Metal Gear Solid Delta: Snake Eater คือเกมภาครีเมคของ Metal Gear Solid 3: Snake Eater ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของเกมในตระกูล Metal Gear ซึ่งแฟนๆ หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเกมต้นฉบับมันยังไม่ได้เก่าขนาดนั้นทำไมรีบรีเมคจัง ทว่าในทางกลับกันเพราะว่าเกมยังไม่เก่ามากนี่แหละ ทำให้ระบบเกมในภาพรวมยังไม่ได้โบราณมากมายนัก มีความร่วมสมัยระดับไม่ขัดเขิน สามารถนำมันมาปรับลูกเล่นเล็กน้อย แล้วอัดสเตียรอยด์ด้านงานภาพเข้าไป ทำให้การรีเมคเกมภาคนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจว่า Konami เองอาจจะเลือกไปต่อกับแฟรนไชส์นี้และเริ่มกลับมาโฟกัสมันอีกครั้ง
เพราะอย่างน้อยที่สุด แม้จะไม่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก่อน แต่การรีเมคแบบแทบจะ 1 ต่อ 1 รอบนี้ก็สามารถกวักมือเรียกผู้เล่นใหม่ให้เข้ามาสัมผัสได้ถึงแก่นความเป็น Metal Gear ที่ยังอยู่อย่างครบถ้วน และ Metal Gear Solid Delta: Snake Eater ก็ถือเป็นชิ้นงานที่เรียกได้ว่าห่างไกลจากข้อครหา "รีเมคลวกๆ" อยู่มาก แม้ไม่อาจปกปิดร่องรอยความเก่าจางๆ ของอายุอานามเกม แต่มันยังดีเกินพอจะยืนยันเป็นหัวแถวของเกมแนวแอคชั่นลอบเร้นในยุคนี้สมัยนี้อยู่ดี

เนื้อเรื่อง
อย่างที่บอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในแฟรนไชส์ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Naked Snaked สายลับ CIA ระดับหัวกะทิ ที่ต้องแทรกซึมเข้ามาในดินแดนรัสเซียเพื่อช่วยพานักวิทยาศาสตร์สงคราม Nikolai Stepanovich Sokolov หนีออกไป ก่อนจะพบว่าภารกิจนี้ไม่ได้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อศัตรูเองก็ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหว แต่มันคงไม่มีอะไรชวนระทมใจเท่ากับการที่เป้าหมายของเขาในภารกิจนี้คือสังหาร The Boss หญิงสาวผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์และอีกครึ่งชีวิตของตัว Snake เอง
ในฐานะมือใหม่ ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่าไม่ค่อยจะคุ้นชินกับจังหวะเล่าเรื่องของเกมนี้มากนัก โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่เกมเน้นใช้คัตซีนแล้วอัดโถมข้อมูลจำนวนมากใส่ผู้เล่น จนรู้สึกว่าหากตามไม่ทันจะเออเร่อสมองบวมเอาง่ายๆ เลย แถมนอกจากจะมาบ่อยแล้วยังยาวด้วย เข้าใจว่าตอนเกมมันวางจำหน่ายครั้งแรก หลายๆ ตัวละครอาจเป็นที่รู้จักของแฟนเกมอยู่แล้ว ทีมสร้างเลยให้แอร์ไทม์ในคัตซีนเยอะสักหน่อย แต่พอเป็นมือใหม่ที่ได้แตะภาคนี้เป็นเกมแรก ก็ยอมรับว่าต้องปรับตัวพอสมควร ถึงแม้ผมจะชื่นชอบการใช้คัตซีนเล่าเรื่อง แต่มันก็มากมายจนอาจจะรู้สึกเกินลิมิตไปจริงๆ คิดว่า 2 ชั่วโมงแรกของเกมน่าจะได้เล่นเองไม่ถึง 10 นาที กระทั่งกลางๆ เกมถึงเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น
เอาเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ผมว่ามันเป็นสไตล์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครของเกมนี้ อาจรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้กำกับคัตซีนได้ดีในหลายๆ ครั้ง และทุกๆ อย่างมันช่วยให้ซีเควนซ์ในตอนท้ายเกมทรงพลังขึ้นอย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ฉากคัตซีนยังมีลูกเล่นสุดเจ๋งที่สืบทอดมาจากภาคดั้งเดิม คือการที่บางครั้งผู้เล่นสามารถกดปุ่มเปลี่ยนเป็นมุมมองของ Snake ระหว่างที่คัตซีนกำลังดำเนินไปได้ด้วย ทำให้เห็นว่าตัวของสเน็คนั้นสายตากำลังโฟกัสอะไรอยู่ ซึ่งแทบทุกครั้งที่มี Eva มาเข้าฉากร่วมก็บอกเลยว่ามีของดีแน่ๆ ยิ่งเป็น Eva ร่างอัปเกรดกราฟิกแบบนี้ก็อยากจะตะโกนเป็นเสียงเซียนโอ๊ตโตะว่า "ใจจะขาด!"



เสียง กราฟิกและเพอร์ฟอร์มานซ์
เพลงประกอบใช้เพลงเดิมทั้งหมด ตัวเพลงโดดๆ อยู่ในขั้นตำนานอยู่แล้ว เพียงแต่หลายๆ ครั้งในซีนไคลแมกซ์ที่ต้องการการบิลด์จากเพลงเพิ่ม กลับรู้สึกว่าเสียงเพลงมันเบาไปหน่อยจนไม่สามารถส่งอารมณ์ร่วมให้เกมเพลย์เพิ่มเติมได้ขนาดนั้น ทั้งๆ ที่มันเป็นฉากที่ชวนตื่นเต้นเอามากๆ นอกจากนี้เพลงเปิดของเกมดูเหมือนจะถูกทำขึ้นใหม่และดัดแปลงไปจากเวอร์ชั่นต้นตำรับด้วยเช่นกัน บางคอมเมนต์มองว่าดรอปลง อาจจะต้องลองฟังกันเอง แต่อย่างน้อยที่สุดก็คิดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แย่อะไร
ส่วนเสียงประกอบและงานพากย์ไม่มีอะไรจะติ โดยเฉพาะเสียงประกอบฉากที่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีมาก สัตว์เล็กๆ ตามป่า นกกา จระเข้ หรือเหล่างู ล้วนแต่ช่วยสร้างบรรยากาศเย็นเยียบได้เป็นอย่างดี
ขณะที่กราฟิกนั้นต้องบอกว่าเวอร์ชั่นที่ได้มารีวิวเป็น PS5 ที่เล่นบนเครื่องธรรมดา ดังนั้นกราฟิกแบบโหมด Performance ได้ 60 Fps เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มีเฟรมร่วงเล็กน้อยในบางฉาก ยังถือว่าสอบผ่าน ที่สำคัญคือในโหมดนี้ก็ยังให้คุณภาพกราฟิกของเกมที่น่าประทับใจ อย่างโมเดลตัวละครความละเอียดสูง ก็มีการแสดงสีหน้าสีตาได้ชัดเจน มีแผลตามตัวปรากฎขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการเล่น หรือกระทั่งลุยน้ำลุยโคลนก็ยังมีร่องรอบความเปียกเปื้อนปรากฎให้เห็นอย่างสมจริง ส่วนสภาพแวดล้อมนั้นผมรู้สึกว่าโซนอาคารไม่เท่าไหร่ แต่พอเข้าป่าปุ๊บก็ค่อนข้างตื่นตาทีเดียว มันละเอียดและมีชีวิตชีวามากๆ ไม่แห้งเหมือนที่หลายๆ คนตั้งแง่เอาไว้ และสิ่งนี้คือการอัปเกรดที่ใหญ่สุดของเกมจริงๆ เพราะมันราวกับจะย้ำเตือนแฟนๆ เสมอว่าโลกของ Metal Gear นั้นน่าพิศวงและชวนให้หลงไหลขนาดไหน



เกมเพลย์
เกมเพลย์เป็นอีกส่วนที่ถูกยกระดับจากเวอร์ชั่นต้นฉบับครับ แม้ว่าแก่นของมันจะยังคงอยู่ครบถ้วนจนถูกแซวว่าไม่มีอะไรใหม่ แต่โหมดการเล่นแบบมุมมองบุลคลที่ 3 นี่แหละที่มาช่วยยกระดับเกมเพลย์ดั้งเดิมให้มีลูกเล่นมากขึ้น แม้ว่าหากพูดกันจริงๆ แล้ว มุมมองบุคคลที่ 3 จะไม่ได้ใหม่กับแฟรนไชส์นี้อะไรขนาดนั้น แต่มันใหม่กับภาคนี้แน่นอน และจะช่วยให้ผู้เล่นดั้งเดิมได้สัมผัสกับโลกใน Metal Gear Solid 3 ได้แบบใกล้ชิดและเต็มไปด้วยรายละเอียดกว่าที่เคย ทว่าหากยังชอบมุมมองหรือการควบคุมแบบเก่าก็ตัวเกมยังมี Legacy โหมดให้เล่น ซึ่งจะจำลองเกมเพลย์ดั้งเดมที่คุ้นเคยมาให้ผู้เล่นที่ต้องการกลิ่นเดิมๆ อยู่เหมือนกัน เข้าใจว่าอาจจะไม่ได้เหมือนเป๊ะขนาดนั้น แต่ผู้เล่นที่เคยผ่านงานต้นตำรับมาก่อนก็คงปรับตัวกับมันได้ง่ายกว่า
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นภาคเก่าจนไม่รู้จะต้องเอาไปเทียบยังไง ถ้าวัดแค่เกมเพลย์มันเพียวๆ ก็ต้องบอกว่าสมราคากับที่หลายๆ คนบอกไว้ว่าเกมเพลย์ของภาคนี้เหนือกาลเวลาจริงๆ มันยังคงไม่ตกยุค หรือมีบางฟีเจอร์ที่เกมยุคนี้ยังไม่มีด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะเทคนิคการลอบเร้นที่หากคิดตรงๆ ทื่อๆ ก็จะรู้สึกว่ายากจัง ทำไมเกมมันบีบเราขนาดนี้ แต่หากลองใจเย็นๆ และคิดนอกกรอบ สำรวจสิ่งที่ตัวเองมี ก็อาจจะเจอความครีเอตที่คาดไม่ถึง ซึ่งเกมเปิดกว้างมากๆ ให้กับวิธีจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าระดับที่ชวนให้เซอร์ไพรซ์เลยทีเดียว
ขณะที่การสู้บอสแต่ละตัวก็มีกิมมิคและวิธีสู้ที่แตกต่างกันออกไป ผมค่อนข้างชอบตอนสู้กับบอสตัวหนึ่งที่เราต้องแข่งความอดทนเดินวนแมพอยู่ 3-4 แมพเพื่อเล่นซ่อนหากับพี่แก แล้วบรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงแอมเบียนต์ในฉากที่ดังคลอ กดดันมาก มือถึงกับเหงื่อออก เป็นบรรยากาศชวนหลังตรงที่อาจไม่ได้เจอกันง่ายๆ แต่ถ้าชอบความระเบิดผู้เข้าเผากระท่อม เกมนี้ก็มีฉากไล่ล่าสุดมันส์ช่วงท้ายที่นำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งซีเควนส์ โดยเฉพาะกับมุมกล้องที่อย่างกับกำลังดูหนังแอคชั่นทุนสูงสักเรื่องสุดมันส์กันแบบถอดสมอง ยิงไม่ยั้งกันเป็นสิบนาที
แต่ก็อย่างที่บอกไปช่วงต้นแม้ว่าแนวคิดหรือฟีเจอร์หลายๆ ตัวจะล้ำข้ามเวลา มันก็ยังมีบางส่วนที่ปกปิดความเป็นเกมเก่าโดยกำเนิดของมันได้ไม่มิด ที่เห็นหลักๆ เลยคือมูฟเมนต์ตัวละครที่มันมีความขาดๆ เกินๆ จนพาลทำให้แอคชั่นของผู้เล่นนั้นมีความแม่นยำไม่มากพอ ส่งผลต่อการพยายามลอบเร้นชัดเจน หรือการที่เกมไม่มีระบบล็อคเป้า หลายๆ ครั้งทำให้โจมตีพลาดเป้าและกลายเป็นแตกซะงั้นทั้งๆ ที่ก็บิดองศาทิศทางเคลื่อนไปเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการที่เกมสมัยนี้หลายๆ เกมค่อนข้างมีการเน้นเรื่องการควบคุมตัวละครที่แม่นยำมากๆ ก็อาจจะส่งผลต่อความเคยชินของผู้เล่น และหากจะเกิดความรำคาญเพราะอาการขาดๆ เกินๆ ของเกมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร






สรุป
Metal Gear Solid Delta: Snake Eater อาจจะไม่ได้มีของใหม่มาเติมมากนักหากวัดกันในแง่ของเนื้อเรื่อง แต่ด้วยฟีเจอร์ที่มีการยกเครื่องแถมยังทำได้ดีกันแทบทุกองคาภยพ มันก็คงไม่หนักหนาเกินไปหากจะบอกว่า Metal Gear Solid Delta: Snake Eater คือรีเมคคุณภาพอีกชิ้นงานหนึ่ง ที่พร้อมโอบรับทั้งความคิดถึงคนึงหาของผู้เล่นเก่า รวมถึงผู้เล่นหน้าใหม่ที่กระสันต้องการอยากจะลองกระโจนเข้าสู่จักรวาล Metal Gear ดูสักครั้ง


ก็เหมือนกับการเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของ Metal Gear ในโมงยามที่ Konami กลับมาขยับทำเกมอีกครั้งก็เป็นได้ครับ
VERDICT
8/10
Metal Gear Solid Delta: Snake Eater มีกำหนดวางขายวันที่ 28 สิงหาคมนี้บน PlayStation 5, Xbox Series และ PC ครับ
ป.ล. รีวิวนี้ยังไม่ได้พูดถึงในโหมด Fox Hunt เพราะว่ายังเล่นไม่ได้ครับ
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station