ปัญหาหนึ่งสำหรับเกมเมอร์ แน่นอนว่าคงไม่พ้นเรื่อง "อาการหมดไฟ" ที่แม้แต่คนที่ไม่ใช่เกมเมอร์ หรือคนในวงการอื่น ๆ ก็ต้องเผชิญภาวะนี้เช่นกัน แม้ในอดีตเราจะสามารถ นั่งเล่นเกมได้เป็นวัน ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกฝืน เล่นได้ไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งบางทีสาเหตุของเรื่องนี้มันอาจลึกซึ้งกว่าแค่คำว่า "เบื่อเกม" เฉย ๆ นะ
ซึ่งบางครั้งเราก็สามารถแก้อาการหมดไฟได้ง่าย ๆ เพียงลองเปลี่ยนมุมมอง หรือปรับวิธีคิดในการเริ่มเล่นเกมใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดแบบ 100% แต่ก็อาจช่วยจุดไฟในตัวคุณให้กลับมาสนุกกับการเล่นเกมได้บ้าง และในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุให้คุณ "หมดไฟ" กับการเล่นเกมกัน
**ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อประกอบบทความไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับหัวข้อที่พูดถึงแต่อย่างใด เป็นเพียงการนำภาพมาใช้เพื่อประกอบบทความเพียงเท่านั้น**
สิ่งที่อาจเป็นต้นเหตุของ "อาการหมดไฟ"
- อาการหมดไฟ (เล่นมากไปก็ไม่ดี)
- เน้นประสิทธิภาพมากเกินไป (การใช้ทางลัดที่ทำลายความสนุกของเกม)
- ยอมแพ้เร็วเกินไป (ก่อนที่เกมจะเข้าสู่ความสนุก)
- เปรียบเทียบมากเกินไป (ไม่ใช่ทุกเกมจะเป็นรักแรกพบของคุณได้)
- ยึดติดกับเกมแนวเดิม ๆ (ความหลากหลายคือสีสันของชีวิต)
- ยึดติดกับคะแนนรีวิวมากเกินไป (บางทีคะแนน 7/10 ก็ยอดเยี่ยมได้)
- เล่นเพื่อเอาชนะอย่างเดียว (ชัยชนะไม่ใช่ทุกอย่าง)
- คาดหวังสูงเกินไป (ให้ความประหลาดใจเป็นเรื่องดี ๆ)
อาการหมดไฟ (เล่นมากไปก็ไม่ดี)

นี่อาจเป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้หลายคนไม่สนุกกับเกมเหมือนเดิม นั่นก็คือ "อาการหมดไฟ (Burnout)" ใครก็ตามที่ทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกสนุกน้อยลง เพราะความตื่นเต้นตอนแรกมันหายไปแล้ว และการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยการทำอะไรเดิม ๆ ที่น่าเบื่อซ้ำไปซ้ำมา
และวิธีดี ๆ ที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากวังวนนี้ได้คือ การลดเวลาเล่นเกมลงบ้าง หรือ พักเล่นไปสักพัก เพื่อให้สมองได้รีเซ็ตและพร้อมที่จะกลับมาลุยใหม่ หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ ถ้าเกมนั้นมีตัวละคร, คลาส, หรือการจัดทีมแบบอื่นให้เลือก ลองเปลี่ยนไปเล่นในแบบที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง วิธีนี้จะช่วยให้คุณสนุกกับเกมที่รักได้ในมุมมองที่ต่างออกไปแน่นอน
เน้นประสิทธิภาพมากเกินไป (การใช้ทางลัดที่ทำลายความสนุกของเกม)

เวลาที่ผู้เล่นคนหนึ่งเล่นเกมไปนาน ๆ จนเก่ง และเข้าใจระบบเกมเป็นอย่างดี พวกเขาก็จะเริ่มมองหาการเล่นที่เน้นประสิทธิภาพ และพยายามเจาะลึกทุกรายละเอียด ซึ่งผลที่ตามมาคือกลไกต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่าย และการตัดสินใจที่เคยยากก็กลายเป็นเรื่องที่ทำได้โดยสัญชาตญาณไป
และพอผู้เล่นไปถึงจุดนี้แล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรให้เรียนรู้หรือทำอีกต่อไป พวกเขาแค่ต้องทำตาม "กลยุทธ์ที่ดีที่สุด" ซ้ำ ๆ วนไปเรื่อย ๆ ดังนั้นบางครั้งการได้เล่นเกมแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดเรื่องประสิทธิภาพก็ดีเหมือนกันนะ
ยอมแพ้เร็วเกินไป (ก่อนที่เกมจะเข้าสู่ความสนุก)

นี่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นบ่อยมากในกลุ่มคนเล่นเกม มีหลาย ๆ คนที่เริ่มเล่นเกมใหม่ได้ไม่นานก็เลิกเล่นไปเสียก่อน เพราะรู้สึกว่าเกมไม่สนุกหรือไม่อิน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเกมนั้นไม่ตรงกับรสนิยมของคุณจริง ๆ แต่ก็มีเกมดี ๆ อีกมากมายที่คุณอาจจะพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าคุณไม่ลองให้โอกาสมันอีกสักหน่อยนะ
ลองนึกภาพการดูหนังแค่ 10 นาทีแล้วก็ปิด เพราะเนื้อเรื่องยังไม่น่าติดตามดูสิ เกมก็เช่นเดียวกัน เกมดี ๆ หลายเกมมีเนื้อเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะคลี่คลาย หรือมีระบบเกมที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ และฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในข้อนี้ ลองให้โอกาสตัวเองเล่นเกมนั้นให้นานขึ้นอีกนิดดูก่อนมั้ย
เปรียบเทียบมากเกินไป (ไม่ใช่ทุกเกมจะเป็นรักแรกพบของคุณได้)

นี่คือหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้เลยก็ว่าได้ นั่นก็เพราะว่าปัจจุบันมีเกมใหม่ออกมาเยอะมาก ๆ และผู้เล่นก็มักนำเกมเหล่านั้นไปเปรียบเทียบกับเกมที่คล้าย ๆ กัน ทำให้ยากที่จะสนุกกับเกมนั้นในแบบที่มันเป็น
และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็พวกเกมจำพวก Soulslike เพราะทุกครั้งที่มีเกมใหม่เปิดตัว ก็จะมีคอมเมนต์ประมาณว่า "เกมนี้ไม่ดีเท่า Elden Ring เลย" ขึ้นมาเสมอ
จริงอยู่ที่การเอาเกมในแนวเดียวกันมาเปรียบเทียบกันเป็นเรื่องง่าย แต่บางครั้งเราก็ควรปล่อยให้เกมเพลย์และเนื้อเรื่องมันได้แสดงตัวตนของมันเองบ้าง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่เกมใหม่จะมาโค่นบัลลังก์เกมในดวงใจหรือเกมที่สร้างมาตรฐานให้กับแนวเกมนั้น ๆ ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเกมใหม่จะต้องถูกวิจารณ์หรือถูกเมินเฉย เพียงเพราะมันไม่ได้สมบูรณ์แบบนะ
ยึดติดกับเกมแนวเดิม ๆ (ความหลากหลายคือสีสันของชีวิต)

แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์วัยไหน หรือยุคไหน ก็ต้องมีมีแนวเกมโปรดหรือสไตล์ที่ตัวเองชอบเป็นพิเศษเสมอ ซึ่งความชอบนี้เองที่ทำให้ผู้เล่นมักจะเล่นเกมในแนวเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายก็อาจจะทำให้เกิดอาการเบื่อไปเลย
ถึงแม้จะมีเกมใหม่หรือเกมเก่าอีกมากมายที่คุณยังไม่เคยเล่น แต่ก็เป็นความคิดที่ดีที่จะลองมองหาเกมที่อยู่นอกเหนือความสนใจของคุณบ้าง บางทีอาจมีเกมเจ๋ง ๆ ที่รอการค้นพบของคุณอยู่ก็ได้นะ
นอกจากนี้ เกมบางแนวก็มักจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว เช่น เกมแนว Hack-and-slash กับ Soulslike หรือเกมแนววางแผนการรบแบบ Real-time กับเกม RPG แบบ Turn-based ดังนั้นการเปิดโลกให้กว้างขึ้นจึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการค้นพบความหลงใหลครั้งใหม่นะ
ยึดติดกับคะแนนรีวิวมากเกินไป (บางทีคะแนน 7/10 ก็ยอดเยี่ยมได้)

ในปัจจุบันคะแนนรีวิวและบทวิจารณ์ของวิดีโอเกมมีอิทธิพลมาก ซึ่งผู้เล่นต่างก็มีข้อมูลมากมายอยู่ในมือเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นพูดถึงเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมใหม่หรือเก่า อีกทั้งตัวผู้เล่นเองก็สามารถเขียนรีวิวเกมบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Steam ได้ด้วยตนเองอีก
แต่ปัญหาคือผู้เล่นหลายคนมักจะตัดสินใจว่าจะเล่นเกมไหนหรือไม่ จากแค่ว่าเกมนั้นได้คะแนน 10 เต็ม 10 หรือมีรีวิวในแง่บวกแค่ไหน ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นการตัดโอกาสตัวเองจากเกมดี ๆ ไปถึง 99% เลย เพราะบางทีเกมที่คะแนนไม่ดีเท่าที่เห็นก็สามารถมอบความสนุกได้ไม่แพ้เกมระดับตำนานเลยนะ
เล่นเพื่อเอาชนะอย่างเดียว (ชัยชนะไม่ใช่ทุกอย่าง)

เกมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมแบบผู้เล่นหลายคนมักจะมีเป้าหมายหรือชัยชนะเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ซึ่งชัยชนะอาจมาในรูปแบบของการเอาชนะทีมศัตรูได้สำเร็จ หรือแค่เล่นแคมเปญจนจบ แม้การตั้งเป้าหมายว่าจะต้องชนะเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะในเกมแนวแข่งขัน แต่บางครั้งมันก็อาจจะทำลายความสนุกของเกมไป โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องแลกความสนุกกับการเพิ่มคะแนน
แนวคิดนี้รวมไปถึงเกมผู้เล่นคนเดียวด้วยนะ เพราะผู้เล่นบางคนก็เล่นเกมโดยมีเป้าหมายแค่ "เล่นให้จบ" อย่างเดียว โดยไม่ได้สนุกไปกับการเดินทาง แวบข้างทางเลยแม้แต่น้อย ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในจุดนี้ ลองเล่นให้ช้าลงและคิดถึงเป้าหมายสุดท้ายให้น้อยลง แล้วเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่าง ๆ ของเกมดูนะ
หรือบางทีอาจจะลองทำอะไรแปลก ๆ ดูก็ได้ บางทีคุณอาจค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจก็เป็นได้นะ
คาดหวังสูงเกินไป (ให้ความประหลาดใจเป็นเรื่องดี ๆ)

อีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทั้งคะแนนรีวิวและวิธีที่ผู้เล่นมีส่วนร่วมกับเกม ก็คือ ความคาดหวังที่สูงเกินจริง พอมีตัวอย่างเกมภาคต่อหรือเกมใหม่จากผู้พัฒนาชื่อดังปล่อยออกมา ผู้เล่นหลายคนก็คาดหวังคุณภาพในระดับที่บางครั้งก็สูงเกินไป ซึ่งนี่เองที่ทำให้แฟน ๆ หลายคนรู้สึกผิดหวังเวลาที่เกมออกวางจำหน่ายในที่สุด
แน่ล่ะว่าเราควรมีความคาดหวังที่สูง แต่มันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความจริงด้วย! ความตื่นเต้นสามารถกระตุ้นให้ผู้เล่นอยากลองเกมใหม่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้งมาตรฐานความยอดเยี่ยมไว้สูงเกินไป บางครั้งการเล่นเกมแบบไม่รู้อะไรเลย หรือไม่มีอคติใด ๆ มาก่อน จะช่วยให้ประสบการณ์การเล่นสนุกขึ้นด้วยซ้ำนะ
และนี่ก็คือสิ่งที่อาจเป็นต้นเหตุของ "อาการหมดไฟ" ในการเล่นเกมของคุณ แล้วเพื่อน ๆ ละ คิดเห็นกันอย่างไร แล้วอย่าลืมเข้ามาลองพูดคุยกันที่ใต้คอมเมนต์นะเออ!?
แปลและเรียบเรียงจาก : gamerant.com
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station