นับตั้งแต่วิดีโอเกมถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะสื่อบันเทิงแขนงหนึ่งและได้รับความนิยมสูงภายในระยะเวลาอันสั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้สร้างหนังนำเกมชื่อดังไปประยุกต์หรือดัดแปลงมาทำเป็นภาพยนตร์อยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งการนำไปทำเป็นหนังจะออกมามีคุณภาพดีแค่ไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือและคุณภาพของทีมงานด้วย ทว่าส่วนใหญ่ก็จะเหมือนมีอาถรรพ์ที่ทำให้บรรดาภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเกมมักจะไม่ประสบความสำเร็จกันเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้ทางทีมงาน OS เลยขอรวบรวม 5 ภาพยนตร์จากเกมที่ทำออกมาได้แย่จนแฟนๆ อยากจะลืมๆ ไปว่าเคยมีหนังเรื่องนี้อยู่บนโลกกันครับ มาชมกันเลย
------------------------------------
1. Super Mario Bros.
เข้าฉายครั้งแรก: 28 พฤษภาคม 1993
ทุนสร้าง: 48 ล้านเหรียญ
รายรับในสหรัฐฯ: 20.9 ล้านเหรียญ
เรามาเริ่มด้วย Super Mario Bros. เกมระดับขึ้นหิ้งของทาง Nintendo ก่อนเลยครับ ซึ่งเกมเมอร์จะทราบกันดีว่าเกม Super Mario Bros. นั้นจะมีพล็อตที่ค่อนข้างเรียบง่าย นั่นก็คือลุงหนวดมาริโอ้บุกตะลุยไปช่วยเจ้าหญิงพีชจากเงื้อมมือของคุปป้า (หรือบาวเซอร์ในเวอร์ชั่นตะวันตก) ตรงนี้ก็พอเข้าใจได้ว่าทีมสร้างอาจมองว่าพล็อตแบบนี้ไปดัดแปลงเป็นหนังก็คงจะไม่เวิร์ค ก็เลยไปเขียนบทเสียใหม่ให้สองพี่น้องช่างประปา มาริโอ้กับลุยจิ ได้บังเอิญหลุดเข้าไปอยู่ในโลกคู่ขนานอีกมิติหนึ่ง ที่ปกครองโดยราชาคุปป้าที่พยายามจะเชื่อมรวมโลกทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน มาริโอ้กับลุยจิเลยต้องผนึกกำลังในการหยุดแผนร้ายของวายร้ายตนนี้ให้ได้
ฟีดแบ็คของหนัง หลังจากที่ออกฉายสู่สายตาประชาชี นอกจากประเด็นของรายได้ที่เจ๊งไม่เป็นท่า และแฟนๆ ต่างพากันร้องยี้กับคุณภาพของหนังที่ห่วยบรมแล้ว เหล่านักแสดงของเรื่องต่างก็ออกมาสับเละถึงตัวหนังซะไม่มีชิ้นดี ไล่มาตั้งแต่ Bob Hoskins ผู้รับบทมาริโอ้ ที่เผยว่าการแสดงภาพยนตร์ในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำมาเลย ประสบการณ์ที่ได้จากหนังเรื่องนี้มันคือฝันร้ายชัดๆ ถัดมาคือ John Leguizamo ผู้รับบทลุยจิ ก็ออกมาเสริมอีกว่าประวัติการแสดงของเขาต้องมีจุดด่างพร้อยอันเนื่องมาจากการที่เขาเคยร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ แถมตัวเขาเองและ Bob Hoskins ก็ไม่มีความสุขเลยตลอดระยะเวลาของการถ่ายทำ และมีอยู่บ่อยครั้งที่ทั้งคู่ต้องไปดื่มเหล้าย้อมใจจนเมาก่อนจะเข้าฉากเลยทีเดียว
------------------------------------
2. Street Fighter
เข้าฉายครั้งแรก: 23 ธันวาคม 1994
ทุนสร้าง: 35 ล้านเหรียญ
รายรับในสหรัฐฯ: 33.4 ล้านเหรียญ
จากปรากฏการณ์ที่เกม Street Fighter II สามารถจุดกระแสให้เกมเมอร์ทั่วโลกหันมาสนใจเกมแนวไฟท์ติ้งกันอย่างแพร่หลาย จนแฟนๆ จำนวนไม่น้อยที่คลั่งไคล้เกมนี้หนักๆ ถึงกับวาดแฟนอาร์ต วาดแฟนมังงะของเกมนี้ออกมามากมาย ทาง Capcom และ Universal Pictures เลยเล็งเห็นโอกาสนี้ที่จะนำเกม Street Fighter มาดัดแปลงเป็นหนังเวอร์ชั่นคนแสดงดู พร้อมกับดึงเอา Jean-Claude Van Damme ดาราแอ็กชั่นที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นในเวลานั้นมารับบทเป็น Guile นักสู้ตัวแทนจากอเมริกา ซึ่งลำพัง Van Damme คนเดียวก็กินค่าตัวไปถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว นั่นเท่ากับว่านักแสดงคนอื่นๆ ในเรื่องจึงจำเป็นต้องใช้ดาราโนเนมเกือบทั้งหมดเพื่อป้องกันปัญหาทุนสร้างบานปลาย และนั่นก็คืออีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพของหนังในส่วนอื่นๆ จึงดูเหมือนหนังทุนต่ำไปโดยปริยาย
สิ่งที่ค่อนข้างจะผิดคาดจากแฟนๆ ที่พากันสาปส่งหนังเรื่องนี้ก็คือ ตัวหนังดันกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้ราวๆ 99 ล้านเหรียญ เรียกได้ว่ากำไรได้มากโขอยู่ ทว่าหลังจากนั้นมา ภาพยนตร์ Street Fighter จะมีเวอร์ชั่นคนแสดงแบบ Official มาสักกี่ภาคก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อีกเลย
***เผื่อใครไม่รู้นะครับ จริงๆ แล้ว Kylie Minogue นักร้องสาวชื่อดังชาวออสเตรเลียก็เคยแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย โดยนางรับบทเป็น Cammy นักสู้ตัวแทนจากอังกฤษนั่นเอง แต่ ณ ตอนนั้น Kylie ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก อีกทั้งแทบไม่ค่อยมีผลงานการแสดงบนจอเงินนัก ค่าตัวของนางก็เลยถูกนี่แหละ
------------------------------------
3. Far Cry
เข้าฉายครั้งแรก: 11 กันยายน 2008
ทุนสร้าง: 30 ล้านเหรียญ
รายรับของหนัง: 743,634 เหรียญ
ท่ามกลางบุคลากรของวงการภาพยนตร์ เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ครับว่า มีชายชาวเยอรมันอยู่คนหนึ่งนามว่า Uwe Boll (อูเว่ โบลล์) เป็นผู้ที่หลงใหลการนำเกมมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาอย่างยาวนานนับ 10 ปี ทว่าแต่ละเกมที่พี่แกหยิบมาปู้ยี่ปู้ยำเป็นหนังนั้น ดันเจ๊งระเบิดระเบ้อแทบจะทุกเรื่อง และ Far Cry ก็เป็น 1 ในนั้นซะด้วย... โดย Far Cry ได้ทำการฉายในโรงภาพยนตร์เฉพาะที่ประเทศเยอรมนีและแคนาดา ก่อนจะมีการโยกลงสู่แผ่นดีวีดีและบลูเรย์แล้วจำหน่ายสู่ทั่วโลกในภายหลัง ส่วนรายได้ก็อย่างที่เห็นละครับ ขาดทุนถึงกว่า 30 เท่าหากคำนวณกับทุนสร้าง
ตลกร้ายมันยังไม่จบแค่นั้นครับ เพราะ Uwe Boll ยังได้กำกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเกมมาอีกนับสิบเรื่อง มิหนำซ้ำบางเรื่องที่เจ๊งยับยังอุตส่าห์มีนายทุนหน้ามืดอนุมัติงบให้ทำภาคต่ออีก ชาวเกมเมอร์ก็ได้แต่งงและภาวนาว่าอย่าให้ Uwe Boll มาหยิบเกมที่พวกตนชอบไปทำเป็นหนังเลยเถอะ ขอร้อง!
------------------------------------
4. Alone in the Dark
เข้าฉายครั้งแรก: 28 มกราคม 2005
ทุนสร้าง: 20 ล้านเหรียญ
รายรับในสหรัฐฯ: 10.4 ล้านเหรียญ
ก่อนที่เกม Resident Evil ภาคแรกจะถือกำเนิด เมื่อนึกถึงเกมสยองขวัญที่ขึ้นชื่อในยุค 90 ผู้คนในตะวันตกย่อมจะคุ้นกับ Alone in the Dark เป็นอันดับแรกๆ แน่นอน ด้วยความที่เกมเพลย์ของเกมนี้ได้กรุยทางสู่ยุคใหม่ของเกมผจญภัยแบบ 3D เป็นเกมแรกๆ บน PC มาก่อน และก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกินที่ชื่อเสียงของเกมนี้ดันไปเตะตาผู้กำกับที่ถนัดการเอาเกมมาละเลงเป็นหนังจนป่นปี้อย่าง Uwe Boll เข้าให้ โดยเรื่องนี้ทาง Uwe Boll ได้ดึงเอา Christian Slater นักแสดงที่เคยโด่งดังมาจากหนังเรื่อง Interview with the Vampire และ Broken Arrow มารับบท Edward Carnby พระเอกของหนัง (และเป็นพระเอกของเกมจริงๆ ด้วย) สุดท้ายลำพังพ่อหนุ่ม Slater คนเดียวก็ไม่อาจแบกหนังให้ไปถึงฝั่งฝันได้ ผลก็คือเจ๊ง แม้แต่เว็บไซต์อย่าง Rotten Tomatoes ยังให้คะแนนหนังเรื่องนี้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
ทั้งนี้ สาเหตุที่คะแนนออกมาอย่างที่เห็น ก็เนื่องมาจากตัวเกมมีความน่าเบื่อสุดขีด และแอ็กติ้งของนักแสดงที่ไม่ไหวจะเคลียร์ ดูแล้วไม่รู้สึกถึงความสยองขวัญแม้แต่นิดเดียว กลับกันยังรู้สึกขำท้องแข็งในหลายๆ ฉากที่ไม่เข้าใจว่า Uwe Boll แกอยู่รอดในวงการภาพยนตร์มาได้อย่างไรจนถึงบัดนี้ (ข่าวล่าสุดคือพี่แกขอวางมือจากการกำกับหนังไปเรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2016 ซึ่งก็น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับเกมเมอร์ทั่วโลกที่ไม่ต้องลุ้นว่าแกจะทะลึ่งไปหยิบเกมไหนมาทำซะเสียอีกรึเปล่า)
------------------------------------
5. Tekken
เข้าฉายทั่วโลก: 5 สิงหาคม 2010
ทุนสร้าง: 30 ล้านเหรียญ
รายรับในสหรัฐฯ: 967,369 เหรียญ
อีก 1 เกมไฟท์ติ้งจากค่าย Bandai Namco ที่ถูกนำมาทำเป็นหนัง ที่ทุกวันนี้แฟนๆ ของซีรีส์แทบอยากจะลบเลือนความจำที่ว่าเคยมีหนังเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาบนโลก แม้แต่ Katsuhiro Harada ผู้ที่ปลุกปั้นเกม Tekken มากับมือยังถึงขนาดรับไม่ได้กับคุณภาพของหนังที่ออกมา แถมสับแหลกว่าหนังช่างห่วยบรมเสียเหลือเกิน มันเป็นการทำสัญญาสร้างภาพยนตร์ที่เลวร้ายที่สุด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่คิดจะให้ความสำคัญกับหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ความเลวร้ายของหนัง Tekken เวอร์ชั่นคนแสดงยังระบาดไปถึงแผ่นดีวีดีและบลูเรย์ด้วยครับ โดยบรรดานักวิเคราะห์ตลาดหนังแผ่นของตะวันตกยังอธิบายด้วยว่า หนังแอ็กชั่นทุนต่ำที่ผลิตเพื่อลงแผ่นโดยเฉพาะมักจะมีองค์ประกอบอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้ผู้คนซื้อมาดูเพลินๆ แก้ขัดได้บ้าง แต่ Tekken นี่เป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น นั่นก็เพราะหนังมันไม่มีอะไรดี หรือมีอะไรให้น่าจดจำได้สักอย่าง (ประมาณว่าให้ดูฟรียังโกรธเลยขอบอก!)