เถอะ

Jurassic World Rebirth

ขณะที่ Scarlet Johansson ก็ได้สานฝันตัวเองในการเล่นภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้ เธอพยายามเต็มที่และพยายามแบกหนังอยากเต็มแรง และแม้จะแท็กทีมกับอีกเบอร์ใหญ่อย่าง Mahershala Ali ก็ยังไม่อาจพาหนังไปสู่จุดที่น่าพอใจได้ เพราะหนึ่งส่วนที่ดีคงไม่อาจแบกสองส่วนที่ผุพังไปจนถึงฝั่งฝัน แน่ล่ะว่าหนังอาจไม่ได้ถึงขนาดย่ำแย่ขนาดนั้น แต่กับแฟนหนัง Jurassic ที่อยากเห็นอะไรมาลบล้างภาพตั๊กแตนของภาค Dominion ก็อาจจะผิดหวังไม่มากก็น้อย เมื่อพบว่าคุณกลับจำภาค Dominion ได้ดีกว่าเดิมในฐานะภาคที่เอนจอยกว่า Rebirth ไปเสียอย่างนั้น

Jurassic World Rebirth

ถึงจะบ่นไปเยอะ แต่หากตัดเรื่องการเปรียบเทียบหรือความคาดหวังส่วนตัวออกไป หากพิจารณาดีๆ Jurassic World Rebirth ก็ไม่ใช่หนังที่แย่อะไรนัก ซีนไดโนเสาร์เปี่ยมมนต์ขลังดูแล้วร้องว้าวอาจจะหายไปบ้าง แต่ในภาพรวมตัวหนังก็เสิร์ฟไดโนเสาร์ให้คนดูจุกๆ กันอยู่ และยังมีความเป็นหนังผจญภัยเอาตัวรอด ดูเอาบันเทิงก็ได้ไม่ถึงกับเสียเวลาอะไร มีโมเมนต์ที่เด็กๆ หรือหลายๆ คนน่าจะชอบกัน Jurassic World Rebirth คือตัวเลือกที่ดีของการเป็นหนังครอบครัวในช่วงนี้ แต่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักของแฟนหนังหรือแฟนซีรีส์ที่ต้องการช็อตลุ้นตัวบิดหรือชอตไอคอนิคที่เรียกความตื่นเต้นของโอตาคุไดโนเสาร์ได้แบบสุดปอด สำหรับผมแล้วมันไม่สมกับการได้เกิดใหม่อีกครั้งสักเท่าไหร่ แต่กับคุณๆ แล้วก็อาจไม่ใช่ ยังไงก็อยากให้ลองมาพิสูจน์กันเองในโรงภาพยนตร์ครับ

Jurassic World Rebirth

VERDICT
6.5/10

ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชม

Jurassic World Rebirth เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ 


ติดตามข่าวหนังอื่นๆ ได้ที่ Online Station

แชร์เรื่องนี้:
Dark_Libra
About the Author

Dark_Libra

Everything in this world comes down to the matter of ponytail

เรื่องที่คุณอาจสนใจ