รีวิว: John Wick 3: Parabellum เมื่อความจนตรอกพามิสเตอร์วิคไปไกลกว่าที่คาดคิด

เราต่างรับรู้กันว่าในตอนจบภาค 2 พ่อหนุ่ม John Wick ได้พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่กำลังจะโดนทั้งโลกอาชญากรรมถล่มใส่ (ซึ่งก็โทษใครไม่ได้ เพราะทำตัวเอง) มีเพียงเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้นให้เขาหนีไปให้ไกลที่สุดจากคำสั่งอัปเปหิ “Excommunicado” ที่จะยกเลิกสถานะมือสังหารของเขาพร้อมริบบริการทุกอย่างปิดท้ายด้วยแปะค่าหัวตัวโตๆ ไว้ 14 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งถูกสั่งการอย่างจำใจโดย Winston บอสใหญ่ของโรงแรม Continental สาขา Newyork ชายผู้เรารู้สึกคล้ายๆ กับ John ว่าน่าจะไว้ใจหมอนี่ได้มาตั้งแต่ภาคแรก ดังนั้นแล้วคำถามสำหรับภาคนี้คือพี่ John ของเราจะทำอย่างไรกับ Quest ใหญ่ในชีวิตที่มองยังไงก็รอดยากนี้กันนะ?

ดังนั้นแล้วผมจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้และค่อนข้างสมเหตุสมผลที่ทั้งเรื่องจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ในการเคลียร์มัน และต้องแลกมาด้วยการเดินเรื่องที่แทบไม่ขยับไปไหน จนสร้างความหงุดหงิดใจเล็กๆ ให้กับหลายต่อหลายคน ไม่เว้นแม้ผมที่ก็จั่วหัวไว้แต่แรกว่า “เข้าใจในสิ่งที่เป็นไป” 

อย่างไรก็ดีนอกจากข้อเสียเล็กน้อยที่กล่าวไป หากจะเข้ามาดูความแอคชั่นของ John Wick นี่คือหนังที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ผู้กำกับ Chad Stahelski จัดหนักปล่อยของออกมาแบบไม่ยั้งทั้งความเดือด ความโหด ซีนแอคชั่นที่ทั้งสวย ดิบ ดุดัน เป็นนิยามคำว่า “เอากันให้ตาย” ล้วนมาครบจบกระบวนความ มาตรฐานที่ภาคแรกเคยทำไว้แล้วภาค 2 มาทำลาย ก็ได้รับการถล่มอีกครั้งในภาคนี้

เรียนตามตรงว่าเราคงไม่อาจหาหนังแอคชั่นเปี่ยมลูกบ้าขนาดนี้ดูได้บ่อยนัก สู้กันแทบไม่พัก ฆ่ากันแทบไม่หยุด ตลอดการหาทางออกสู่ชีวิตที่สงบบนถนนที่นองไปด้วยเลือดของ John Wick เราได้เห็นการงัดเอาศิลปะการต่อสู้หลายแขนงมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งยังถูกสื่อออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง ผ่านการวางพล็อต การออกแบบซีเควนส์ คิวบู๊ รวมถึงมุมกล้องได้เป็นอย่างดี ระดับที่เรียกได้ว่าใครอยากทำหนังแอคชั่นปังๆ สักเรื่อง ให้มาดู John Wick 3 นี่แหละ น่าจะได้กรณีศึกษาไปหลายเคส ในจุดนี้ต้องยอมกราบทีมสร้างจริงๆ เพราะแม้จะบู๊สะบัดขนาดไหน แต่เราไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเจนัก จากการเปลี่ยนโลเคชั่น เพราะเมื่อสถานที่เปลี่ยน การต่อสู้ก็จะเปลี่ยนรูปแบบ และนอกจากการเปลี่ยนสถานที่ เหล่าศัตรูก็มีรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างกันไปให้พี่ John ต้องพลิกตำรามารับมือเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ก็ส่งให้ตัวละครของเขาดูเหมาะควรกับฉายา “บาบาเยก้า” มากขึ้นไปอีก

แต่ถึงหนังจะดูเครียด และพาคนดูเหนื่อยล้าไปพร้อมตัวของ John ขนาดไหน หนังก็ยังมีมุขตลกเอ๋อๆ บ้อๆ บอๆ ที่ถูกใส่เข้ามาได้ถูกจังหวะและชาญฉลาด แบบแทบไม่มีแป้กเลย ได้ฮาตลอด ว่าแล้วก็ยิ่งรู้สึกทึ่งว่าจากหนังทีมสตั๊นท์แมนกับพระเอกคุยกันทำเล่นๆ เพื่อเอามันส์ จะมาได้ไกลขนาดนี้ และดูทีจะยังไปได้อีก เพราะแม้ประเด็นอย่างหนึ่งจะจบไป แต่ตัวหนังก็เลือกจะปลายเปิดไว้อีกหลายประเด็นชนิดว่าพร้อมเสียบปลั้กเดินเครื่องต่อทันที งานนี้พอดูจบคงมีหลายคนแหกปากร้องขอภาคต่อเร็วๆ แน่ครับ คอนเฟิร์ม!

John Wick 3: Parabellum ไม่เพียงแต่รักษาระดับมาตรฐานที่สูงชะลูดของตัวเองไว้ได้เท่านั้น แต่ยังลิมิตเบรคไปอีกขั้น จนเราต้องตั้งข้อสงสัยกันอีกครั้งว่า “พี่จะทำภาคหน้าให้ดีกว่านี้ยังไงวะ?” (ซึ่งตอนภาค 2 เราก็สงสัยแบบนี้แหล่ะ) ใครที่เป็นคอหนังแอคชั่นขอบอกเลยว่า John Wick 3: Parabellum ไม่ใช่โปรแกรมที่ผมจะแนะนำให้ไปดู แต่มันคือโปรแกรมที่คุณ “ต้องดู” ประจำปี 2019 นี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ข้อควรระวังคือ ต้องดูภาค 1-2 ไปก่อนนะ แล้วมันจะเป็น 2 ชั่วโมงกว่าที่คุ้มเวลาชีวิตคุณแน่นอน
 

9/10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้