Persona 5: The Royal รีวิว แผนการขโมยใจที่สมบูรณ์กว่าเดิมของกลุ่ม Phantom Thieves
Persona 5: The Royal ผลงานเกม JRPG Turn-Based จากค่าย Atlus ซึ่งเพิ่งวางขายแบบ World Wide ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จัดว่าเป็นเกม Persona 5 “ภาคสมบูรณ์” นะครับ กล่าวคือมันไม่เชิงเป็นภาคเสริมแต่อย่างใด เพราะ Persona 5: The Royal โดยเนื้อแท้กว่า 70% มันยังคงเป็นเกมเดิมที่เคยคว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมมาหลายเวทีเมื่อปี 2017 เพียงแต่ถูกรีโนเวทและเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในภาค The Royal เพื่อนำมาขายอีกรอบในแบบที่สมบูรณ์ที่สุด อันเป็นธรรมเนียมของเกมซีรีส์นี้อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าคุณต้องการอยากจะสัมผัสกับคอนเทนต์เนื้อเรื่องใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา คุณไม่สามารถข้ามไปเล่นได้เลย แต่คุณต้องเล่นเกมใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็จะเผาเวลาผู้เล่นไปอีกนับ 100 ชั่วโมง ทำให้มันอาจเป็นข้อเสียแรกๆ ของเกมเลย
อย่างไรก็ดีผมซึ่งจบเกมนี้ไป 3 ปี และยังไม่ได้ซํ้าสักรอบก็ยินดีที่จะเล่นอีกสักที เพราะความอยากก็ค่อนข้างสุกงอมในระดับหนึ่ง ส่วนใครที่เล่นภาคต้นฉบับจบมาหลายรอบก็อาจจะมีเอียนๆ บ้างเล็กน้อย แบบว่าไฟยังไม่พอจะจัดอีกรอบ แต่ถ้าใครยังไม่เคยเล่นเกมนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่จัดภาค The Royal มาเล่นครับ แม้ว่าอาจจะได้อารมณ์ที่ผิดแผกไปนิดหน่อยจากการเล่นภาคต้นฉบับ แต่ด้วยเนื้อหาและคอนเทนต์ที่เสริมเข้ามาก็ยังทำให้ The Royal เป็นตัวเลือกที่มีภาษีดีกว่าอยู่ดี
สิ่งที่ต้องชมเป็นอย่างแรกเลยคือระบบและฟีเจอร์ซึ่งทั้งถูกปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมเข้ามาเยอะมากๆ รีวิวเมืองนอกบางเจ้าถึงกับให้คำจำกัดความว่าเป็น Brand New Game หรือก็คือเกมใหม่หมดจรดกันเลยทีเดียว กล่าวก็คือแม้แกนหลักจะเป็นของเดิมแต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาก็เสริมให้ของเดิมที่ว่ามีลุคหรือรสชาติใหม่ๆ ที่ต่างออกไป ราวกับบ้านหลังเดิมที่ไม่ใช่แค่ถูกต่อเติม แต่ยังมีการรีโนเวทภายในจนไฉไลกว่าเก่า สถานที่ใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ ถูกอัดเพิ่มเข้ามาจนบางทีก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าหาช่องใส่เข้ามาได้อย่างไร เพราะเท่าที่จำได้ ตอนเล่นภาคต้นฉบับก็มีความรู้สึกว่ากิจกรรมมันเยอะจนแทบจะทำกันไม่ไหวอยู่แล้ว หลายๆ ส่วนมีการรื้อและปรับเปลี่ยนเพื่อให้รองรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่เติมเข้ามา ทำให้เราไม่รู้สึกแค่ว่าเป็นการทำเกมกลับมาขายใหม่แบบลวกๆ เท่านั้น
ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าการแก้งานเพื่อเพิ่มเติมของใหม่เข้ามารอบนี้กลับทำให้ตัวเกมมีความท้าทายน้อยลงไป เกมง่ายขึ้นอย่างมีนัยยะ จำได้ว่าตอนด่านแรกๆ ของภาคต้นฉบับนี่ตายหลายรอบจนหัวร้อน หนีศัตรูหัวซุกหัวซุน สู้ไม่ได้สู้ไม่ไหวจนชิน แต่ภาคนี้กลับค่อนข้างชิล วนฟาร์มมอนฯได้หลายตัวเสียได้ซํ้าไป ถึงอย่างนั้นความง่ายที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับลูกเล่นใหม่ทำให้เกมมีความโฟลวและเล่นเพลินขึ้นมากครับ ว่าไปก็เป็นความสนุกอีกรสชาติหนึ่งที่ต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นระบบต่อสู้ที่ง่ายขึ้นแต่ก็มีอะไรให้ว้าวมากขึ้น สู้ได้ไหลลื่นขึ้นเช่นกัน พอหักลบแล้วก็ไม่คิดว่ามันเป็นข้อเสียสักเท่าไหร่ สำหรับผมแล้วถ้าเกมมันรู้สึกสนุกขึ้น หรือรู้สึกว่าแปลกใหม่ก็ถือว่าโอเคแล้ว
ที่อาจจะขอบ่นสักเล็กน้อยจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องของ “เนื้อหาและตัวละครใหม่” ที่เพิ่มเติมเข้ามา ไม่เชิงว่าจะติหรอก ที่กว่าจะเข้าเนื้อหาจริงๆ มันนานแสนนานก็พอเข้าใจ (ถึงอย่างนั้นก็มีแทรกเข้ามาตามเนื้อเรื่องเดิม) แต่คือรู้สึกว่ามันออกจะสั้นไปสักหน่อย ยอมรับตามตรงว่าผมเฝ้ารอการมาของตัวละครใหม่อย่าง Yoshisawa Kasumi มากๆ แบบว่ารูปลักษณ์ตรงสเป็คจัดๆ ตั้งใจจะใช้นางลุยยาวๆ ทว่าแท้จริงกลับสั้นไปหน่อยและไม่รู้สึกว่าจุใจเท่าที่ควร พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมีปัญหากับตัวละครนี้นะครับ ในทางกลับกันนี่คือเบสต์ไวฟุของผมเลย ทางทีมงานนำเสนอตัวละครนี้ออกมาได้อย่างโดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะฉากเรียกเพอร์โซน่าครั้งแรกของนางที่น่าประทับใจสุดๆ มันเลยออกมาอีหรอบว่าเสียดายมากกว่าว่าอยากร่วมศึกกับนางนานกว่านี้ รวมไปถึงตัวละครอย่าง Dr. Maruki ที่เข้ามาเพิ่มมิติในอีกด้านของเนื้อเรื่องอย่างมาก อยากให้เกมยาวกว่านี้จริงๆ
แต่ถึงจะบอกว่าอยากให้เกมยาวกว่านี้ ผมก็ยังใช้เวลากับมันไปเกือบ 160 ชั่วโมง มากกว่าตอนเล่นภาค Original ไปร่วม 30 ชั่วโมง ผมจึงไม่อาจคอมเพลนเรื่องเกมสั้นไปได้เต็มปาก เพราะสำหรับผู้เล่นทั่วไปเวลาประมาณนี้น่าจะคุ้มค่ามากๆ แล้ว และในภาพรวมมันยังคงเป็นหนึ่งในเกมที่น่าประทับใจที่สุดในรอบหลายปีมานี้ ผมรักภาคต้นฉบับของมันมากๆ Persona 5 เป็นเกมที่ทำเอาผมไม่มีอารมณ์เล่นเกมอื่นไปพักใหญ่หลังจากจบมัน ถึงแม้ภาค The Royal อาจจะไม่ได้มอบอารมณ์ดังกล่าวให้เหมือนเช่นเดิม แต่มันก็ช่วยเติมเต็มเนื้อเรื่องในจักรวาลเกมที่ผมรักมากขึ้น และว่ากันตามตรงในการที่มันเป็นเกมภาคสมบูรณ์ Persona 5: The Royal จึงถือเป็นอีกหนึ่งเกม JRPG ที่ดีที่สุดไม่แพ้ภาคต้นฉบับของมันเลยทีเดียว
VERDICT
9.5/10