ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีผู้อ่านทุกคนด้วยคับ บอกตรงๆ ว่ารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ใช้พื้นที่ตรงนี้บอกเล่าประสบการณ์ฝึกงานของตัวเองตลอดสองเดือนที่ผ่านมาในออฟฟิศ Online Station เอาเข้าจริงๆ มันเป็นสองเดือนที่ผ่านไปเร็วมากกก เร็วจนน่าใจหาย อาจจะมีช่วงสัปดาห์แรกที่รู้สึกว่าเวลามันเดินช้าเหลือเกินเพราะตัวเองกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวอยู่ แต่พอเครื่องติดและเริ่มจะสนุกกับงานเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกทีก็ใกล้จะฝึกงานจบเสียแล้ว ถึงแม้ระยะเวลาสองเดือนอาจจะไม่ได้ดูยาวมากนัก แต่เราก็มีประสบการณ์ที่ดีและได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการฝึกงานที่นี่ เราก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ มาแชร์ประสบการณ์และถอดบทเรียนที่ได้รับจากการฝึกงานกับ Online Station ให้ทุกคนได้อ่านกัน! หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคับ :)
ก่อนอื่นขอนุญาตแนะนำตัวก่อน
เราชื่อ 'วี่' คับ เพิ่งจะอายุ 22 ขวบเป็นครั้งแรกไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง ตอนนี้เรากำลังเป็นนักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ นอกเหนือจากเรื่องเรียนหนังสือ ตอนนี้เรากำลังทำพอดแคสต์ชื่อ "มามามอย" อยู่ด้วย ใครสนใจก็เข้าไปฟังกันได้คับ ขายของๆๆ
หลายคนพออ่านมาถึงเมื่อกี้ก็อาจจะนึกสงสัยว่า ทำไมเด็กสายวรรณกรรมที่ดูวิชาการจ๋าๆ ถึงเลือกมาฝึกงานเกี่ยวกับวิดีโอเกม? เราขอตอบสั้นๆ เลยละกันว่า "เป็นเพราะเราติดเกมครับ [หัวเราะ]" เราจับจอยเล่นเกมครั้งแรกตั้งแต่ตอนอนุบาลสองเลย จากนั้นก็ผูกพันธ์กับสื่อที่เรียกว่าวิดีโอเกมมาโดยตลอด ความรู้ทางด้านภาษาและวัฒนธรรมส่วนใหญ่เราก็ได้มาจากการเล่นวิดีโอเกมนี่แหละ

(ก็ไม่ค่อยจะติดเกมสักเท่าไหร่)
หลังจากใช้ชีวิตมหาลัยไปได้หลายปี และใกล้จะเรียนจบในอีกไม่นาน เราเองก็ยังติดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินไปบนเส้นทางไหนดีระหว่างแวดวงวิชาการ (แปลหนังสือ เขียนบทความวิจัย ฯลฯ) กับแวดวงวิดีโอเกม พอถึงช่วงที่เราต้องหาที่ฝึกงาน เราก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ในการเข้าไปสัมผัสชีวิตการทำงานในแวดวงทั้งสองที่ตัวเองสนใจ ซึ่งในครั้งนี้เราเลือกที่จะหาที่ฝึกงานในสายวิดีโอเกม
โชคดีมากที่ ณ ตอนนั้น ทาง Online Station กำลังประกาศรับสมัครนักศึกษาฝึกงานในตำแหน่ง SEO Content Writer อยู่พอดี เราเลยไม่รอช้า รีบส่งใบสมัครไปแบบไม่ลังเล ท้ายที่สุดทางองค์กรก็รับเราเข้ามา และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด [เพลงอินโทรเริ่ม...]
ประสบการณ์การฝึกงาน
เด็กชายวี่และการทำงานของเขาในวันแรก
มนุษย์โลกคนแรกที่เราได้รู้จักในที่ทำงานก็คือ 'พี่เติ้ล' ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของเรานั่นเอง ในวันเข้างานวันแรก พี่เติ้ลก็สอนการใช้ WordPress เบื้องต้น และอธิบายรายละเอียดงานทั้งหมดของ SEO Content Writer ให้เราฟัง ซึ่งในจุดนี้เราคิดว่าเป็นอะไรที่ดีมากเพราะที่ฝึกงานบางที่ (เท่าที่รู้จากเพื่อนมา) จะจับเราโยนเข้างานเลย ไม่ได้มีการปูพื้นฐานอะไรให้กับเด็กฝึกงาน การได้พี่เติ้ลมาอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ฟังก่อนในวันแรกนับว่าเป็นอะไรที่มีประโยชน์กับเรามาก ทำให้เรารู้ว่าต้องทำงานอย่างไร เข้าใจภาพรวมของงานทั้งหมดมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือมันทำให้เราและพี่เติ้ลได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ถือเป็นการสร้างความคุ้นเคยกันไปในตัว
ในส่วนของสเกลงาน เราจะได้เขียนงาน 1 บทความต่อ 1 วัน เข้างาน 09:00 เลิกงาน 18:00 ซึ่งถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่กำลังโอเค งานไม่หนักเกิน มีเวลาเพียงพอต่อการเรียบเรียงและหาข้อมูลต่างๆ มาใช้เขียนคอนเทนต์ หลังจากพี่เติ้ลปูพื้นฐานให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เริ่มลุยงานเขียนบทความเลย ซึ่งบทความแรกที่เราเขียนก็คือ 'ความหมายและที่มาของคำว่าไวฟุ' เป็นบทความสั้นๆ ที่พาทุกคนไปย้อนดูที่มาที่ไปของคำศัพท์โอตาคุยอดฮิตนี้ ใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านกันได้คับ
บรรยากาศการทำงานที่สุดแสนจะเป็นกันเอง
เราเองเป็นคนที่ติดตาม Online Station มาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น (เกือบ 10 ปีที่แล้ว) และสิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้มาโดยตลอดก็คือทีมงานที่นี่โคตรจะมีเอเนอร์จี้และเฮฮาปาจิงโกะมาก ซึ่งพอได้มาฝึกงานที่นี่ เราก็ค้นพบว่าพี่ๆ เขาเฟรนลี่และเป็นกันเองอย่างที่เราคิดจริงๆ สาเหตุหลักที่ทำให้เราปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้เร็วมากก็คือความอัธยาศัยดีของพี่ๆ ในที่ทำงานเลย ไม่ว่าจะเป็นพี่เติ้ล พี่แจ็ค พี่เอก พี่โน้ต พี่ยู พี่กริ๊ง และพี่ปอ ทุกคนเป็นกันเองกับเรามาก ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับการทำงานที่นี่สุดๆ นั่งกินข้าวด้วยกันแต่ละทีคือจะมีช็อตฮาโบ๊ะบ๊ะกันตลอด
ประเภทงานที่ได้เขียนทั้งหมด
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เด็กฝึกงานของ Online Station จะได้เขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไรบ้าง? เอาเข้าจริงแล้วก็จะได้เขียนทุกอย่างเท่าที่คุณจะนึกได้เลยคับ ถ้าให้ลองแยกประเภทออกมาก็จะได้ออกมาประมาณนี้
- ไกด์เกม
- เทียร์ลิสต์ตัวละครในเกม
- แนะนำหนัง/ซีรี่ส์/วิดีโอเกม
- เกร็ดจากหนัง/ซีรี่ส์/วิดีโอเกม
- ความหมายของคำศัพท์ในเกม/อนิเมะ
- รีวิวเกมมิ่งเกียร์
- ประวัติตัวละคร
- อื่นๆ
แต่เด็กฝึกงานแต่ละคน ก็จะได้เขียนคอนเทนต์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของตัวเอง อย่างเราเป็นคนที่ถนัดเรื่องค้นคว้าและการเรียบเรียงข้อมูล เราก็เลยจะได้เขียนงานแนว 'เปิดประวัติ' อยู่บ่อยครั้ง ส่วนเพื่อนเราที่เป็นเด็กฝึกงานอีกคนชื่อ 'เตย' ก็จะได้เขียนบทความเกี่ยวกับบอร์ดเกมอยู่เรื่อยๆ เพราะเขาค่อนข้างจะคลุกคลีอยู่กับบอร์ดเกม
ซีรี่ส์บทความ 'คอเกมติดเล่า' - โอกาสสำคัญที่เราได้รับ
อย่างที่บอกไปในย่อหน้าที่แล้ว เราเป็นคนที่ชื่นชอบการค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหายาวๆ มาก ซึ่งนิสัยนี้เราอาจจะได้มาจากการที่ต้องเขียนบทความวิจัย (Research Paper) อยู่บ่อยครั้งตอนอยู่มหาลัย ท้ายที่สุดพี่เติ้ลก็เล็งเห็นถึงความสามารถของเราในจุดนี้ ก็เลยชวนให้เรามาเขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับแง่มุมประวัติศาสตร์ต่างๆ ในวงการเกม และคอนเทนต์นี้มีชื่อว่า "คอเกมติดเล่า" เราตอบตกลงไปแบบไม่ลังเลเลยเพราะมันเป็นงานที่น่าสนใจมาก แถมยังเข้าทางเราด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่คอนเทนต์นี้มันต้องใช้เวลาในการค้นคว้าและเรียบเรียงข้อมูลนานมาก เราก็เลยไม่แน่ใจว่าจะสามารถเขียนอะไรแบบนี้ให้เสร็จภายใน 1 วันได้ไหม แต่พี่เติ้ลก็ใจดี ให้เวลาในการทำงานเราเต็มที่เลย อยากได้เวลากี่วันก็บอก เราเลยได้ใช้เวลาเต็มที่ในการหาข้อมูลและเขียนเรียบเรียงออกมาให้ดีที่สุด
สุดท้ายเราก็ได้ปล่อยผลงานในคอนเทนต์ออกมา 2 บทความด้วยกัน คือ "ประวัติศาสต์วิดีโอเกม" และ "ประวัติศาสตร์ Nintendo" ใครสนใจก็สามารถลองเข้าไปอ่านกันได้เลย เป็นผลงานที่เราตั้งใจเขียนมาก
ถอดบทเรียนจากการฝึกงาน
เนื้อหาต่อจากนี้จะเป็นการสรุปบทเรียนที่ผมได้รับจากการมาฝึกงานที่นี่ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากน้อยแค่ไหน แต่ถือว่าเป็นโอกาสที่เราได้มาแชร์อะไรดีๆ ให้กันแล้วกันคับ ถ้าสุดท้ายผู้อ่านได้แง่มุมที่ดีกลับไปและสามารถนำบทเรียนตรงนี้ไปปรับใช้กับชีวิตตัวเองได้ ผมก็จะดีใจและรู้สึกขอบคุณมากๆ เลย~
ชีวิตมหาลัยและชีวิตฝึกงานเป็นช่วงเวลาที่คุณยังพลาดได้เต็มที่
สิ่งที่เราต้องการจะสื่อในหัวข้อนี้ก็คือ ถ้าคุณอยากจะลองทำอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ลองให้เต็มที่ในช่วงมหาลัยและช่วงฝึกงานเลย เพราะถึงแม้คุณจะพลาดจากการลองผิดลองถูกอะไรสักอย่างในช่วงนี้ ผลกระทบที่ตามมาจะไม่ได้รุนแรงอะไรและคุณจะยังได้รับโอกาสจากผู้หลักผู้ใหญ่ในการแก้ไขปรับปรุง แต่เมื่อคุณเข้าสู่โลกของชีวิตในวัยทำงานแล้ว คุณจะไม่ค่อยมีโอกาสในการลองผิดลองถูกแบบนี้เลย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าผลกระทบที่ตามมาจากการพลาดมันค่อนข้างจะสาหัส ผลงานของคุณก็คือผลงานขององค์กร ถ้าเกิดคุณทำอะไรพลาดขึ้นมา นั่นก็อาจจะส่งผลกระทบกับหน้าที่การงานคุณ มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ไป
กล่าวโดยสรุปคือ ถ้าอยากลองหรืออยากเสี่ยงทำอะไร ก็ลุยให้เต็มที่ตอนที่กำลังอยู่มหาลัยหรือฝึกงานเลยครับ ค้นหาตัวเองให้สุด ลองทุกอย่างให้สุด เพราะคุณจะไม่ค่อยมีโอกาสเสี่ยงและพลาดได้เต็มที่แบบนี้ตอนเข้าสู่วัยทำงานแล้ว
ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่มีค่า จงใช้เวลาพุดคุยกับคนเยอะๆ
ผมค้นพบว่าช่วงที่ได้นั่งกินข้าวกลางวันกับพี่ในที่ทำงาน เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับงาน แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆ อีกด้วย และด้วยความที่คนในที่ทำงานทั้งหมดก็อายุมากกว่าเรา ผ่านเหตุการณ์ทั้งหลายในชีวิตมามากกว่าเรา การได้มานั่งฟังหรือพูดคุยกับพวกเขาจะทำให้คุณได้อะไรต่อมิอะไรมาเยอะมาก... มากในระดับที่คุณคาดไม่ถึงเลย
ฟังให้เยอะ พูดให้น้อย
หัวข้อนี้อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกับหัวข้อที่แล้วอยู่ระดับหนึ่ง พูดน้อยในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องพยายามไม่พูดอะไรเลย แต่หมายถึงการพูดเฉพาะยามจำเป็น ไม่ต้องพูดพรีเซนต์อะไรตัวเองมากมายเพราะผลงานเรามันบ่งบอกความสามารถของเราอยู่แล้ว ค่อยพูดเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายเปิดช่องให้คุณได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่ถ้าไม่ ก็ขอให้เป็นผู้ฟังที่ดี มีอะไรอยากรู้ก็ให้ยิงคำถามไป จากนั้นก็นั่งฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ
คุณจะไม่ค่อยได้อะไรจากการพูด แต่คุณจะได้หลายอย่างกลับมาเยอะมากจากการฟัง เราคิดว่าที่มนุษย์มีสองหูกับหนึ่งปากก็น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติอยากให้เราเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด จงเป็นคนฟังให้เก่งคับ ส่วนเรื่องที่คุณฟังมันจะมีประโยชน์ไหม ใช่หรือมั่ว ถูกหรือผิด คุณก็ค่อยไปกรองเอาเองที่หลัง แต่เชื่อเราเถอะ ฟังไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
การเขียนภาษาอังกฤษกับภาษาไทยเป็นสกิลที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
สาขาภาษาและวรรณคดีอังกฤษที่เรากำลังเรียนอยู่ เป็นสาขาที่สอนการเขียนภาษาอังกฤษได้เคี่ยวมาก มากถึงมากที่สุด แต่ละเทอมคือได้เขียนงานกันจนมันส์มือ เราจึงคิดว่าเราสามารถนำความคล่องในการเขียนภาษาอังกฤษนี้มาปรับใช้กับการเขียนภาษาไทยได้ คิดว่าถ้าเขียนภาษาอังกฤษได้ ภาษาไทยก็คงไม่มีปัญหา แต่ท้ายที่สุดเราคิดผิดหันต์ [ขำแห้ง]
หลังจากเราเริ่มเขียนบทความแรก เราเพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองใช้เวลาในการเรียบเรียงภาษาไทยนานมาก กว่าจะเขียนแต่ละย่อหน้าออกมาให้ดูเป็นธรรมชาติคือต้องนั่งเกลาอยู่สักพักใหญ่ แถมหลังจากเขียนบทความจบก็ยังต้องมาเกลาใหม่อีกเยอะมากเพราะมีสไตล์การเขียนหลายจุดที่ดูเป็นภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย
อุปสรรคนี้ทำให้เราได้รู้เลยว่า การเขียนภาษาอังกฤษกับการเขียนภาษาไทยเป็นสกิลที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เราต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเลยกว่าจะเริ่มเขียนบทความความภาษาไทยได้คล่อง
เนื้อหาของบทความก็จะมีอยู่เท่านี้คับ จริงๆ อยากเขียนยาวกว่านี้ แต่เกรงว่าถ้าฝืนเขียนต่อ มันอาจจะยาวเป็นวิทยานิพนธ์ก็เป็นได้ วรรคสุดท้ายนี้ผมก็ขอใช้พื้นที่ขอขอบคุณ Online Station และพี่ๆ ในออฟฟิศแล้วกัน การได้มาฝึกงานที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีกับตัวผมมาก
- ขอบคุณพี่เติ้ลที่ให้อะไรผมมาเยอะมาก ทั้งเรื่องแนวทางการทำงานและเรื่องแง่มุมชีวิต เป็นบุคคลที่โคตรจะมีพระคุณกับผมเลย [ยกมือไหว้]
- ขอบคุณพี่แจ็ค พี่เอก พี่โน้ตที่คอยพาไปซื้อข้าวและเล่าเรื่องนั่นนี่ให้ฟังตอนพักเที่ยง
- ขอบคุณพี่ปอ พี่กริ๊ง พี่ยูที่เรียกเสียงหัวเราะตอนนั่งกินข้าวได้ตลอด
ขอบคุณทุกคนมากๆ คับ ถ้ามีโอกาสก็อยากวนเวียนมาเจอกันอีก คัมซาฮัมนีดาคั้บบ
ผู้เขียน: kiwi (กวีกร กังกเวคิน) "เด็กฝึกงานติดเกมท่านหนึ่ง"