วันที่ 23 มิถุนายน 1996 หรือวันนี้เมื่อ 29 ปีที่แล้วเป็นวันวางจำหน่ายของเครื่อง Nintendo 64 ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกของโลก และเป็นเครื่องในเจเนอเรชั่นที่ 5 ของวงการเกมคอนโซล ถัดจาก Super Famicom ที่เป็นเครื่องเจนก่อนหน้าของ Nintendo ซึ่งทางปู่นินหมายมั่นปั้นมือที่จะให้เครื่องนี้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PlayStation (PS1) ของทาง Sony และ Sega Saturn ของทาง Sega เพื่อป้องกันตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องเกมคอนโซลต่อไป จากที่เคยครองแชมป์มาตลอดในรอบ 2 เจนล่าสุด คือ Famicom/NES (เจนที่ 3) และ Super Famicom/SNES (เจนที่ 4) นั่นเอง

โครงการพัฒนาเครื่อง Nintendo 64 ได้เริ่มขึ้นในช่วงปี 1993 ด้วยความร่วมมือกับบริษัท Silicon Graphics โดยช่วงแรกมีการตั้งชื่อโค้ดเนมของเครื่องนี้ว่า Project Reality และเปลี่ยนมาเป็นชื่อโค้ดเนม Ultra 64 ในภายหลัง (ซึ่งเลข 64 นั้นมาจากการที่ใช้ CPU แบบ 64-bit) อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการออกแบบจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปี 1995 แต่กว่าที่เครื่องจะได้วางขายก็ต้องกินเวลาอีกประมาณ 1 ปีเต็ม พร้อมทั้งมีเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่อง (Launch Title) ได้แก่ Super Mario 64, Pilotwings 64, Star Wars: Shadows of the Empire และ Turok: Dinosaur Hunter
Nintendo 64 ถูกเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน Shoshinkai 1995 โดยตอนแรกทางปู่นินตั้งใจจะตั้งราคาเครื่องนี้ไว้ที่ 250 เหรียญสหรัฐฯ แต่เนื่องจาก Sony กับ Sega ได้ประกาศราคาเครื่อง PS1 และ Sega Saturn ไปที่ 199 เหรียญไปก่อนแล้ว ทำให้ปู่นินจำเป็นต้องปรับราคาเครื่องลงมาเหลือ 199 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากัน (หรือประมาณ 13,200 บาทเมื่อคำนวณตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2024 และแปลงเป็นสกุลเงินไทยแล้ว) เพื่อประชันกับเครื่องค่ายคู่แข่งกันตรง ๆ


ขณะที่คู่แข่งอย่าง PS1 กับ Sega Saturn ได้เลือกใช้สื่อบรรจุซอฟต์แวร์เกมเป็นซีดีรอม (CD-ROM) ที่มีความจุไม่ต่ำกว่า 650 MB และกำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมช่วงเวลานั้น ฝั่งปู่นินกลับเลือกที่ยึดแนวทางอนุรักษ์นิยมต่อไปด้วยการใช้ตลับเกม (ROM Cartridge) เหมือนที่พวกเขาเคยใช้กับยุค Famicom และ Super Famicom จนประสบความสำเร็จมาก่อน จริงอยู่ว่าข้อดีคือการโหลดที่ไวกว่าและทนทานกว่าแผ่นซีดีรอม ทว่าข้อเสียใหญ่หลวงของมันก็คือต้นทุนการผลิตตลับเกมที่สูงกว่า อีกทั้งเรื่องความจุที่มีสูงสุดแค่ 64 MB เท่านั้น และแม้ว่าเกมต่าง ๆ จะสามารถเซฟในตลับได้โดยไม่ต้องซื้อเมโมรี่การ์ดเพิ่มเหมือน PS1 หรือ Sega Saturn ก็ตาม แต่ด้วยความจุในตลับเกมที่น้อยเกินไป ทำให้หลาย ๆ เกมที่ถูกพอร์ตมาลง Nintendo 64 จำเป็นต้องดาวน์เกรดกราฟิกลงเพื่อให้บรรจุไฟล์ลงในตลับได้ และสุดท้ายนี่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nintendo 64 ต้องพ่ายแพ้แก่ PS1 ในสมรภูมิตลาดเกมคอนโซลเจเนอเรชั่นที่ 5 ครับ
นอกจากนั้นแล้ว ตัวจอยของ Nintendo 64 ยังออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายกับตัว M (ณ เวลานั้นสื่อหลายสำนักคาดเดาว่า M น่าจะมาจาก Mario ที่เป็นมาสค็อตของปู่นิน) โดยด้ามจับจอยที่อยู่ตรงกลางมีไว้สำหรับควบคุมแกนอนาล็อกที่สั่งการทิศทางได้ละเอียดกว่าปุ่ม D-Pad ในหลาย ๆ เกม ตลอดจนเพิ่มปุ่ม C (ปุ่มสีเหลืองฝั่งขวาที่มี 4 ปุ่ม) และปุ่ม Z ที่อยู่ด้านหลังจอย ซึ่งด้านหน้าตัวเครื่องมีพอร์ตที่เสียบจอยได้ 4 ช่อง ตรงจุดนี้คุณชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) ผู้สร้างเกมซีรีส์ Mario เคยกล่าวไว้ว่า Nintendo 64 มีขุมพลังมากพอที่จะรองรับการเล่นพร้อมกัน 4 คนแบบแบ่งจอโดยที่เฟรมเรตแทบไม่ตกหรือเสียอรรถรสแต่อย่างใด จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำเครื่องให้มีพอร์ตต่อจอย 4 ช่องอย่างที่เห็น

ตลอดระยะเวลาวงจรชีวิตของ Nintendo 64 จนถึงคราวที่ต้องยุติสายการผลิตในวันที่ 30 เมษายน 2002 หรือประมาณ 5 ปี 10 เดือนนับตั้งแต่วันวางจำหน่ายครั้งแรก ปรากฏว่าเจ้าเครื่องนี้มีเกมออกมาเพียงแค่ 388 เกมเท่านั้น และในจำนวนนี้มีอยู่ถึง 85 เกมที่วางขายเฉพาะในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับ PS1 ที่มีเกมไปลงมากถึง 4,105 เกม หรืออย่าง Sega Saturn ก็ยังมีเกมไปลงมากกว่า 1,000 เกมด้วยซ้ำ จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าตลับเกมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Nintendo 64 ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ก็ยังมีผู้พัฒนาเกมบางค่ายลงความเห็นว่าสถาปัตยกรรมของเครื่องไม่ค่อยเอื้อให้ทำเกม 3rd Party มาลงเท่าไหร่ด้วย การเขียนโค้ดจึงเป็นไปอย่างยากลำบากและมองว่าการทำเกมลงแพลตฟอร์มที่เป็นกระแสหลักในเจนนั้นอย่าง PS1 ดูจะมีลู่ทางที่ขายได้ง่ายกว่า ไวกว่า และเข้าถึงผู้เล่นได้มากกว่า
สุดท้ายแล้ว เครื่อง Nintendo 64 ก็ทำยอดขายทั่วโลกไปได้ 32.93 ล้านเครื่อง ขณะที่ PS1 ที่เป็นแชมป์ในตลาดคอนโซลเจเนอเรชั่นที่ 5 ทำยอดขายทั่วโลกได้ถึง 102.49 ล้านเครื่อง และเป็นครั้งแรกของปู่นินที่ต้องหล่นจากความเป็นผู้นำตลาด พร้อมได้บทเรียนข้อแรกว่าการยึดแนวทางเดิม ๆ อย่างเช่นการใช้ตลับเกมเป็นสื่อหลักนั้นใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป ซึ่งการจะทำให้เครื่องได้รับความนิยม นอกเหนือจากการปรับตัวให้ทัน ก็ยังต้องมีเกมระดับแม่เหล็กจำนวนมหาศาลที่คอยดึงดูดให้คนมาสนใจไม่แพ้กันด้วย

ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station