Assassin’s Creed Valhalla เป็นเกมที่ผมรอคอยมากที่สุดช่วงเกือบๆ 2 ปีมานี้ มันเป็นวลีที่ไม่ได้เกินเลยนัก และผมเองก็มักจะเขียนบอกในหลายๆ บทความอยู่เสมอว่าส่วนตัวเป็นประเภทที่หากเกมซีรีส์นี้จะกลับมาออกทุกปีก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ทั้งยังยินดีเสียด้วยซํ้าไป อย่างไรก็ตามแม้จะคิดถึงขนาดไหนแต่ก็ต้องยอมรับว่าการเว้นวรรคไปเสียบ้างก็ช่วยเสริมแรงขับและความกระหายอยากในการเสพเกมภาคนี้ได้อย่างมาก ทั้งยังมีเวลาเพิ่มให้ทีมพัฒนาสามารถเกลาผลงานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าหากมองว่าการรอคอย 2 ปีเป็นราคาที่ต้องจ่ายไป ผลลัพท์ของมันก็ถือว่าคุ้มค่าสุดๆ ไปเลย
*หมายเหตุ ผมเล่นเกม Assassin’s Creed Valhalla บนเครื่อง PC ดังนั้นจะขอพูดถึงเวอร์ชั่นและแพลตฟอร์มที่ได้เล่นเป็นหลัก จะไม่นำประเด็นของแพลตฟอร์มอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในการวิจารณ์และให้คะแนน
Assassin’s Creed Valhalla ถือเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค Layla Hassan ตัวเอกยุคปัจจุบันคนล่าสุดถัดจาก Desmond Mile ที่ลาลับไปแล้ว หลังพาเราเข้าเครื่อง Animus เพื่อไปพบเจอวัฒนธรรมอิยิปต์, กรีกโบราณ และโลกซึ่งถูกชักจูงโดยองค์กรดึกดำบรรพ์ที่ฟัดกันมาก่อนหน้า Assassin และ Templar ใน Valhalla เราจะได้พบกับวัฒนธรรมไวกิ้ง ซึ่งมาพร้อมกับเนื้อเรื่องช่วงสำคัญที่จะเชื่อมเนื้อหาของเกมทุกภาคเข้าหากันครับ
ในยุคไวกิ้งเราจะได้เล่นเป็น Eivor นักรบผู้เก่งกาจแห่ง Raven Clan ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเพศชาย, เพศหญิง หรือเล่นมันทั้ง 2 เพศต่างช่วงเวลาโดยให้เกมเลือกให้ก็ย่อมได้ครับ ส่วนตัวเล่นผู้ชายมาทุกภาคอยู่แล้วก็เลยจัด Eivor ผู้ชายไป (ถึงแม้ว่า Eivor จะเป็นชื่อของผู้หญิงก็เถอะ…) ตัวเกมจะสตาร์ทในช่วง Eivor วัยเด็ก แต่เราจะได้เล่นจริงๆ จังๆ ในช่วงปี ค.ศ.872 เป็นต้นไป เป็นช่วงเวลาหลังจากการบุกอาละวาดบนเกาะอังกฤษของเหล่าบุตรแห่งแรกนาร์ราวๆ ทศวรรษหนึ่ง ชาวไวกิ้งไม่ว่าจะนอร์สแมนหรือเดนส์ต่างก็พากันแห่มาตั้งรกรากในดินแดนอุดมสมบูรณ์เป็นการใหญ่ แม้ว่าหลายๆ พื้นที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่สงครามก็ยังคงอยู่ทุกหัวมุมถนนเช่นกัน เกาะอังกฤษยุค 4 อาณาจักรแซกซันคือพื้นที่หลักในการผจญภัยของเราครับ
ระบบรวมๆ ของภาคนี้ต้องบอกว่าเหมือนกับการนำ Origin และ Odyssey มาปั่นรวมกัน ใส่ความเป็น AC ดั้งเดิมลงไปสักหน่อย แล้วก็บู้มออกมาเป็น Vahalla ครับ คือลดความเป็น RPG ลงระดับหนึ่งจาก Odessey ระบบเลเวลถูกแทนที่ด้วยตัวเลข Power ซึ่งยืดหยุ่นกว่าแทน หรือที่เห็นชัดสุดคือระบบ Assassinate ที่ถกเถียงกันมาหลายรอบว่าจิ้มเดียวควรนอนเลยมั๊ยหรือจะขึ้นกับค่าพลังแบบ Odyssey และทางแก้ของ Ubisoft คืออัดออพชั่นมาให้เลือกเพราะคุณสามารถเปิดโหมดการันตีฆ่าได้ หรือหากปิดไว้ก็ยังสามารถฆ่าในทีเดียวได้อยู่หากพลังสูงพอหรือสามารถกด QTE ทันเวลา ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการแก้ที่เข้าท่ามาก ซื้อเลย ขณะที่ระบบต่อสู้ก็ยืดหยุ่นขึ้นมาก ถืออาวุธได้อิสระสุดๆ ผสานได้ตามใจตัวเอง แรกๆ อาจยังมีข้อจำกัดบ้าง แต่เล่นๆ ไปจะปลดล็อคสกิลเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้างคอมโบการต่อสู้ที่ลื่นไหลได้อย่างมาก
ระบบเควสต์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเควสต์รองหรือ World Event ที่ไม่สามารถ Track ได้ และลดการชี้นำลงอย่างจงใจ ทำให้ผู้เล่นต้องใช้การสังเกตและอ่านมากขึ้นว่าตัวละครพูดถึงอะไรหรือต้องไปไหน จุดนี้ในแง่หนึ่งก็ทำให้เกมยากขึ้นในแง่ของการปฏิบัติ ทว่าในแง่ของอารมณ์เกมผมมองว่ามันเป็นธรรมชาติกว่ามาก ตัวเกมเรียกร้องส่วนร่วมจากผู้เล่นมากกว่าเก่า อาจจะงงๆ ขึ้นนิดหน่อย แต่ภาพรวมผมว่า World Event ไม่ได้ยากและซับซ้อนอะไรนัก มีสมาธิกับมันสักหน่อยก็ผ่านได้ไม่ยาก นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ Settlement ที่ให้เราสร้างชุมชนคน Raven Clan ขึ้นมา เพื่อให้เราได้ปรับแต่ง ซื้อขาย และบวกโบนัสด้านต่างๆ ในการเล่น เป็นระบบเสริมที่ดีใช้ได้เลย แต่แอบอยากให้มันลึกและมีรายละเอียดมากกว่านี้สักหน่อยครับ อันนี้มันยังดูนํ้าจิ้มไปสักหน่อย
เรื่องที่ Ubisoft ยังคงทำได้ดีในทุกๆ ภาคก็คือการออกแบบทิวทัศน์และแผนที่ ซึ่งเมื่อมาผนวกกับเอนจิ้น Anvil เวอร์ชั่นล่าสุดทำให้ในด้านกราฟิกหายห่วงเลย สวยงามจัดๆ ถึงจะมีเสียงบ่นๆ ว่าปรับสุดเครื่องแรงขนาดไหนก็มีสะดุดอยู่ดี แต่เครื่องอีแก่อายุ 4 ปีของผม ปรับกลางๆ ก็ยังได้ภาพที่น่าพอใจและเฟรมเรตที่พอรับได้ครับ ทำให้รู้สึกว่าเข้าเกมไปชมทิวทัศน์และโลกเกมก็คุ้มค่าแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเกมยังมาพร้อม Photo Mode แบบจัดเต็ม เรียกว่าที่เล่นนานแล้วเนื้อเรื่องไม่ไปไหนก็เพราะมัวแต่ถ่ายรูปนี่แหละ!
พูดถึงเนื้อเรื่องอีกสิ่งที่อยากชมภาคนี้คือเนื้อเรื่องครับ คือเข้มข้นแบบไม่ค่อยวอกแวกเท่าไหร่ เลี้ยงอารมณ์คนเล่นได้ดีมากๆ หลายๆ อย่างอยากจะพูดถึงแต่ขอไม่ลงรายละเอียดแล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าสปอยล์ แต่บอกเลยว่ามีอะไรเยอะกว่าที่เห็นในโปรโมตแน่นอน ผมเล่นแล้วไม่ค่อยอยากจะพักหรืออยากจะนอน แบบว่าอยากผจญต่อไปเรื่อยๆ กิจกรรมภายในเกมก็เยอะแยะไปหมด ที่ชอบอีกอย่างคือการ Raid ที่มาแทนโหมดสงครามชิงพื้นที่ในภาคก่อน ซึ่งส่วนตัวแม้จะชอบความอลังการแบบว่ากองทัพคนเยอะๆ มาบวกกัน แต่ถ้าต้องเทียบ 2 ระบบนี้ผมว่า Raid มันดูดุดันในแง่ความรู้สึกและมีความหมายต่อเกมเพลย์มากกว่าครับ
และข้อดีจัดๆ เฉพาะชาว PC ก็คือฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านแขนขาปลิว เลือดสาดกระจุยกระจายสะใจไม่มีเซ็นเซอร์ครับ ซึ่งแทบไม่ค่อยเห็นเลยในภาคไหนๆ เป็นการปรับเปลี่ยนมู้ดแอนด์โทนให้ดูดิบและถึงเครื่องขึ้นพอสมควร ก็ต้องยอมรับตรงๆ เลยว่าถ้าไม่มีมันการต่อสู้คงขาดอรรถรสไปเยอะจริงๆ
ในด้านของซาวด์ประกอบไม่ต้องพูดถึงมากเอาเป็นว่าโอเค นัมเบอร์วัน โดดเด่นและได้อารมณ์มากๆ ส่วนเพลงประกอบก็ทำเอาอยากสอยมาเปิดฟังระหว่างทำงานสร้างความฮึกเหิมได้ดีจริงๆ ขณะที่รายละเอียดยิบย่อยของตัวเกมก็ถูกเก็บได้อย่างหมดจรด สมกับเวลาที่เว้นว่างไป ก็คือตอนโปรโมตเคยโม้อะไรไว้ ตัวเกมตอบสนองได้ดีเกือบทั้งหมดครับ จังหวะนี้คือสมราคาคุย
แต่ไม่มีเกมใดในโลกปราศจากบั๊ค โดยเฉพาะกับเกมโอเพ่นเวิร์ลด้วยแล้วยิ่งเจอง่ายเข้าไปอีก บั๊คมาตรฐานนี่มากันหมด เดินติดอ๊อบเจค ตัวค้างอยู่ในซอกหิน ไทม์มิ่งของแอคชั่นแปลกๆ เกมแครชก็เจออยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้มันจะเป็นรอยแผลที่ดูไม่น้อย แต่ในภาพรวมก็ไม่ได้เป็นปัญหากับเกมเพลย์จนเกินไปนัก ผมเองเจอพวกนี้แต่ไม่มากเท่าไหร่ อาจจะโชคดีก็ได้ แต่เห็นเพื่อนเจอบั๊คแปลกๆ รัวๆ อยู่เหมือนกัน อันนี้คงแล้วแต่บุญกุศลของคน แต่ยืนยันว่าเป็นปัญหาทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ใช่ระดับที่เกมเจ๊งจนเล่นไม่ได้ครับ
Assassin’s Creed Valhalla เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมของไตรภาคล่าสุด แม้ผมจะชอบ Odyssey มากขนาดไหน ก็ต้องยอมรับว่า Valhalla คืออีกขั้นของตัวเกม ไม่ว่าจะในแง่เกมเพลย์ เนื้อเรื่อง และการเล่าเรื่องที่สามารถเลี้ยงอารมณ์ผู้เล่นได้ดีกว่า นี่คือ 1 ในเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี 2020 อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ว่าจะมองมุมไหน Assassin’s Creed Valhalla ก็คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน
VERDICT: 9/10