รีวิวหนัง The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes – โลกที่บีบให้นกน้อยกลายเป็นงูพิษ

ผมไม่ได้เป็นแฟนของ The Hunger Games ไม่ว่าจะในฐานะของภาพยนตร์หรือหนังสือ แต่แน่นอนว่าการว่ายเวียนอยู่ในแวดวงนี้ก็ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างในฐานะ 1 ในภาพยนตร์ที่สร้างปรากฎการณ์ในปีที่มันฉายได้พอสมควร ผมลองไปดูภาคแรกของมันและพบว่าสนุกดี แม้กระนั้นก็ไม่ได้อินอะไร ตามต่อมั๊ยก็ไม่ รู้สึกว่าสำหรับผมมันจบไม่ค้างคาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว

ดังนั้นการมาของ The Ballad of Songbirds & Snakes จึงค่อนข้างจะ Out of nowhere พอสมควร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำจากหนังสือต้นฉบับที่ออกมาก่อนหน้าแล้ว ตอนเข้าไปดูก็คือแบลงค์ๆ เลย แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะได้รับรู้ถึงความเป็นภาพยนตร์เต็มๆ และไม่ต้องรู้เรื่องของจักรวาลนี้มากก็ดูรู้เรื่อง แถมยังสนุกด้วย เพียงแต่อาจจะเพราะด้วยฟอร์แมตของภาพยนตร์ทำให้มันเล่าเรื่องแปลกๆ ไปหน่อย

The Hunger Games

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes เล่าเรื่อง 64 ปีก่อนเหตุการณ์ในภาคหลัก โฟกัสไปที่ประธานาธิบดี คาริโอเลนัส สโนว์ ในวัย 18 ที่กำลังหนุ่มแน่น เต็มไปด้วยความหวัง เป็นบุคลากรชั้นเยี่ยมของพาเน็ม และเป็นชายที่เต็มไปได้ความพยายามและความรักเห็นอกเห็นใจ เรียกว่าเป็นชายหนุ่มยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง แต่อะไรที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นทรราชย์ไร้หัวใจได้ เราจะได้เห็นกันในภาคนี้ครับ

The Hunger Games

ตัวหนังแบ่งการเล่าเป็น 3 พาร์ท คือพาร์ทอารัมภบท พาร์ทของเกม และพาร์ทของเหตุการณ์หลังจากนั้น ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่งเราจะได้เห็นความบิดเบี้ยวของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน ในหลายๆ แวดวง ระบบที่การปกครองก่อกำเนิดขึ้นจากความกลัว และเปลี่ยนให้คนเรากลายเป็นอสุรกายมานักต่อนัก แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อาจต้าน แม้โกรธเกรี้ยวแต่ก็ต้องพยายามนิ่งเฉย แม้สะท้านใจกต้องพยายามนิ่งเข้าไว้ แม้จะรักสิ่งใดก็ต้องถูกมันทำร้ายในตอนท้าย

ด้วยเวลาสกรีนไทม์ค่อนข้างนานทำให้ตัวหนังใช้เวลาเล่าเรื่องได้อย่างคุ้มค่า เต็มไปด้วยรายละเอียด ขณะที่ Tom Blyth แบกบทของสโนว์ได้อย่างดี พร้อมฝากการแสดงที่น่าสนใจเอาไว้ทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าน่าจับตามองมากๆ

The Hunger Games

อย่างไรก็ตามผมมีความรู้สึกว่าเรื่องมีเพซการเล่าที่ประหลาด ก็อาจจะเพราะการพยายามตามงานเขียนด้วยส่วนหนึ่ง คือพอพาร์ท 2 ที่เป็นการแข่งเกมมันอึกทึกราวกับเป็นฉากฟินาเล่ ทำให้ตอนคลายปมช่วงพาร์ท 3 แม้จะทำได้ดี แต่ก็ฟีลลิ่งดรอปลงไปพอสมควร บางช่วงถึงกับเกิดอารามสงสัยว่า “ยังไม่จบเหรอ” ด้วยซ้ำไป

ในส่วนของนางเอกอย่าง Rachel Zegler ค่อนข้างเซอร์ไพรซ์พอสมควร ครั้งล่าสุดที่เห็นเธอแสดงก็คือภาพยนตร์อย่าง Shazam! Fury of the Gods ซึ่งแม้บทจะค่อนข้างเด่นประมาณหนึ่ง แต่อาจเพราะจริตหนังฮีโร่ทำให้ตัวเธอเองอาจจะยังไม่ได้เฉิดฉายนัก พอมาเรื่องนี้ที่เพิ่มความหนักหนาด้านบทบาทเข้ามา ก็ทำให้ Rachel ได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฉากร้องเพลงหลายๆ ฉากที่ทำเอาชวนทึ่งอยู่ไม่น้อย เสียงดีมาก ขณะที่การแสดงด้านอื่นก็เข้าคู่กับ Tom Blyth เชือดเฉือนระดับถึงพริกถึงขิงไม่มียอมกัน Rachel Zegler ในเรื่องนี้จัดว่าสมบทบาทเลยครับ

The Hunger Games

สรุปแล้ว The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes เป็นทั้งหนัง Prequel และภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีความยอดเยี่ยมในตัว เป็นผลงานที่โชว์ความบิดเบี้ยวของมนุษย์ในสังคมที่แตกต่างได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ก็เป็นภาค Prequel ที่ช่วยเติมเต็มจักรวาล The Hunger Games ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ใครที่อยากดูให้เต็มอารมณ์ก็แนะนำที่ IMAX with Laser ได้เลยครับ มีสัดส่วนพิเศษให้ดูกันเช่นเคย พร้อมเสียง 12 แชนแนลสุดกระหึ่มที่ตูมตามสุดๆ ช่วงแข่งเกม เป็นอีกหนึ่งโปรแแกรมภาพยนตร์ที่แนะนำให้ได้ดูกันครับ

The Hunger Games


VERDICT

7.5/10

ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://majorcineplex.com/booking2/search_showtime/movie=2126

ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชม

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้