รีวิวเกม Concrete Genie (PS4) – กราฟิตี้เปลี่ยนเมือง

ทีมงาน Online Station ขอขอบคุณทางบริษัท Sony Interactive Entertainment สาขาประเทศสิงคโปร์ (SIES) ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Concrete Genie เพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วย

รีวิวเกม Concrete Genie

แพลตฟอร์ม: PS4
ผู้พัฒนา: Pixelopus
ผู้จัดจำหน่าย: Sony Interactive Entertainment

หากเอ่ยชื่อเกมอย่าง Concrete Genie เกมอินดี้เกมล่าสุดจากสตูดิโอเล็กๆ ในเครือลูกของ Sony อย่างสตูดิโอ Pixelopus ขึ้นมา เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักชื่อเกมที่ว่านี้กัน รวมถึงเกมดังกล่าวอาจจะไม่ใช่เกมที่มีคนเฝ้ารอกันมากมายนักเหมือนอย่างเกม Death Stranding หรือ The Last of Us: Part II แต่เชื่อว่าหากบอกว่าเกมนี้คือเกมจากค่ายที่เคยให้กำเนิดเกมอินดี้อย่าง Entwined มาก่อน ทุกคนจะต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน และถึงแม้จะเป็นเกมเล็กๆ จากค่ายเล็กๆ แต่เกมนี้กลับดึงดูดผู้เล่นที่ได้ลองสัมผัสมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญก็คือ ตัวเกมนั้นมาพร้อมกับซับไทยเต็มรูปแบบ ทั้งในหน้าเมนูและคำบรรยายระหว่างเล่นเลยด้วยครับ

Concrete Genie คือเกมแนวแอ็กชั่นผสมผจญภัยที่มีกลิ่นอายของความเป็นเกมพัซเซิลแฝงอยู่ในนั้นด้วย ตัวเองจะบอกเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มนาม “แอช” (Ash) หนุ่มน้อยหัวศิลป์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ริมชายฝั่งทะเลที่ชื่อว่า เด็นสก้า (Denska) ด้วยความที่มักจะถูกกลุ่มเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกลั่นแกล้งอยู่เสมอ แอชจึงหาทางออกจากชีวิตอันยุ่งเหยิงของเขาด้วยการทำในสิ่งที่ชื่นชอบที่สุด นั่นก็คือการวาดรูป “จีนี่” หรือสัตว์ประหลาดเพื่อนรักที่เขาคิดขึ้นมาเอง ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง เจ้าจีนี่ที่เขารังสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเองนั้นกลับมีชีวิตขึ้นมา และมันก็ได้มอบพู่กันพร้อมกับสีวิเศษให้กับแอช เป็นพลังที่จะสามารถวาดสีสันลงบนกำแพงเพื่อชุบชีวิตเมืองเด็นสก้าที่เคยตายไปแล้วให้หวนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการใช้สีวิเศษที่ว่าร่วมกับเหล่าสหายจีนี่ช่วยกันขับไล่เชื้อราแห่งความมืดออกไปจากเมืองที่เปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา

เนื้อเรื่องของตัวเกมนั้นดำเนินไปอย่างเที่ยงตรง เข้าใจง่าย ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก ซึ่งก็ถือว่าดีในแง่ที่ว่าสามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย แต่สำหรับใครที่ชอบเสพเนื้อเรื่องที่มีความซับซ้อน ลึกล้ำ ชวนให้ขบคิด อาจจะรู้สึกได้ว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้มันเรียบง่ายและ “เด็ก” ไปเล็กน้อย แต่ถึงแม้ตัวเนื้อเรื่องจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก ผู้เขียนกลับชอบที่ตัวเกมกล้าที่จะหยิบยกประเด็นทางสังคมอย่างการกลั่นแกล้งกันหรือ Bullying มาพูดถึงในตัวเกมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ได้สัมผัสก็จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกในแง่มุมของ “เหยื่อ” ของการ Bullying อย่างแอชที่เป็นตัวเอกของเกม รวมถึงได้สัมผัสว่าเหตุใดฝ่ายที่คอยกลั่นแกล้งผู้อื่นถึงได้ลงมือทำเช่นนั้นไป พวกเขามีปมด้อยอะไรอยู่ในใจ โดยเราจะได้รับรู้กันผ่านเรื่องราวของเด็กๆ แต่ละคนนั่นเอง

ระบบของเกมหลักๆ นั้นจะเกี่ยวโยงกับการวาดภาพระบายสี ตัวเกมจะใช้ฟังก์ชั่น Motion Sensor หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของจอย DualShock 4 ในการวาดภาพเป็นหลัก (หรือถ้าใครไม่สะดวกก็สามารถตั้งค่าให้ใช้ปุ่ม L3 หรือ R3 ในการวาดได้เหมือนกัน) โดยระบบการวาดภาพในเกมนี้ก็จัดว่าทำได้ดีมากๆ ผู้เล่นอย่างเราๆ นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่วาดภาพเก่งเลย เพราะตัวเกมจะมี “แบบร่าง” ให้เราได้เลือกใช้ในการวาดตกแต่งภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะวาดภาพแบบไหนลงบนผนัง มีทั้งต้นไม้ใบหญ้านานาพันธุ์ ดอกไม้หลากหลายชนิด ไปจนถึงดวงดาว ดวงอาทิตย์ ยันสิ่งมีชีวิตต่างๆ อย่างนกหรือผีเสื้อ หรือจะก่อกองไฟสร้างความอบอุ่นให้แก่ภาพก็ได้เช่นกันครับ ซึ่งถึงแม้เจ้าแบบร่างที่ว่าจะไม่ได้มีเลือกมากขนาดนั้น แต่ทุกๆ ครั้งที่ได้ลงมือวาดรูปในเกม ผู้เขียนกลับไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้งเดียว เพราะเราสามารถจำแบบร่างแบบโน้นแบบนี้มาผสมกันได้อย่างเต็มที่ บางครั้ง ผู้เขียนเองก็เลือกวาดเป็นป่าแอปเปิ้ลพร้อมหมู่ผีเสื้อมากมาย หรือบางทีอาจวาดเป็นทุ่งดอกไม้พร้อมออโรร่าและดวงดาวเต็มฟากฟ้าก็ยังได้ ตรงนี้ก็แล้วแต่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนเลย

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเกมนี้มากๆ เลยก็คืออิสระที่ตัวเกมเปิดให้กับเรา ซึ่งถึงแม้แผนที่ในเกมจะไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรมากมายนัก จะเรียกว่าเป็นเกมโอเพ่นเวิลด์ก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตัวเกมก็ยังเปิดโอกาสให้เราได้สร้างสรรค์งานศิลปะได้ในทุกๆ ที่แบบไม่จำกัด ถึงแม้ตัวเกมจะมีกำหนดจุดให้เราวาดภาพเพื่อสร้างแสงไฟก็ตาม ตรงนี้ถ้าใครที่มีอารมณ์ศิลปินอยากโชว์ฝีมือจัดกราฟิตี้ให้ทั่วเมืองก็สามารถทำได้เช่นกัน

นอกจากการวาดรูปแล้ว อีกระบบเด่นของเกมนี้ก็คือระบบการสร้าง “จีนี่” หรือเหล่าเพื่อนผองบนกำแพงของเราที่จะคอยให้ความช่วยเหลือต่างๆ นาๆ เพื่อให้เราสามารถผ่านด่านได้แล้ว โดยตัวเกมจะเปิดโอกาสให้เราได้สร้างจีนี่ในรูปแบบของเราได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรูปร่างลักษณะของร่างกาย กำหนดรูปแบบของหู หาง หรือเขาต่างๆ ซึ่งลักษณะที่ว่านี้ก็จะส่งผลต่อนิสัยใจคอของจีนี่ตนที่เราสร้างขึ้นมาด้วย ตัวอย่างเช่น หากเราสร้างให้จีนี่ของเรามีเขาแหลมๆ งอกขึ้นมาจากบนหัว จีนี่ตัวดังกล่าวก็จะกำเนิดขึ้นมาเป็นจีนี่ที่ค่อนข้างใจร้อน หน้าตาออกไปทางดุร้ายซุกซน (แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเราอยู่ดี) หรือถ้าเราสร้างจีนี่ของเราให้มีหูหางเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือมีใบหูกลมๆ ออกไปทางน่ารัก มันก็จะกลายมาเป็นจีนี่ที่มีนิสัยขี้เล่นและขี้อ้อนแทน

ไม่เพียงแค่เราจะสร้างผองเพื่อนคู่หูของเราได้ตามใจชอบเท่านั้น ตัวเกมยังทำได้ดีในแง่ของการสร้าง “ชีวิต” ให้กับจีนี่ของเราด้วย ถึงแม้ว่าจีนี่แต่ละตัวจะมีชีวิตได้แค่บนกำแพงเท่านั้น แต่ในหลายๆ ครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเหล่าจีนี่ที่เราสร้างขึ้นมานั้นเป็นเหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆ ของเราเอง เพราะนอกจากมันจะคอยช่วยเราในสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอแล้ว ในบางครั้ง จีนี่แต่ละตัวก็จะร้องเรียกให้เราวาดภาพต่างๆ ตามที่มันต้องการ หรือเรียกร้องให้เราเข้าไปเล่นกับมัน หรือถ้าหากในฉากที่เรากำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นมีสิ่งของที่พอจะใช้เป็นของเล่นได้ เจ้าจีนี่ทั้งหลายก็จะไม่รอช้า รีบวิ่งไปโดดดึ๋งๆ เรียกร้องให้เราเข้าไปนั่งเล่นกับมันในทันที ตัวอย่างเช่น ในฉากแรกๆ เวลาเราวิ่งไปเจอแป้นบาสเข้า เจ้าจีนี่ที่วิ่งตามเรามาในกำแพงก็รีบเสกลูกบาสออกมา (ได้ยังไงก็ไม่ทราบ) แล้วเรียกร้องให้เราชู้ตลูกลงห่วงให้มันดูทันที ก็ถือว่าเป็นสีสันของเกมอีกอย่างหนึ่งเลยล่ะ

และถ้าหากเราทำตามคำร้องขอของเหล่าจีนี่ได้สำเร็จ เราก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่า “สีมนตรา” มา ซึ่งเจ้าสีมนตราที่ว่านี้คือสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องใช้ในการขจัดความมืดที่เกาะอยู่ตามกำแพงเมืองในจุดต่างๆ นั่นเอง และแน่นอนว่าหนทางเดียวที่จะได้เจ้าสีมนตรานี้มาก็คือการเล่นกับจีนี่ของเราหรือวาดรูปตามที่พวกมันอยากเท่านั้น ถ้าเราเปิดไฟในเมืองได้ครบทั้งแผนที่เมื่อไหร่ เราก็จะได้วาด “ผลงานชิ้นเอก” ที่เป็นเหมือนกับผืนผ้าขนาดใหญ่ให้เราได้โชว์ฝีมือกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งตรงนี้ใครที่มีหัวศิลปินอยู่แล้วน่าจะชื่นชอบกันไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีอุปสรรคเลย ในระหว่างที่เราเดินทางโลดแล่นวาดผนังไปเรื่อยๆ เราก็อาจจะมีโอกาสป๊ะเข้ากับพวกอันธพาลที่จะคอยพุ่งเข้ามาหาเรื่องเราตลอดทุกครั้งที่เจอตัว ดังนั้น เราจึงต้องพยายามหาทางหลบเลี่ยงไม่ให้โดนเจอตัวเข้า โดยใช้การผิวปากดึงความสนใจของพวกนั้น แล้วหาทางหลบเลี่ยงไปอีกทางแทน

ด้านกราฟิกและการนำเสนอในเกมก็ทำออกมาได้ดีเกินคาดมากๆ แม้ตัวกราฟิกจะไม่ได้เลิศเลอหรือสมจริงอะไรนัก แต่ทีมพัฒนา Pixelopus กลับสร้างบรรยากาศภายในเกมออกมาได้ดีเกินมาตรฐานเกมอินดี้ไปหลายขุมเลยทีเดียว ทั้งตัวเมืองที่ในทีแรกจะมีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ และหดหู่ แต่พอวาดภาพลงไปตามผนัง ตัวเมืองก็จะดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา อีกทั้งภาพการเคลื่อนไหวหรือการแสดงสีหน้าของตัวละครเองก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านภาพกราฟิกที่ดูคล้ายกับภาพยนตร์แบบ Stop-motion และในบางส่วนก็ใช้ภาพวาดเป็นตัวเล่าเรื่องแทน ซึ่งก็เป็นอะไรที่เข้ากับรูปแบบการเล่นของตัวเกมเอามากๆ จนอดรู้สึกไม่ได้เลยว่ากำลังเสพงานศิลป์ชิ้นหนึ่งอยู่

สิ่งที่สุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการแปลภาษาในเกมเป็นภาษาไทยครับ คุณภาพการแปลของเกมนี้นั้นเรียกได้ว่ายังสามารถคงมาตรฐานของ Sony เอาไว้ได้อย่างสวยงามไม่แพ้เกมรุ่นพี่อย่าง Sekiro: Shadows Die Twice ที่มีการแปลเป็นภาษาไทยออกมาก่อนแล้วแม้แต่น้อย ทุกส่วนของตัวเกมนั้นได้รับการแปลออกมาอย่างพิถีพิถัน อ่านง่ายได้ใจความ ไม่ว่าจะเป็นในหน้าเมนู ซับไตเติ้ล หรือแม้กระทั่งบันทึกของแอชที่เราสามารถอ่านเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่องเพิ่มเติมได้ สิ่งเดียวที่แอบเสียดายไปหน่อยก็คือ พวกคอลัมน์หน้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นของสะสมให้เราเก็บตามแผนที่นั้น กลับไม่ได้รับการแผลเป็นภาษาไทยด้วย เลยอาจจะทำให้ผู้เล่นที่อยากซึมซับเนื้อเรื่องเพิ่มเติมขัดใจไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เราเล่นเกมไม่รู้เรื่องหรือขาดอารมณ์ไปแต่อย่างใด

จุดเด่น

ระบบการเล่นที่แปลกใหม่ ใช้งานฟังก์ชั่นตรวจจับการเคลื่อนไหวของจอย DualShock 4 ได้อย่างสร้างสรรค์
เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย และกล้าหยิบยกประเด็นทางสังคมมาขยายความ ทำให้เราได้สัมผัสกับมุมมองของคนที่เป็นเหยื่อของการกระทำดังกล่าว
โลกภายในเกมดูมีชีวิตชีวา ดูสวยงามแม้ไม่ได้มีกราฟิกที่ดูสมจริงนัก อีกทั้งเหล่าจีนี่ทั้งหลายก็ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับมีชีวิตจริงๆ
ตัวเกมให้อิสระกับผู้เล่นมาก และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่
ภาษาไทยในเกมแปลออกมาได้ดีไม่แพ้เกม Sekiro: Shadows Die Twice หรือ Shadow of the Colossus เลย

จุดด้อย

ช่วงกลางเกมมีการเดินเรื่องค่อนข้างเฉื่อยไปเล็กน้อย เพราะนอกจากการวาดภาพแล้ว ตัวเกมก็ไม่ได้มีอะไรให้เราทำมากนัก
ในส่วนของคอลัมน์หนังสือพิมพ์ที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเด็นสก้านั้นไม่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ทำให้ผู้เล่นที่อ่านภาษาอังกฤษไม่คล่องอาจจะตกหล่นข้อมูลในช่วงนี้ไป

สรุป

แม้ว่าตัวเกม Concrete Genie จะเป็นเพียงแค่เกมอินดี้เล็กๆ ที่ไม่มีใครรอคอยนัก แต่ภาพรวมของตัวเกมนั้นมีความสวยงามและน่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก หากคุณเป็นคนที่ชอบเสพงานศิลป์ภายในเกม เป็นคนที่ชอบวาดรูปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือเป็นคนที่อยากพักสมองและหาเกมเล่นเพื่อผ่อนคลายความเครียด ก็น่าลองสัมผัสกับเกมนี้ดูสักครั้งครับ รับรองเลยว่าคุณจะต้องตกหลุมรักเหล่าจีนี่เพื่อนรักของเราอย่างแน่นอน