Ghost of Yōtei นั้นถือเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการของเกมแอคชั่นธีมซามูไรที่หลายต่อหลายคนชื่นชอบอย่าง Ghost of Tsushima ภายหลังจากที่ตัวเกมภาคแรกนั้นสร้างตำนานทำยอดขายได้เกินกว่า 10 ล้านชุด ขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งงานขายดีระเบิดระเบ้อของ Sony และ PlayStation ไม่แปลกเลยที่ภาคต่อนี้จะถูกคาดหวังอย่างมหาศาล และในแง่หนึ่ง "ความคาดหวัง" ของแฟนๆ ก็เป็นทั้งหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจให้ทีมงานได้มีกำลังวังชาสรรสร้างความยอดเยี่ยมยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ขณะเดียวกันมันก็หนักอึ้งพอจะสร้างรอยแตกร้าวเล็กแต่ร้าวลึกบนงานปฏิมากรรมอันงดงาม ที่แม้สุดท้ายผู้คนอาจจะมองเห็นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันนักเมื่อเมียงมองถึงภาพรวมที่ยังน่าพอใจ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีอยู่จริงบนนั้น
สำหรับผมเอง Ghost of Yōtei มอบสุดยอดประสบการณ์ควงคาตานะบุกตะลุยทั่วฮอกไกโดได้แบบไม่มีใครเคยทำ และหากคิดจะทำก็ใช่ว่าจะทำแตะระดับนี้ได้โดยง่าย ตัวเกมถึงพร้อมในแทบทุกจุด ไม่ว่าจะเกมเพลย์ การสำรวจ หรือกำกับศิลป์ที่ถูกยกระดับไปอีกขั้น เพียงแต่พอไฟแค้นมันโหมแรงก็มักจะออกอาการแผ่วปลายลงในช่วงท้าย และเผยให้เห็นร่องรอยที่ชวนให้ตั้งข้อสังเกตในแบบที่ภาคแรกแทบไม่มีให้พบเจอ
เนื้อเรื่อง
Ghost of Yōtei เป็นเรื่องราวที่เกิดหลังจากเหตุการณ์ใน Ghost of Tsushima ราวๆ 329 ปี บนดินแดนเอโซะ (ฮอกไกโด) เกาะใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นที่มีภูเขาใหญ่ "โยเท" เป็นดั่งหลังคาของดินแดน ณ ที่แห่นนั้นชาวประชากำลังทุกข์ทนกับการเถลิงอำนาจเหนือกฎบ้านกฎเมืองจนแม้แต่ตระกูลซามูไรผู้ดูแลพื้นที่ยังมิอาจต้านทานของกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า "6 อสูรโยเท"
แต่แล้ววันหนึ่งชื่อของ "อนเรียว" ก็ปรากฎขึ้น ผีร้ายผูกพยาบาทที่ประกาศว่าจะต้องล้างบาง 6 อสูรโยเทให้สิ้นซาก นามที่แท้จริงของนางผีร้ายนั้นน้อยคนจะรู้ว่าคือ "อัตสึ" หญิงสาวนักรบผู้ที่ในอดีตหลายปีก่อนหน้าถูก 6 อสูรโยเทสังหารล้างครัวในวัยเด็ก เธอเอาชีวิตรอดจากคืนวันนั้นมาได้ มุ่งลงใต้ขัดเกลาตัวเอง เข้าร่วมสงครามลิขิตชะตาญี่ปุ่นอย่าง "เซกิงาฮาระ" ก่อนจะกลับสู่มาตุภูมิแดนเหนือเพื่อเริ่มเปิดฉากล้างแค้นเลือดที่สุมอกมานาน แต่เธอจะทำได้หรือไม่ ผู้เล่นคือผู้กำหนดครับ




Ghost of Yōtei มีธีมหนึ่งที่คล้ายๆ ภาคแรกคือความเป็น Underdog ของตัวเอกที่แม้จะไม่รู้ว่าสู้ไปจะชนะรึเปล่าแต่ก็ขอสู้ไว้ก่อนด้วยแรงขับบางอย่างซึ่งถูกผลักดันอย่างแรงกล้าจากภายใน เพียงแต่ใน Yōtei เราจะเห็นภาพของศัตรูที่ชัดเจนกว่า รู้ว่าใครเป็นเป้าหมายจริงๆ เข้าใจความโกรธแค้นและความลำบากใจของอัตสึในการตามล้างแค้น ลามไปถึงการชั่งน้ำหนักทางจิตใจในหลายๆ ช่วง ตัวเกมให้เราได้เห็นชีวิตของอัตสึมากพอที่เราจะเข้าอกเข้าใจพร้อมเอาใจช่วยนาง รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่ทำได้ดีมีกิมมิคพิเศษในบางจุดบางตอน หรือการเล่นมุมกล้องที่รู้สึกเลยว่าทำออกมาได้เจ๋งดี เช่น เวลาอยู่ที่บ้านเก่าเราสามารถกดสลับกลับไปดูและเล่นเรื่องราวของอัตสึในวัยเด็กได้อย่างไร้รอยต่อ
ขณะที่เรื่องราวของผู้คนรอบตัวที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับอัตสึก็มีความน่าสนใจ แม้จะถูกเล่าไม่ละเอียดเท่าและหลายๆ ครั้งก็ต้องตามไปทำเควสต์ย่อยเอาเองเพื่อจะรับรู้เรื่องราวของพวกเขาที่มากขึ้น แต่สำหรับสายเนื้อเรื่องยังไงก็คุ้ม เพราะท่ามกลางความแค้นและสงคราม เรื่องราวรอบๆ ภูเขาโยเทก็ยังมีแง่มุมอื่นๆ ที่ถูกมองผ่านกล้องคนละเลนส์ และความเด็ดขาดของบทพูดไดอาล็อกที่ถูกแปลภาษาไทยอย่างประณีตสวยงามก็ช่วยให้ผู้เล่นได้รับอรรถรสที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้นจม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจนถึงองค์สามช่วงต้น เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็รู้สึกได้เลยว่าทีมงานเหมือนอยากจะให้เกมจบช่วงนี้แต่หาวิธีลงไม่เจอ เลยคล้ายกับว่าเต็มไปด้วยความอิลั่กอิเหลื่อ เนื้อเรื่องที่เข้มข้นประณีตมาตลอด เริ่มคลายความเข้มขลังเพื่อจะหาจุดลงง่ายๆ และพอเชื่อมต่อได้กับองค์รวม การกระทำของตัวละครหรือไดเรคชั่นของเรื่องกลับมีแต่ทำให้ผู้เล่นขมวดคิ้วและตั้งคำถาม ไม่อลังการ ไม่ฮึกเหิม ตั้งแต่เล่นมาช่วง 5 ชั่วโมงสุดท้ายของเกมคือห้วงเวลาที่น่าผิดหวังที่สุด ผิดหวังทั้งในแง่ของแนวทางและการบิลด์อารมณ์ร่วม มันห้วน มันง่าย เหมือนต้องรีบจบแล้วซึ่งผิดกับวิสัยที่เต็มไปด้วยความละเมียดละมัยมาตลอดแทบทั้งเกม
และกลายเป็นว่า 6 อสูรโยเทกลับเป็นตัวร้ายที่จืดชืดลงไปพอสมควร เรื่องตลกร้ายก็คือ บอสตัวแรกที่เราได้เล่นและสู้กับมันจริงจัง กลับมีสตอรี่และการบิลด์อัปได้น้ำได้เนื้อที่สุดในเกม และตัวที่จืดชืดขนาดว่าจนจบเกมตัวเราก็ยังไม่เข้าใจเขาสักอย่างดันเป็นบอสใหญ่สุด คือเกมทำเหมือนว่าตัวนี้อาจจะมีอะไร แต่ก็ไม่มีอะไร แบนราบเป็นตัวร้ายธรรมดาทั่วไปเสียอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
เสียง กราฟิกและเพอร์ฟอร์มานซ์
หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งหลายๆ คนเห็นตรงกันใน Ghost of Tsushima ก็คือพรีเซนเตชั่นของเกม ที่ถูกนำเสนอผ่านกราฟิกสวยสดและลื่นไหล อันมาพร้อมกับอาร์ตไดเรคชั่นที่งดงามให้ความรู้สึกเนียนตาอยากขี่ม้าไปเรื่อยๆ สำหรับใน Ghost of Yōtei ต้องบอกว่านอกจากทีมงานจะรักษามาตรฐานได้แล้ว ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยขุมพลังกราฟิกปรับปรุงใหม่ให้ความรู้สึกโอฬารตระการตายิ่งกว่าเดิม การควบม้าไปบนทุ่งหญ้ากว้างไกลของเอโสะโดยมีรอบข้างเป็นฝูงนกบินตีขนาบและฝูงม้าวิ่งผ่านตัดหน้าอยู่ลิบๆ ช่วยมอบความมีชีวิตชีวาให้กับเกมได้อย่างมาก




ขณะเดียวกันรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนชุดหรืออาวุธของตัวละครก็ไม่ถูกละเลย มีการลงดีเทลชนิดที่ลองมองปราดเดียวก็รู้ว่าใส่ใจ และถึงแม้จะมีการแอบลดเท็กซ์เจอร์ฉากในจุดที่ไม่สลักสำคัญอยู่บ้าง แต่นั่นก็ทำให้เครื่อง PS5 รุ่นธรรมดาสามารถรันเกมนี้บนโหมด Performance ได้แบบลื่นๆ 60 FPS แทบไม่มีสะดุดหรือดรอปให้รำคาญใจ ในแง่ความลื่นไหลจัดว่าผ่านฉลุย แถมทั้งคุณภาพกราฟิกบนโหมด Performance ยังทำได้ดีดูสวยงามสมราคาไม่มีความตะขิดตะขวงใดๆ แต่กราฟิกบนโหมด Quality คืออีกระดับที่หากคุณเล่นเกมที่ 30 FPS ได้ก็เชียร์ให้เล่นโหมดนี้ครับ สวยงามแบบยกระดับไปบานตะเกียง
อย่างไรก็ตามแม้เพอร์ฟอร์แมนซ์จะดี แต่พบว่ามีหลายครั้งที่เกมคล้ายจะโหลดกราฟิกไม่ทัน ขณะที่บางครั้งก็เจอบั๊กเกมไม่โหลด NPC จนทำให้ภารกิจไม่ผ่าน รวมถึงหน้าต่าง UI ที่แสดงผลผิดพลาดก็ไม่ให้เห็น แม้อาจไม่ได้เจอบ่อย แต่ทุกปัญหาก็เจอมากกว่า 1 ครั้ง ค่อนข้างชัดเจนว่าตัวเกมไม่ได้ถูกเกลาจนเนี๊ยบเท่าภาคแรก หากสามารถแก้ด้วยแพตช์อัปเดตได้ก็จะดีอย่างมาก
เสียงและเพลงประกอบทำได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะการใส่ซามิเซ็งเข้ามาเป็น 1 ในเครื่องดนตรีก็ทำให้เกมมีเพลงเจ๋งๆ มากมาย ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบบทเพลงหมาป่า ที่ให้อารมณ์ไปในทางของหนังคาวบอยล้างแค้นที่ดันเข้ากันกับธีมเกมอย่างประหลาด ชูอารมณ์ระหว่างเล่นได้เป็นอย่างดีเลยครับ
เกมเพลย์
ภาคนี้เกมเพลย์หลักตอนต่อสู้จะเปลี่ยนจากระบบ Stance ไปเป็นประเภทอาวุธซึ่งมีชนะทางและแพ้ทางกันแทน ในจุดนี้น่าจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ข้อดีคือได้เล่นอาวุธที่หลากหลาย และอาวุธแต่ละชิ้นก็มีบทบาทของตัวเองที่ชัดเจน ไม่มีอาวุธชิ้นใดที่รู้สึกว่าไร้ประโยชน์ ส่วนข้อเสียก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเกมสูญเสียความยูนีคบางอย่างไป เพราะตอน Tsushima จำได้ว่าว้าวกับระบบ Stance ที่การเปลี่ยนไปมานอกจากจะเพื่อเอื้อประโยชน์ในการต่อสู้ คือได้เห็นอนิเมชั่นการใช้คาตานะของตัวเอกที่ไม่จำเจ
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าระบบเปลี่ยนอาวุธนั้นเข้ากับอัตสึที่เน้นย้ำอยู่ตลอดเกมว่าเธอไม่มีทางเป็นซามูไรมากกว่า เนื่องเพราะเธอเป็นนักรบหญิงที่หนีเรื่องราวโหดร้าย และเติบโตขึ้นในสมรภูมิ ใช้อะไรได้ก็ใช้ แม้แต่คาตานะอันเป็นอาวุธหลักก็ยังไม่ได้เรียนท่วงท่าที่ถูกต้องมา การไม่มี Stance ให้ใช้จึงเหมาะควรกับเรื่องราวของเธอมากกว่า และที่ต้องชมมากๆ คือระบบเปลี่ยนอาวุธที่ลงตัวสุดๆ จากการวางแมปปิ้งปุ่มกดที่ใช้งานได้ง่าย เรียนรู้ให้คล่องได้เวลาไม่นาน ตอนที่เราใช้งานมันได้ดีจะทำให้เรารู้สึกเก่งเจ๋งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และทำให้อยากจะบวกกับศัตรูไปเรื่อยๆ เพราะมันส์นิ้วสุดๆ
แม้กระนั้นก็ยังมีข้อเสียในเรื่องของมุมกล้องช่วงต่อสู้ที่หลายๆ ครั้งก็ไม่ได้ดั่งใจ เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มก็กลับเป็นมุมกล้องที่จับพลัดจับผลูจนเราเสียเปรียบและตายแบบน่าโมโหเสียอย่างนั้น อีกทั้งบอสช่วงหลังๆ ดูจะบีบให้ผู้เล่นต้องเล่นเกมรับแล้วสวนด้วยแพรี่อยู่ตลอด ไม่เอื้อให้ได้วาดลวดลายเล่นเกมบุกเท่าไหร่ แน่นอนว่าเราสามารถชนะบอสเหล่านั้นได้ เพียงแต่หากสามารถชนะด้วยวิธีที่หลากหลายมากกว่านี้ได้ก็จะดีกว่ามาก นับรวมถึงการที่เกมมีส่วนที่เป็นทางเลือกให้ลอบเร้นอยู่พอสมควร แต่ระบบที่ทำมาก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า "ฆ่าแล้วอย่าทำให้ศัตรูเห็น" มันเรียบง่ายและใช้งานได้ดีก็จริง (จนบางครั้งก็ง่ายเกินไปมากๆ) ถ้าหากมีลูกเล่นที่ลึกขึ้นกว่านี้หน่อยก็คงจะดีไม่น้อย แม้กระนั้นส่วนตัวแล้วหากต้องคิดในภาพรวมก็ยังคงมองว่าระบบต่อสู้คือหนึ่งในจุดที่แข็งที่สุดของเกมอยู่ดี มันรวดเร็ว ใช้งานง่าย เล่นสนุก และโคตรจะเท่




แต่นอกจากเรื่องต่อสู้ การออกสำรวจเอโสะก็เป็นอะไรที่สุนทรีมีชีวิตชีวามากๆ ผมชอบที่แผนที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป วางกิจกรรมรองๆ หรือพื้นที่น่าสนใจไม่ให้รู้สึกว่าแออัดกันมาก และทุกๆ ที่ที่เจอสามารถ Fast travel กลับมา เพื่อต่อยอดไปสู่การสำรวจพื้นที่ใกล้ๆ กันได้อย่างสะดวกดาย กอปรกับการโหลดเกมที่รวดเร็วมากๆ ในการเดินทางแต่ละทีทำให้การออกสำรวจในเกมมีความต่อเนื่องและทอนความน่าเบื่อออกไปได้พอสมควร แบบว่าพลาดตรงไหนไปก็ไม่ต้องกลัววิ่งไกล เพราะวาร์ปไปจุดใกล้ๆ ได้ตลอด นอกจากนี้ในช่วงหลังๆ ก็ยังสามารถใช้เพลงในการพาไปสถานที่ต่างๆ ในแบบเฉพาะเจาะจงได้อีกต่างหาก ทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้เกมมีความกระชับขึ้นโดยที่ผู้เล่นไม่พลาดคอนเทนต์ที่เกมเตรียมไว้มากเกินไว้ สุดท้ายผมจบเกมที่ราวๆ 53 ชั่วโมงโดยที่เก็บของหลักๆ ได้ครบเกือบหมด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำลังพอเหมาะพอดีเลย
Ghost of Yōtei ยังมีความกินขาดด้านบรรยากาศที่รู้สึกได้เลยว่าผู้พัฒนาสนุกมือกับการสร้างความมีชีวิตชีวาเหล่านี้ออกมา ไม่นับรวมการออกแบบฉากได้อย่างน่าสนใจน่าออกสำรวจ เกมยังมีกิมมิคเล็กๆ ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ อย่างเช่นมินิเกมตัดต้นไผ่ ที่หลายๆ ครั้งฉากหลังจะมีคนมาคอยออกความเห็น มาถ่มถุย หรือมาเชียร์ บางครั้งก็มีสัตว์มาดูอย่างพวกจิ้งจอกหรือลูกหมี คือมันน่ารักมากๆ แม้จะกดพลาดก็ยังยิ้มได้ นอกจากนี้เกมยังไม่พลาดที่จะใส่สัตว์พื้นถิ่นอย่างนกน้อยชิมาเอนากะสีขาวตัวเล็กๆ กลมๆ เข้ามาภายในเกมด้วย คือเก็บดีเทลได้อย่างเนี๊ยบ เป็นสิ่งที่ทีมงานทำได้ดีมาตั้งแต่ภาคแรก
อ้อแล้วบ่อนพนันอย่าเผลอเข้าไปล่ะ มินิเกมดีดเหรียญนี่อาจเพลินจนมีหมดตัวเอา!




สรุป
Ghost of Yōtei คือเกมที่ออกมาตอกย้ำว่าทีมงาน Sucker Punch นั้นมีของขนาดไหน พวกเขาสามารถสร้างญี่ปุ่นในเกมได้แบบที่ใครก็ยากจะเลียนแบบแม้แต่กับเกมค่ายญี่ปุ่นเอง น่าเสียดายที่ช่วงสุดท้ายของเกมนั้นดูจะเร่งจบจนทุกอย่างแผ่วปลายลงอย่างน่าใจหาย พูดได้อย่างเต็มปากว่าผมไม่ชอบช่วงสุดท้ายของเกมเลย ด้วยมาตรฐานที่ทำมาทั้งหมด มันควรไปได้สุดหรือฟินาเล่กว่านี้ แม้กระนั้นหากชั่งน้ำหนักหรือมองภาพรวมของเกมดูอีกที ก็ยังต้องบอกว่า Ghost of Yōtei คืออีกหนึ่งเกมแอคชั่นชั้นดีที่ไม่อยากให้พลาดกัน มันมีทั้งโลกเกมที่มีบรรยากาศยอดเยี่ยม น่าค้นหา QoL ก็ถูกออกแบบมาอย่างเข้าท่า เอื้อให้ตัวเกมมีความลื่นไหลทั้งองคาภยพ พร้อมกับระบบต่อสู้ที่สนุกสนานใช้งานง่าย มีความต่อเนื่องจนอยากจะบวกศัตรูไปเรื่อยๆ และมันคงไม่น่าแปลกใจหาก Ghost of Yōtei จะได้เข้าชิงรางวัลสาขาใดสาขาหนึงในงานใหญ่ช่วงปลายปีนี้ครับ





VERDICT
8.5/10
Ghost of Yōtei มีกำหนดวางขายวันที่ 2 ตุลาคมนี้บน PlayStation 5 ครับ
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station