วันที่ 28 กรกฎาคม 2005 หรือวันนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Fatal Frame 3: The Tormented บนเครื่อง PS2 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งภาคนี้ทาง Tecmo (หรือ Koei Tecmo ในปัจจุบัน) มีการเริ่มพัฒนาทันทีหลังจากที่เกม Fatal Frame 2: Crimson Butterfly วางขายในปี 2003 และประสบความสำเร็จอย่างสูง พร้อมกับตั้งความหวังว่าตัวเกมจะต่อยอดความสำเร็จไปได้อีก ขณะเดียวกัน เนื่องจากทางทีมผู้พัฒนามองว่าในปี 2005 ที่เป็นปีที่ภาค 3 วางขายจะเป็นช่วงปลายของเจเนอเรชั่น PS2 ด้วย จึงตัดสินใจวางแผนให้ภาคดังกล่าวเป็นภาคสุดท้ายของเจน เพื่อให้เป็นไตรภาค 1-3 ประจำเจน PS2 ไปเลยนั่นเอง
(ล่าง) ปกเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา


เนื้อหาของเกมภาคนี้จะเล่าถึง เรย์ คุโรซาวะ (Rei Kurosawa) ช่างภาพสาวที่สูญเสีย ยู อาโซ (Yuu Asou) คู่หมั้นของเธอไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอไม่สามารถมูฟออนกับการจากไปของคนรักได้ และเอาแต่ทำงานถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ ที่มีรายงานว่าเป็นบ้านผีสิง โดยมีมิกุ (Miku Hanasaki) สาวที่พักอยู่ในอพาร์ทเมนต์เดียวกันคอยช่วยเหลือ ซึ่งมิกุเองก็มีพี่ชายที่เสียชีวิตไปแล้วเหมือนกัน อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างที่เรย์กำลังถ่ายภาพซากของศาลเจ้าคุเซะ เธอก็ได้เห็นวิญญาณของยูและตามเขาไปจนถึงบริเวณด้านในที่เรียกว่าตำหนักนิทรา กระทั่งได้พบกับผีผู้หญิงที่มีรอยสักเต็มตัว จากนั้นเรย์ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา และปรากฏว่าร่างกายของเรย์เริ่มมีรอยสักคล้ายผีผู้หญิงตนนั้นโผล่ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ จึงเริ่มออกสืบเสาะเรื่องราวของศาลเจ้าคุเซะ โดยมีมิกุกับเคย์ (Kei Amakura) เพื่อนของยูมาช่วยเธอด้วย
ต่อมาเรย์ก็พบว่า ทั้งเธอ มิกุ และเคย์ ต่างก็มีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ นั่นคือทุกคนต่างเคยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ และผีร้ายที่สิงอยู่ในตำหนักนิทราก็ดูเหมือนมีพลังอาคมที่สามารถเข้าฝันและตามหลอกหลอนคนที่มีปมสูญเสียนี้ได้ การผจญภัยของเรย์จึงมีเป้าหมายหลักคือการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังศาลเจ้าคุเซะและตำหนักนิทรา และล้างคำสาปที่เกิดขึ้นกับพวกตนให้ได้


ทางด้านเกมเพลย์จะยังคงแบ่งออกเป็นช่วงสำรวจและช่วงต่อสู้เหมือนกับสองภาคแรกครับ โดยในช่วงสำรวจจะเป็นมุมกล้องแบบกล้องวงจรปิดเหมือนเกม Resident Evil ภาคแรก ๆ ซึ่งในบางจุดหรือบางห้องจะมีผีที่ไม่มีแรงอาฆาตปรากฏตัวขึ้นมาให้เราหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายให้ทันเพื่อรับคะแนนหรือไอเทมโบนัส และเมื่อใดก็ตามที่เราเจอวิญญาณอาฆาตก็จะเข้าสู่ช่วงต่อสู้ทันที ตัวละครของเราจะมีกล้องโบราณเป็นอาวุธประจำตัว และใช้ม้วนฟิล์มแทนกระสุนปืน ฟิล์มแต่ละชนิดจะมีพลังโจมตีที่แตกต่างกันตามคุณภาพของฟิล์มที่เก็บมา ตอนที่เรายกกล้องขึ้นมาถ่ายจะเปลี่ยนเป็นมุมกล้องบุคคลที่ 1 ผู้เล่นต้องกะจังหวะให้ผีปรากฏตัวเข้ามากลางเฟรมแล้วรีบกดชัตเตอร์ให้ทันก็จะโจมตีแบบติดคริติคัลได้
ภาคนี้เราจะได้เล่นเป็น 3 ตัวละครสลับกันไปมา ได้แก่ เรย์ มิกุ และ เคย์ ซึ่งทั้งสามจะมีทักษะและความสามารถที่แตกต่างกัน เรย์จะเป็นตัวละครสายสมดุลที่สามารถอัปเกรดกล้องได้มากกว่า 2 ตัวละครที่เหลือ และมีแฟลชที่ทำให้พวกผีติดสตันได้ ส่วนมิกุจะมีพลังโจมตีด้วยกล้องที่สูงกว่าเรย์ ทั้งยังมีสกิลที่ทำให้พวกผีเคลื่อนที่ช้าลง รวมถึงสำรวจบางพื้นที่ที่เรย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการมุดช่องเล็ก ๆ หรือคลานลอดสิ่งกีดขวาง ทว่านางจะไม่สามารถอัปเกรดเลนส์กล้องได้เลย ทางด้านเคย์จะมีพลังโจมตีด้วยกล้องที่อ่อนสุด แต่แลกมาด้วยพลังชีวิตที่เยอะกว่าใครเพื่อน ตลอดจนสามารถหาที่ซ่อนเพื่อหลบหนีพวกผีที่ไล่ตาม และความที่เคย์เป็นผู้ชายจึงมีพละกำลังในการดันวัตถุหนัก ๆ เพื่อเปิดทางให้เข้าไปสำรวจบางพื้นที่ที่ทั้งเรย์กับมิกุไม่สามารถเข้าได้ด้วย



Fatal Frame 3: The Tormented ทำยอดขายในญี่ปุ่นในช่วง 5 เดือนแรกได้ประมาณ 69,000 ชุด และในช่วงต้นปี 2006 ทาง Tecmo ก็มีการรายงานว่าตัวเกมมียอดขายอยู่ในเกณฑ์ที่พวกเขาคาดหวังไว้พอดี ซึ่งจุดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเกมในยุค PS2 ยังมีต้นทุนในการพัฒนาไม่สูงเท่าปัจจุบัน แถมใช้เวลาพัฒนาน้อยกว่ามากด้วย เนื่องจากยอดขายเพียงไม่กี่แสนชุดก็เพียงพอที่จะครอบคลุมต้นทุนและค่าการตลาดแล้ว อย่างไรก็ตาม ในแง่ของคำวิจารณ์ในภาคนี้ก็มีปะปนทั้งบวกและลบ โดยคำชมจากสื่อต่าง ๆ จะพูดถึงเนื้อเรื่องและบรรยากาศที่ทำมาได้ดีตามมาตรฐานของซีรีส์ ส่วนคำติติงก็จะพุ่งเป้าไปที่เกมเพลย์ที่แทบไม่มีระบบอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นการโชว์นวัตกรรมเลย




ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station