Soulslike เป็นเกมที่ขึ้นชื่อเรื่องความยากแต่แฟร์ ที่ชวนให้เหล่าเกมเมอร์หัวร้อน แต่ถ้าได้ลองก็ยากที่จะไม่หลง ซึ่งัจจุบันได้มีการทำเกมสไตล์นี้ออกมามากมาย ทั้งยังมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาตลอดหลายปีนี้ แต่ก็ยังมีกลไกและแนวคิดบางอย่างในเกม Soulslike ที่ยังไม่เปลี่ยนไป และในบทความนี้ทาง insider-gaming.com ได้รวบรวม 6 สิ่งที่อยากจะบอกให้เกม Soulslike ได้โปรดเลิกใช้มันเสียที! มาให้เพื่อน ๆ ได้รู้กัน
เกมสไตล์ Souls / Soulslike / Soulsborne เนี่ย มันน่ากลัวกว่าที่คุณคิดนะ! ไม่ว่าจะการเสียเงินทั้งหมด, ศัตรูเกิดใหม่, หรือบอสที่โคตรยาก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ถ้าจะให้พูดละก็การออกแบบแบบนี้มันมีมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วนะ คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในเกม Castlevania (ปี 1986 บนเครื่อง NES) เวลาที่เราตาย? คุณจะกลับไปเริ่มใหม่ที่จุดเช็คพอยต์ล่าสุด, ศัตรูก็เกิดใหม่หมด, แล้วพลังชีวิตคุณก็กลับไปเท่าเดิม - ฟังดูคุ้น ๆ มั้ย?

ค่าสถานะและคำอธิบายที่ไม่ชัดเจน

ค่าสถานะอย่าง Strength (ความแข็งแกร่ง), HP (พลังชีวิต) และ Stamina (ความอึด) นี่เข้าใจง่ายอยู่ แต่พอมี Dexterity (ความคล่องตัว), Faith (ศรัทธา), Humanity (ความเป็นมนุษย์), Arcane (พลังเวทย์/ลึกลับ), Spirit (จิตวิญญาณ) และค่าสถานะอื่น ๆ ที่ฟังดูไม่ชัดเจนเพิ่มเข้ามาอีกเนี่ย มันยิ่งทำให้ทุกอย่างมึนงงไปหมด แน่นอนว่าผู้เล่นที่มีประสบการณ์อาจจะพอเข้าใจได้ แต่ถ้าเกมไม่มีบทเรียนสอน ผู้เล่นใหม่ก็ต้องลำบากกันหน่อยแหละ
อีกทั้ง 'Soft Caps' (จุดที่ค่าสถานะเริ่มให้ผลน้อยลง) กับ 'Hard Caps' (จุดที่ค่าสถานะไม่ให้ผลเพิ่มแล้ว) ก็เป็นอีกจุดที่ผู้เล่นจะไม่รู้สึกเลยหากไม่ได้เห็นตัวเลขจริง แล้วยิ่งเกม Souls ทุกเกมใช้ระบบการ Scaling (การเพิ่มค่าพลังตามค่าสถานะ) ที่ต่างกันหมด ทำให้ผู้เล่นต้องจำอะไรเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว การที่ต้องคอยเปิดอินเทอร์เน็ตดูข้อมูลตลอด มันอาจจะดีกับยอดเข้าชมเว็บไซต์ก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้ประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่นดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นค่าสถานะและไอเทมควรจะมีคำอธิบายที่เข้าใจง่ายและชัดเจน ซึ่งเกมตระกูล Souls ทั้งหลายก็ควรมีการอธิบายความหมายในเกมอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้เล่นสามารถทำความเข้าใจได้ด้วย
บอสทุกตัวโคตร "ถึก"

ในส่วนของหัวข้อนี้จะขอยกตัวอย่างเกม The First Berserker: Khazan ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า หลอดเลือด (HP) ของบอสมันเยอะเกินไปจริง ๆ การจะปราบแต่ละตัวอาจใช้เวลาเป็นชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเลยก็ได้ ซึ่งการต่อสู้ควรใช้เวลาแค่สองถึงสี่นาทีก็พอไหม?
การต่อสู้บางครั้งใน Khazan ใช้เวลา 5-10 นาที แม้ว่านี้จะดูไม่มาก แต่การที่เราต้องโฟกัสกับเกมตลอดเวลา นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานทีเดียว แล้วบางทีพอเห็นท่าไม้ตายของบอสครบหมดแล้ว เห็นแพทเทิร์นการโจมตีครบหมดแล้ว เราก็แค่ต้องตอดไปเรื่อย ๆ ซึ่งบอสหลายตัว (ทั้งใน Khazan และเกม Souls อื่น ๆ) นั้นมีเลือดเยอะเกินความจำเป็น การมีเลือดเยอะแบบนี้ควรจะเก็บไว้ใช้กับบอสตัวใหญ่ ๆ ระดับบิ๊กที่สำคัญกับเนื้อเรื่องมาก ๆ ก็พอแล้ว
มีไอเทมจำนวนมากที่ไร้ประโยชน์

นี่คือข้อเสียที่สามารถเจอได้บ่อยในเกมของ Team Ninja คือมันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ศัตรูหรือมอนสเตอร์ดรอปไอเทมออกมาเป็นตัน ๆ แต่ของพวกนั้นมันไร้ค่า?
ก็ใช่ที่ว่ามันเอาไปขายหรืออะไรได้ แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกที่ว่าเรา "ได้ของดี" จากการต่อสู้หายไป เช่น Borderlands ที่ปืนมีเป็นล้านกระบอก แต่สุดท้ายได้ใช้จริง ๆ สักกี่กระบอกกันเชียว?
ซึ่งในส่วนนี้ Wuchang: Fallen Feathers ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ เพราะคลังอาวุธนั้นน้อยมาก แถมตัวเลือกก็ไม่เยอะหรือซับซ้อนอะไร และทำให้การเลือกอัปเกรดและอัปสกิลของคุณคือจุดสำคัญ
บอสมีหลายเฟสจนชวนเอียน

ใครที่เคยเล่น Sekiro: Shadows Die Twice อาจจะจำความรู้สึกตอนเราสะบั้นคอของบอส Guardian Ape แล้วมีข้อความ "Shinobi Execution" ขึ้นมาได้ดี ซึ่งถ้าคุณไม่ได้สังเกตกำแพงหมอกรอบ ๆ ล่ะก็ คงมีตกใจกันบ้างแหละที่เห็นเจ้าลิงนั่นมันฟื้นขึ้นมาพร้อมบวกกับคุณอีกครั้ง
และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่การทำให้บอสฟื้นขึ้นมาหลังจากการถูกสังหารในรอบแรกนั้นกลายเป็นเรื่องที่ดูไม่ว้าวเท่าเดิมในเกมหลัง ๆ และหลาย ๆ เกมก็ยังคงทำให้บอสมี หลายเฟส หลายร่าง เพื่อเพิ่มความยาก ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องที่จำเจซ้ำซากมาก เพราะบางครั้งแม้การต่อสู้หลายเฟสจะเวิร์ก แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะ
การเล่าเรื่องที่เข้าใจยาก/คลุมเครือ

แน่นอนว่านี่คืออีกจุดที่เป็นเอกลักษณ์อันเห็นได้ชัดของเกมตระกูล Souls ซึ่งหลาย ๆ คนก็ได้ต่อสู้ และใช้เวลานับร้อย นับพันชั่วโมง โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมแม้แต่น้อย และนั่นก็อาจะทำให้ผู้เล่นขาดความอิน รวมทั้งความเข้าใจกับโลกของเกมไปส่วนหนึ่ง
ทั้งนี้แม้ว่าเกม Souls ของ FromSoftware ในยุคหลัง ๆ จะเริ่มมีการปูพื้นฐานเรื่องราวได้ดี แต่ถ้าคุณพลาดไม่ได้อ่านหนังสือทุกเล่ม คุยกับทุกตัวละคร และตามเก็บเควสย่อยให้ครบ ก็อาจจะพลาดเรื่องราวส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็ได้ แต่มันก็ต้องแลกกับความยุ่งยากและเวลาที่ต้องสูญเสียไป ซึ่งทำให้ผู้เล่นหลาย ๆ คนก็เลือกที่จะไปพึ่งพา Google และ Wiki อยู่ดี
ดังนั้นบางทีเราก็แค่ต้องการคัตซีนง่าย ๆ และบทสนทนาที่น่าสนใจที่ทำให้เราสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ก็เท่านั้นเอง
การเดินทางไกลเพื่อไปหาบอสหรือลิฟต์

สำหรับใครที่คุ้นเคยกับเกม Soulslike แน่นอนว่าคุณจะต้องตายให้กับเกมจนนับครั้งไม่ถ้วนอย่างแน่นอน และบางครั้งคุณอาจตายให้กับบอสเพียงแค่ตัวเดียวจนไม่อาจนับจำนวนครั้งที่ตายได้เลย ซึ่งนั่นคือประสบการณ์ที่น่าประทับใจจนชวนหัวร้อนให้กับผู้เล่นหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ท่าโจมตี, การศึกษาความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของบอสแต่ละตัว, การหาจังหวะในการโจมตี และอีกมาก
ซึ่งเวลาตาย เราก็อยากจะรีบกลับไปแก้มือทันทีถูกมั้ย? ไม่ได้อยากเดินอ้อมนู่น อ้อมนี่ ขึ้นเขา ลงบันได หลบฝูงศัตรู เพื่อจะกลับไปตายอีกครั้งสักหน่อย แล้วทำไมกันนะ ทำไมตัวเกมถึงต้องบังคับให้เราเดินลากขาอย่างไกลเพื่อไปเจอหน้าบอสตัวนั้น ๆ และโดนตบตายในอีกไม่กี่วิด้วย!?
และการมาของ Stakes of Marika ใน Elden Ring ก็ถือได้ว่าเป็นการยกระดับ Quality of Life สุดว้าวของเกม Souls เลยก็ว่าได้ เพราะมันมักจะมีอยู่บริเวณใกล้ ๆ จุดปะทะกับบอส และเราก็สามารถวาร์ปไปได้เลย เรียกว่า ตายกี่ครั้งก็ไม่หวั่น พร้อมแก้มือเสมอ!?
และนี่ก็คือ 6 สิ่งจากใจ inside-gaming ที่อยากให้เกมตระกูล Souls เลิกทำได้เสียที!? ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของแต่ละคนเท่านั้น แล้วเพื่อน ๆ ละ มีจุดไหนที่อยากให้เกม Souls หยุดเอามาใส่ในเกมเสียทีกันบ้าง? แล้วมาแชร์กันได้ที่คอมเมนต์กันเลย
แปลและเรียบเรียงจาก : insider-gaming.com
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station