รู้สึกมาสัก 2-3 ปี แล้วว่าหลังผ่านพ้นยุคนี้ไปฮอลลิวูดควรจะมีรูปปั้นของ Tom Cruise ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในฐานะผู้กอบกู้โรงหนังจาก Covid-19 และชายผู้รู้วิธีสร้างหนังบล็อคบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์ให้อร่อยปากได้อยู่เสมอๆ อย่างคราวก่อนเขาปรุงอาหารจานเก่าอย่าง Top Gun ด้วยเทคนิคใหม่ๆ จนกลายเป็นเมนูทรงคุณค่ากวาดรายได้มากที่สุดของปีโดยไม่ต้องพึ่งตลาดจีน
มารอบนี้พี่ Tom ของเราพาผู้กำกับคู่บุญ Christopher McQuarry มาสานต่อภาพยนตร์สายลับที่จะกลายเป็นการเซ็นมาตรฐานใหม่ของ Genre นี้อีกครั้ง กับหนังบ้าอะไรที่ยาวถึง 2.43 ชั่วโมง แต่เดินเรื่องไม่มีสะดุด ประเคนความตื่นเต้นไม่พัก เชือดเฉือนกันอย่างถึงใจ และวายร้ายที่น่ากลัวจนเซอร์ไพรซ์ สำคัญคือแม้จะเป็นพาร์ทแรกแต่ก็จับแบบไม่ได้ทำร้ายคนดูนักซ้ำยังเร้าให้ต้องการภาคถัดไปได้แบบพอดิบพอดี ไม่มีปล่อยให้คนดูโหนหน้าผา กลายเป็นว่าชื่อของ Mission: Impossible กลายเป็นเครื่องหมายการันตีความมันส์ไม่มีผิดหวังสำหรับผมไปแล้ว
เช่นเคยกับแฟรนไชส์นี้ที่ Ethan Hunt และทีมของเขาต้องกลับมาช่วยโลกอีกครั้งโดยไม่มีองค์กรแม่อย่าง IMF หนุนหลัง (อีกแล้ว) อย่างไรก็ตามผมไม่รู้สึกว่าเคยจะเบื่อการกู้โลกของพี่แกเลย เพราะ Mission: Impossible มักจะมีมุขใหม่ๆ มาเสิร์ฟอยู่เสมอ และมันมักจะดีขึ้นเรื่อยๆ คมคายขึ้นเรื่อยๆ และเสี่ยงตายขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพี่ทอมแก ฉากซิ่งมอเตอร์ไซค์ดิ่งเหวนี้ขนาดดูใน YouTube มาหลายรอบแล้ว แต่พอได้ไปดูในโรงจอเบิ้มอย่าง IMAX with Laser นี่คนละเรื่องเลย เสียวท้องน้อยไปหมด! แนะนำว่าถ้าใครจะไปดูเรื่องนี้ในแบบที่ Best in class ล่ะก็ IMAX with Laser คือคำตอบหนึ่งเดียวจริงๆ ครับ
ขึ้นชื่อภาคว่า Part One หราแบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่จบในภาคนี้อยู่แล้ว โดย Part Two จะมาฉายต่อในปีหน้า แต่ก็ไม่ต้องห่วงไปเพราะเรื่องนี้มีวิธีตัดภาคที่ไม่ทำร้ายหรือขี้โกงคนดูเกินไป อารมณ์เหมือนภารกิจแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจบแล้วเฟสถัดไปรอดูปีหน้านะ เพราะงั้นมันจึงมีความจบในตัวไม่ทิ้งผู้ชมแบบคลิฟแฮงเกอร์ ในขณะเดียวกันก็จัดเต็มไม่มีกั๊กในภาคของมัน พร้อมๆ กับส่งเรื่องราวไปหาภาคถัดไปด้วยมวลอารมณ์ที่สร้างให้ผู้ชมอยากรับรู้เรื่องราวตอนต่อได้สำเร็จ โดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกหนังกลั่นแกล้งนัก
นอกจากคิวบู๊แบบฉบับ MI ที่อาจไม่ได้สวยงามมาเชี่ยลอาร์ตมากนัก แต่ก็มาพร้อมความรวดเร็วดุดันและชวนระทึก ตัวหนังยังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม วอร์มนิดเดียวและติดเครื่องตั้งแต่เริ่มแบบไม่มีผ่อน อาจจะมีติดนิดหน่อยช่วงองค์สุดท้ายที่มีการขมวดปมภาคแรกแล้วข้อมูลจะทะลักใส่ผู้ชมอย่างมหาศาล ซึ่งอาจต้องใช้สมาธิกับมันแล้วคิดตามให้ทันสักเล็กน้อยว่าใครเป็นใครคิดจะทำอะไรอยู่ ซึ่งก็เป็นเหมือนผลลัพท์ขององค์แรกๆ ที่มีการเปิดตัวคาแรคเตอร์ต่างๆ แล้วเหลี่ยมกันไปเหลี่ยมกันมา ชิงไหวชิงพริบอย่างสนุกสนาน ถ้าตามให้ทันได้มันสนุกมากๆ เลยล่ะ
แต่ถึงจะตามไม่ทันเอาจริงๆ MI ก็ยังเป็นแฟรนไชส์ที่ผมว่าคนทุกวัยสามารถสนุกกับมันได้ มันคือหนังประเภทที่เปิดวนในร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วจะมีคนมายืนมุงดู หรือเคเบิลเอามาฉายวนซ้ำเป็น 10 รอบ แต่ถ้าคุณเปิดมาเจอก็จะนั่งดูมันอยู่ดีนั่นแหละ หลักใหญ่ใจความของมันคือคาแรคเตอร์ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีผสมผสานกับนักแสดงที่ใช่ ทำให้ผู้ชมหลงรักตัวละครนั้นๆ อย่างหมดใจ ทีมกับของอีธานเราคงไม่ต้องพูดถึงเพราะอยู่มาแล้วหลายๆ ภาค แต่สาวๆ ที่มาพัวพันกับอีธานนี่ผมว่า เทสต์ของ Christopher McQuarry นี่ไม่เบาเลยตั้งแต่แกมากำกับ Rogue Nation ก็แคสต์แต่ละคนมาเจ๋งๆ ทั้งนั้นแล้วบทดีด้วย ตั้งแต่ Rebecca Ferguson ในบท Ilsa ตัวละครหญิงที่ผมชอบที่สุดในจักรวาล MI, Vanessa Kirby กับบท White Widow ภาคนี้ยังมี Pom Klemantieff แม่หนู Mantis ที่มาในมาดมือสังหารสุดเบียว Paris และ Harley Atwell ในบท Grace ตัวละครนำคนใหม่ประจำ Arc ที่ส่วนตัวรู้สึกว่าเธอสวยกว่าตอนเล่นหนัง Marvel เยอะเลย
คาแรคเตอร์กลุ่มตัวเอกดีแล้ว ภาคนี้ยังมาพร้อมกับวายร้ายที่ผมรู้สึกว่าเซอร์ไพรส์ในความน่ากลัวของมัน ผ่านการวางบทบาทที่แยบยลเข้ากับยุคสมัยและบริบทของเรื่อง ใช่แล้วครับภาคนี้ Ethan ต้องสู้กับ AI ที่ตื่นรู้ทางความคิด ไม่ใช้การควบคุมแต่ใช้วิธีชักจูงมนุษย์ด้วยความโลภและความกลัว พร้อมการแทรกแซงทางดิจิทัลที่ต่อให้แฮกเกอร์มือดีขนาดไหนก็ยังไม่อาจต่อกร รวมไปถึงพลังการคิดคำนวนที่ยังมนุษย์ก็ไม่มีทางสู้ได้ด้านความไว Ethan คิดอะไร AI คาดเดาได้หมด ดังนั้นมันจึงหนักหนามากๆ สำหรับทีมของเขา แต่หากมันไม่สาหัสสากรรจ์ก็คงไม่ใช่ Mission: Impossible ใช่ไหมล่ะ เสน่ห์มันอยู่ตรงนี้ และตัวหนังสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ยอดเยี่ยมตลอดระยะเวลากว่า 2.43 นาทีที่ผ่านไปไวเหมือน 3 นาที พร้อมการกระสันอยากดูภาคต่อเสียเดี๋ยวนี้เลย
Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One คือภาพยนตร์ที่คุณคาดหวังกับมันมากขนาดไหน คุณจะได้สิ่งนั้นในแบบทบไปอีก นี่คือหนังแอคชั่นแห่งปีที่จะเข้าอยู่ในใจผู้ชมแน่นอน และพิสูจน์ได้อีกครั้งว่าชื่อของ Tom Cruise ยุคนี้มันเชื่อขนมกินได้จริงๆ ว่าถ้ามีงานของเขาเมื่อไหร่ มันจะเป็นทั้งหนังที่สนุก มีคลาส และเราจะหลงรักมันอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น เพราะหนังของเขาคือหนึ่งในคำตอบที่ว่าทำไมเราจึงยังควรเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ครับ
พิสูจน์ความสนุกด้วยตาตัวเองได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ Major Cineplex ทุกสาขาครับ
VERDICT
9.5/10
และถ้าใครกำลังมองหาหนังใหม่เข้าโรงสำหรับเดือนนี้ สามารถคลิกดูได้ที่นี่
ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://majorcineplex.com/booking2/search_showtime/movie=2012
ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชมภาพยนตร์
ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station